โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.71K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ดอกลาเวนเดอร์ที่ร่วงโรย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคืนนั้นเขาฝันไปว่าเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ขึ้นมันลุกลามไปทั่วทั้งทุ่งกวาดทุกอย่างหายไปในกองเพลิง เขาจูงมือลูกเมียวิ่งหนีสุดชีวิตเปลวเพลิงลุกลามเผาบ้านของเขาวอดไปต่อหน้าต่อตา กลุ่มควันหนาสีดำม้วนตลบขึ้นบดบังแสงอาทิตย์ก่อนที่จะโน้มต่ำลงมาเหมือนอุ้งมือปีศาจฉุดคร่าบุตรทั้งสองของเขาไป อาเธอร์ตะโกนก้องด้วยความตกใจกลัวเขาวิ่งฝ่าเข้าไปในกองเพลิงความหาเด็กทั้งสอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาคว้าไหล่ของเขาไว้เมื่อเขาหันไปมองจึงพบกับร่างในชุดคลุมดำใบหน้านั้นปิดบังด้วยหน้ากากสีทอง ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไฟที่โหมอยู่รายรอบกลับดูพร่าเลือน
“ นี่เป็นกลลวงอย่าได้ตามมันไปท่านสัญญากับข้าแล้ว ”
เสียงนั้นเบาหวิวเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกลทว่ามันก้องอยู่ในความรู้สึกสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา ชายหนุ่มเหมือนตกอยู่ในห้วงมนต์สะกดที่สับสนเขาจ้องร่างนั้นช่างคุ้นตาเหลือเกิน แล้วไฟก็พลันโหมแรงขึ้นบุรุษตรงหน้าจมหายเข้าไปในเปลวเพลิง ความทรงจำอย่างหนึ่งวิ่งปราดเข้ามาดังสายฟ้าฟาดเขาตกตะลึงแทบสิ้นสติกระโจนเข้าไปไขว่คว้าร่างนั้นไว้ แต่ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือควันไฟและเศษเถ้าถ่าน อาเธอร์ผวาตื่นขึ้นกลางดึกและพบว่าตนเองไม่อาจข่มตาให้หลับต่อไปได้เลย
แสงแดดแผดจ้าขึ้นสูงคาโอเรียเดินย่ำอยู่ในทุ่งข้าวโพด อาเธอร์และฟิโลโซเฟอร์กำลังช่วยกันตัดหญ้าเพื่อทำหญ้าแห้งอยู่ในที่ดินแปลงติดกัน
ข้าวโพดฝักแก่เกือบได้ที่แล้วแต่ต้องรอเก็บเกี่ยวข้าวสาลีให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะถึงคิวของข้าวโพด เสบียงทุกอย่างต้องถูกรวบรวมไว้ให้เรียบร้อยในเพิงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หลังบ้านก่อนพายุหิมะลูกแรกจะมาถึง แล้วพวกเขาก็จะอยู่อย่างสุขสบายและปรอดภัยในบ้านดอกเห็ดหลังน้อย ภายหลังเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเสบียงที่เหลืออยู่จะถูกแบ่งขายไปบางส่วนอีกบางส่วนเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธ์ ไม่มีใครในซีนาร์ยขายเสบียงก่อนฤดูหนาวเพราะมันเสี่ยงหากว่าอาหารที่เก็บไว้ไม่เพียงพอพวกเอาอาจจะอดตาย
คาโอเรียมองทุ่งข้าวโพดอย่างสุขใจเสียงใบข้าวโพดเสียดสีกันดังก้องอยู่รอบกาย ปีนี้ผลผลิตมีมากกว่าปีก่อนๆ บิดาของนางบอกเช่นนั้นหากนำพืชพรรณออกขายคงได้เงินมากพอ
อาเธอร์ตั้งใจจะออกเดินทางในทันทีที่พ้นจากฤดูหนาว เขาจะกลับไปที่โอรีเวียมีเรื่องราวบางอย่างให้ต้องสะสาง
แต่เขาคงไม่อยู่ที่นั่นนานนักหรอก
แนวป่ามืดครึ้มทอดตัวจากทางทิศตะวันตกไกลออกไปทางทิศเหนือ คาโอเรียเคยนึกสงสัยมาตลอดว่าในเงามืดของแมกไม้นั่นมีอะไรซุกซ่อนอยู่และนางจะมีโอกาสได้เห็นมันหรือไม่ ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นป่าเลยสักครั้งถ้าหน้าหนาวนี้ผ่านพ้นไปหากว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่บิดาของนางวางไว้ นางคงจะได้เห็นมากกว่านั้น
เยื้องจากแนวป่าไปทางทิศตะวันออกมีเทือกเขาสีดำสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีสดใส แม้จะแลดูห่างไกลแต่ทุกครั้งที่จ้องมองกลับรับรู้ถึงความแข็งแกร่งและพลังอันลึกลับ นอกเหนือจากความดำมืดคือความงดงามแต่เป็นความงามแบบข่มขวัญ มีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับเทือกเขานั้นซึ่งล้วนแล้วแต่ชั่วร้ายทั้งสิ้น
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งกระชากเอาหมวกผ้าสีซีดให้หลุดปลิวไปแต่คาโอเรียคว้ามันเอาไว้ได้ทัน เด็กหญิงผูกเชือกใต้คางให้แน่นหนาขึ้น มารดาของนางมักกำชับไว้ว่าถ้าออกไปกลางทุ่งต้องสวมหมวกเสมอ
“ กลับเข้าบ้านเถอะลูกลมชักจะแรงเกินไปแล้ว ”
อาเธอร์ร้องบอก
เขาสวมหมวกปีกกว้างตัดเย็บจากหนังกวางตากแห้ง หมวกใบนี้เขาตั้งใจเย็บเป็นพิเศษเพื่อให้ทนใช้งานได้นานและกันแดดกันฝนได้
พอเห็นคาโอเรียทำท่าอิดออดไม่อยากกลับฟิโลโซเฟอร์ก็ขว้างเศษหญ้ามาใส่ เด็กหญิงวัยสิบขวบจึงวิ่งตัดทุ่งกลับไปยังบ้านดอกเห็ดโดยมีกระต่ายน้อยขนฟูนามว่าลูกระโดดตามหลังไปติดๆ ม้าแกลบตัวอ้วนพีสองตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง เมื่อเห็นคาโอเรียผ่านไปมันก็เงยหน้าขึ้นแล้วร้องทักเสียงแหลม
ที่สวนผักเล็กๆ หลังบ้านคาโลไรน์กำลังเด็ดพริกใส่ตะกร้าหวาย พอคาโอเรียเปิดประตูรั้วลูก็ไม่รอช้ามันกระโดดผลุงเข้าไปในดงผักกาดขาวถ้ามันจะกัดสักต้นสองต้นคงไม่มีใครว่าอะไร
“ มาก็ดีแล้วมาช่วยแม่เก็บพริกดีกว่าเราต้องเร่งมือหน่อยบางทีหน้าหนาวปีนี้อาจมาเร็วก็ได้ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นนางโยนพริกอีกหนึ่งกำมือลงในตะกร้าแล้วยืดตัวขึ้นเพื่อลดอาการเมื่อยขบ
“ ทำไมถึงคิดว่าปีนี้จะหนาวเร็วล่ะคะ ”
ถึงจะถามไปอย่างนั้นแต่นางก็นั่งลงช่วยเก็บ
“ ไม่รู้สิแม่รู้สึกว่าอากาศมันแปลกๆ แม้ว่าเราจะมีเสบียงเพียงพอแต่หากเก็บเกี่ยวไม่ทันมันก็คือไม่มี เมืองซีนาร์ยไม่เคยอดอยากนั่นเป็นสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่สอนมา แต่ถ้าไม่เตรียมพร้อมพวกเราคงได้รู้จักคำว่าอดอยากแน่ ”
คาโลไรน์พูด
“ ข้าคิดถึงเพื่อนๆ ”
คาโอเรียเสียงเศร้า
“ แม่เข้าใจแต่ลูกก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ลูกคงไม่อยากป่วยหรอกนะ เพราะถ้าเกิดลูกป่วยขึ้นมาลูกจะไม่ได้พบใครอีกเลยแม้แต่พ่อกับแม่ ”
มุมสวนด้านหนึ่งมีต้นแอปเปิ้ลยืนต้นอย่างโดดเดี่ยว มันเพิ่งออกผลปีนี้เป็นปีแรกแต่ถึงกระนั้นยังให้ผลดกเต็มต้นและเริ่มเห็นผลสุกบ้างแล้วประปราย
แอปเปิ้ลต้นนี้เป็นต้นไม้ต้นเดียวในทุ่งหญ้าของเมืองซีนาร์ย อาเธอร์ฝากพ่อค้าต่างเมืองที่มักคุ้นกันซื้อต้นอ่อนมาให้เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสามปีของคาโอเรีย ในตอนนั้นใครๆ ต่างพูดกันว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องตายอย่างแน่นอนดินเคยแถบนี้ไม่เคยปลูกไม้ยืนต้นมาก่อน แต่แอปเปิลต้นนี้กลับโตวันโตคืนเช่นเดียวกับคาโอเรีย
ในดินแดนของซีนาร์ยนี้ถ้าต้องการต้นไม้สักต้นต้องนั่งเกวียนลงใต้ไปไกลถึงป่าเครป หากเป็นเมื่อก่อนในยุคก่อนสงครามชาวเมืองแห่งนี้มักจะข้ามสะพานไปเก็บฟืนและหาของป่าในป่าดรายแอดซึ่งเป็นป่าในเขตดินแดนของเมืองคาเล แต่พอมาในยุคสงครามป่านั้นก็ถูกขนานนามใหม่ว่าดงมรณะและไม่มีชาวเมืองผู้ใดกล้าเข้าไปในป่านั้นอีกเลย
คาโอเรียกินแซนวิชไส้เนื้อเค็มกับมารดาเพียงสองคนในยามเที่ยงของวันนั้นเพราะสองพ่อลูกจะไม่กลับมาทานมื้อเที่ยงที่บ้าน งานในไร่ยุ่งเกินกว่าจะนั่งเกวียนถ่อไปมามีเพียงมื้อเย็นเท่านั้นที่พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหาร ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต่างเร่งรีบเพราะฤดูหนาวนั้นโหดร้ายนักและคนขี้เกียจมักอยู่ไม่รอดจนพ้นฤดูหนาว
“ ลมแรงจากทางทิศตะวันออก ”
อาเธอร์บ่นในค่ำคืนหนึ่ง
เขารู้สึกหงุดหงิดกับความกังวลใจที่คุกรุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ เพียงเพราะเหตุการณ์ประหลาดเล็กน้อยก็ทำเอาเขาคิดไปไกล
“ ใกล้หน้าหนาวลมจะพัดจากทางทิศเหนือแต่มีบ้างที่อากาศจะแปรปรวน คงไม่มีอะไรหรอกอาเธอร์มันก็แค่ลมเท่านั้น ข้าอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตคงตลกพิลึกถ้าจะกลัวแม้กระทั่งสายลม ”
คาโลไรน์บอกแต่เหมือนนางจะปลอบใจตัวเองมากกว่า
“ นั่นสินะข้าคงคิดมากไปอันที่จริงข้าควรกังวลเรื่องฟืนต่างหาก เพราะเราแทบไม่มีเหลือแล้วถ่านหินก็มีอยู่ไม่กี่ถัง ”
“ ข้าไปด้วยข้าจะไปช่วยตัดฟืน ”
ฟิโลโซเฟอร์ร้องขึ้นด้วยสายตาเปล่งประกายแห่งความหวัง
“ แต่นั่นมันไกลมากเลยนะ ”
มารดาของเขาท้วงขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ เราคงต้องให้เขาช่วยคาโลไรน์ ปีนี้มีงานมากมายเหลือเกินถ้าเกิดลมหนาวมาถึงเร็วกว่ากำหนดพวกเราจะแย่เอานะ ”
อาเธอร์พูดพลางขยิบตาให้บุตรชาย
“ อย่างนั้นก็ได้อ้ออีกอย่างเรายังไม่มีเนื้อเลย ”
“ ข้าจะเร่งเก็บเกี่ยวพืชผักให้เร็วขึ้นหลังจากนั้นจะออกล่าสัตว์กับชาวคณะ ครอบครัวโซวาสันเห็นว่าเราควรจะไปไกลมากกว่าที่เคยไป เพราะเราล่ากันในทุ่งหญ้ามากเกินไปจนจะหมดอยู่แล้ว ”
อาเธอร์ว่า
“ โอ้ ไกลมากเลยหรือแล้วใช้เวลาเท่าไหร่ ”
“ ไม่รู้สิคงสัก 2-3 อาทิตย์ข้าหวังจะล่าให้ได้มากที่สุด ช่วงนี้หนังกวางตากแห้งราคาสูงมากเราจะได้มีเงินสำรองหากต้องเดินทางไปโอรีเวีย ”
“ ท่านพ่อข้าไปล่าสัตว์ร่วมกับท่านได้ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามอย่างมีความหวังเขากำธนูบนตักอย่างมีความหมาย
“ ไม่ได้เด็ดขาดเจ้ายังเด็กอยู่มากอาจจะเป็นอันตรายได้ ”
คาโลไรน์เสียงดุ
อาเธอร์ตบหัวบุตรชายด้วยความเอ็นดู
“ ข้าจะไปกับกลุ่มคาราวานคนพวกนั้นมีแต่นักล่าฝีมือดีเจ้าไปด้วยคงไม่เหมาะ อีกอย่างธนูของเจ้าน่ะมันล้มสัตว์ใหญ่ไม่ได้รอไห้อายุครบสิบห้าก่อนเถอะเราจะออกล่าสัตว์ด้วยกันสองคน เจ้าต้องอยู่บ้านคอยดูแลแม่และน้องระหว่างที่ข้าไม่อยู่เข้าใจไหมหน้าที่นี้ก็สำคัญไม่น้อยนะ ”
เด็กชายได้แต่รับคำเสียงอ่อย
“ คาโลไรน์ตอนนี้ที่ทุ่งเกล็ดมังกรคงเริ่มเก็บผลไม้ป่าได้แล้ว ข้าเห็นผู้คนทยอยกันไปตั้งแต่เมื่อวานพวกนั้นลือกันว่าทั้งทุ่งเต็มไปด้วยผลไม้ป่า ยังไงพรุ่งนี้เราสละเวลาไปกันบ้างดีไหมจะได้มีแยมกับผลไม้แห้งกินในหน้าหนาวนี้ ”
“ ดีเหมือนกันข้ากำลังอยากมีอะไรทาหน้าขนมปังสลับกับเนยบ้าง ถ้าได้แยมสตอเบอร์รี่สักโถหนึ่งน่าจะพอใช้ได้ ”
คาโลไรน์ยิ้มอย่างพออกพอใจ
เมื่อความมืดกรายเข้ามาตะเกียงแก้วใบเล็กก็ถูกจุดขึ้น น้ำมันสีเขียวคล้ำเหนียวข้นม้วนตัวอยู่ในโถแก้วโปร่งใส เปลวไฟสีส้มแสดพวยพุ่งขึ้นจากคฑาของนางฟ้าที่ประทับอยู่เหนือตะเกียงแก้ว ตะเกียงใบนี่คาโลไรน์หวงมากเพราะเป็นของขวัญชิ้นสำคัญในวันแต่งงานและเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
คาโลไรน์ชุนผ้าโดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียง ข้างกายมีคาโอเรียเฝ้าดูอยู่นางกำลังสอนบุตรสาวเรื่องการใช้เข็มกับด้าย ส่วนอาเธอร์และบุตรชายช่วยกันตรวจดูอุปกรณ์ล่าสัตว์เผื่อว่ามีชำรุดจะได้ซ่อมแซมเสียแต่เนิ่นๆ บางชิ้นที่ยังใช้การได้ดีฟิโลโซเฟอร์จะช่วยหยอดน้ำมันและเช็ดทำความสะอาด
อาเธอร์ให้ความเห็นว่าเตรียมไว้ให้พร้อมในตอนนี้จะดีกว่านี่ก็ใกล้หน้าเก็บเกี่ยวเต็มทีแล้วถ้างานในไร่เสร็จเมื่อไหร่เขาจะรีบออกล่าสัตว์ทันที นับวันจำนวนคนล่าสัตว์จะมีเพิ่มขึ้นทุกทีเมื่อครั้งแรกเริ่มที่เขาเข้ามาในซีนาร์ยทุ่งหญ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยฝูงกวางแต่เมื่อมีผู้คนอพยพมาอยู่มากขึ้นสัตว์ป่าก็ต้องถอยร่นไป
ในขณะที่อาเธอร์กำลังตะไบฟันของกับดักหมีอยู่ก็มีเสียงเคาะำประตูดังระรัวขึ้น พวกเขาต่างพร้อมใจกันเงยหน้าไปที่ประตูด้วยความประหลาดใจ
คาโลไรน์วางผ้าที่กำลังเย็บลงพลางหันไปมองอาเธอร์
“ ช่วยด้วย! ลูกชายข้า ได้โปรดเขากำลังจะตาย ”
เสียงหญิงคนหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรนอาเธอร์ลุกไปเปิดประตูทันที หญิงหน้าตาซีดเซียวนางหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงถูกรวบไว้กลางหัวอย่างลวกๆ ฟิโลโซเฟอร์จำได้ทันทีว่านางเป็นภรรยาของคนเลี้ยงแกะและเป็นมารดาของเพื่อนของเขาคนหนึ่ง บ้านของนางตั้งอยู่ริมเนินใกล้ๆ นี่เอง
“ เกิดอะไรขึ้นมาธาค่อยๆ เล่าสิเข้ามาข้างในก่อนคาโลไรน์ขอชาอุ่นๆ ที ”
มาธาทรุดกายลงนั่งที่ขอบประตูนางเล่าพลางสะอื้นพลาง
“ โยเซปไม่อยู่ลูกชายของข้าอาการทรุดหนักท่านต้องช่วยเขานะเขาทุรนทุรายเหลือเกิน ข้าทนดูต่อไปไม่ได้ท่านช่วยข้าที ข้าจะทำอย่างไรดีถ้าโยเซปกลับมาเขาจะว่าอย่างไรแล้วนี่ข้าจะต้องทำอย่างไร ”
นางคร่ำครวญอย่างคนเสียสติ
บุตรชายของนางล้มป่วยด้วยโรคประหลาดมาหลายวันแล้ว ตามหมอมากี่คนต่อกี่คนก็ไม่มีทีท่าว่าจะรักษาหาย คืนนั้นอาการป่วยทรุดหนักจนนางต้องตัดสินใจทิ้งบุตรเอาไว้ตามลำพังที่บ้านเพื่อออกมาขอความช่วยเหลือ
“ ข้าจะไปตามหมอในเมืองอย่าห่วงไปเลยเขาต้องไม่เป็นไร แล้วนี่เจ้ามายังไงมีม้ามาหรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามพลางปลอบพลาง
“ ข้าวิ่งมา ”
นางตอบเสียงสะอื้น
“ ดีแล้ว ไม่เป็นไรนะพักให้หายเหนื่อยก่อนทำใจดีๆ เข้าไว้ที่เหลือข้าจะจัดการเอง ”
อาเธอร์พูดเท่านั้นแล้วก็ออกไปม้าแกลบคู่ชีพพาเขามุ่งสู่บ้านของแม่มดที่เก่งที่สุดในเมืองนี้ นั่นเป็นความหวังสุดท้ายที่ต้องไขว่คว้าแม้จะริบหรี่เต็มที
มาธากลับไปหลังจากอารมณ์สงบลงไปบ้าง นางเดินโซซัดโซเซกลับสู่บ้านของนางด้วยหัวใจอันทุกข์ระทม บ้านหลังนี้จึงเหลือเพียงสามคนแม่ลูกนั่งล้อมวงกันเงียบๆ พวกเขากำลังรอคอยการกลับมาของอาเธอร์ ในยามที่ไม่มีเขาบรรยากาศรอบกายเงียบเหงาลงไปอย่างน่าประหลาด
คาโลไรน์จ้องเปลวไฟจากตะเกียงมันเป็นแสงสว่างอย่างเดียวในบ้านที่เหลืออยู่ แต่แท้จริงแล้วนางไม่ได้มองเห็นมันเลยจิตใจของนางล่องลอยไปไกลแสนไกล เด็กๆ เริ่มหลับไปทีละคนคาโลไรน์ค่อยๆ อุ้มบุตรทั้งสองไปนอนที่เตียงอย่างทะนุถนอมแล้วกลับมานั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างเช่นเดิม นางไม่ได้รอฟังข่าวดีเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่นางหันไปมองบุตรทั้งสองด้วยความกังวลเงามืดแห่งความหวาดกลัวเริ่มแผ่เข้ามาสู่จิตใจที่แสนบอบบางทีละนิด
อาเธอร์กลับมาเมื่อเกือบรุ่งสางเขาถอดรองเท้าช้าๆ หน้าตาเคร่งขรึม ความรู้สึกหนักอึ้งโถมทับเข้ามาไร้การต่อต้านไร้แรงขัดขืน เขารู้ดีจุดจบมันเหมือนเดิมซ้ำๆ อยู่แบบนี้เรื่อยไป
“ เด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ ”
คาโลไรน์ถามเสียงเบาหวิว
“ นี่เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือนี่ ”
เขาไล้นิ้วบนเปลือกตาที่เขียวคล้ำของนางอย่างแผ่วเบา
“ ท่านพี่คะ บอกข้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ”
นางกุมมือเขาไว้สายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเขา อาเธอร์ถอนใจยาว
“ ท่านดีมีนพ่อมดเฒ่าจากโอรีวียแวะไปที่นั่นมาแล้ว เขาเองก็จนปัญญาหาทางรักษาแต่เขาบอกมาธาว่าเมืองอันดอรีสอาจมีหมอที่จะรักษาโรคนี้ได้แล้วเขาก็จากไป ข้าเห็นเด็กคนนั้นแล้วก็เข้าใจมันคงจะยากเกินกว่าจะรักษาเด็กน้อยมีตุ่มฝีผุดขึ้นเต็มตัว แม่มดขาวที่ข้าตามตัวมาเมื่อคืนใช้มีดผ่าตุ่มฝีเหล่านั้นข้างในแผลมีกิ้งกือขดอยู่เต็มไปหมด มันซุกตัวอยู่ในแอ่งเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนอง เด็กคนนั้นเอาแต่ดิ้นทุรนทุรายเขาคงทรมานมาก กิ้งกือพวกนั้นพยายามไชตัวลึกลงไปในเนื้อของเขาและมันคงจะกัดกินเนื้อของเขาด้วย ”
“ อี๋ น่ากลัวจังแล้วเขาจะตายไหมจ๊ะ ”
อาโอเรียที่บังเอิญผ่านมาได้ยินร้องขึ้นภาพกิ้งกือนับร้อยกำลังดิ้นดุบดิบอยู่ใต้ผิวหนังผุดขึ้นมาทำให้นางขนลุก
“ ไปหาพี่ชายของเจ้าสิคาโอเรีย ”
คาโลไรน์บอก
“ แต่ว่าท่านแม่ ”
“ ไปพี่ชายเจ้ากำลังรีดนมวัวอยู่ไปช่วยเขา ”
คาโลไรน์เน้นเสียงเด็กหญิงจึงยอมไปแต่โดยดี
“ ข้าไม่อยากให้เด็กๆ มาได้ยินอะไรแบบนี้ แล้วมันเป็นอย่างไรต่อไปคะ ”
นางพูดเมื่อเห็นบุตรสาวเดินพ้นประตูออกไปแล้ว
“ พวกมันขดอยู่ไนฝีทุกหัว ”
อาเธอร์เล่าต่อ
“ แม่มดขาวคีบมันออกมาทีละตัวๆ นางปรุงยาทุกอย่างเท่าที่คิดออกแต่แล้วเด็กคนนั้นก็จากไป พวกเราเฝ้าอยู่ตรงนั้นทั้งคืนแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ”
เขาโอบกอดคาโลไรน์
“ โอไม่นะ! เราสูญเสียเด็กไปอีกแล้วมันจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดนะ ”
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นต้องตายแต่นางก็อดเสียใจไม่ได้ และในใจลึกๆ นางเป็นห่วงบุตรทั้งสองของนางเหลือเกิน
งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สุสานกลางของเมืองซีนาร์ย ความตายของเด็กเป็นเรื่องเศร้าโดยเฉพาะตลอดสิบปีที่ไม่มีเด็กเกิดใหม่แม้แต่คนเดียว บิดาของเด็กชายผู้เสียชีวิตนำหินที่เลือกสรรจากริมหาดลำน้ำครายมาตั้งไว้หน้าหลุมศพ ชื่อของเด็กน้อยถูกสลักลงบนหินร่องที่เจาะลึกลงไปในเนื้อหินนั้นยากแก่การลบเลือนเช่นเดียวกับบาดแผลในใจของผู้เป็นบิดามารดา เขาทั้งสองมีบุตรเพียงคนเดียวแต่บัดนี้บุตรของเขากำลังเน่าเปื่อยผุพัง
ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก้มหน้าไว้อาลัยด้วยความเศร้าสลดเด็กๆ ถูกกันไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณพิธีโดยสิ้นเชิงเพราะเกรงกันว่าโรคนี้จะติดต่อไปยังเด็กๆ คนอื่น มารดาของเด็กน้อยผู้เสียชีวิตถูกลากตัวกลับบ้านก่อนพิธีกลบหลุมจะเริ่มขึ้นหลังจากที่นางพยายามฝังตัวเองไปพร้อมกับบุตรชาย เมื่อดินถูกโปรยลงไปจนเต็มแน่นดีแล้วผู้ที่มาร่วมงานต่างนำดอกลาเวนเดอร์มาวางเหนือเนินดินเพื่อไล่วิญญาณชั่วร้ายตามความเชื่อดั้งเดิม และแล้วพวกเขาก็ทยอยจากไปสุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงเด็กน้อยผู้นอนสงบนิ่งภายใต้ท้องทุ่งแห่งนี้ ในกาลนั้นดอกลาเวนเดอร์จึงร่วงหล่นลงอีกครั้งเพื่อให้เด็กชายที่น่าสงสารได้หลับอย่างสงบ แม้หนึ่งชีวิตจะจบสิ้นลงแต่อีกหลายชีวิตยังต้องดำเนินต่อข้ามคืนข้ามปีไม่มีสิ้นสุด
“ นี่เป็นกลลวงอย่าได้ตามมันไปท่านสัญญากับข้าแล้ว ”
เสียงนั้นเบาหวิวเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกลทว่ามันก้องอยู่ในความรู้สึกสะท้อนซ้ำไปซ้ำมา ชายหนุ่มเหมือนตกอยู่ในห้วงมนต์สะกดที่สับสนเขาจ้องร่างนั้นช่างคุ้นตาเหลือเกิน แล้วไฟก็พลันโหมแรงขึ้นบุรุษตรงหน้าจมหายเข้าไปในเปลวเพลิง ความทรงจำอย่างหนึ่งวิ่งปราดเข้ามาดังสายฟ้าฟาดเขาตกตะลึงแทบสิ้นสติกระโจนเข้าไปไขว่คว้าร่างนั้นไว้ แต่ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือควันไฟและเศษเถ้าถ่าน อาเธอร์ผวาตื่นขึ้นกลางดึกและพบว่าตนเองไม่อาจข่มตาให้หลับต่อไปได้เลย
แสงแดดแผดจ้าขึ้นสูงคาโอเรียเดินย่ำอยู่ในทุ่งข้าวโพด อาเธอร์และฟิโลโซเฟอร์กำลังช่วยกันตัดหญ้าเพื่อทำหญ้าแห้งอยู่ในที่ดินแปลงติดกัน
ข้าวโพดฝักแก่เกือบได้ที่แล้วแต่ต้องรอเก็บเกี่ยวข้าวสาลีให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะถึงคิวของข้าวโพด เสบียงทุกอย่างต้องถูกรวบรวมไว้ให้เรียบร้อยในเพิงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หลังบ้านก่อนพายุหิมะลูกแรกจะมาถึง แล้วพวกเขาก็จะอยู่อย่างสุขสบายและปรอดภัยในบ้านดอกเห็ดหลังน้อย ภายหลังเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเสบียงที่เหลืออยู่จะถูกแบ่งขายไปบางส่วนอีกบางส่วนเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธ์ ไม่มีใครในซีนาร์ยขายเสบียงก่อนฤดูหนาวเพราะมันเสี่ยงหากว่าอาหารที่เก็บไว้ไม่เพียงพอพวกเอาอาจจะอดตาย
คาโอเรียมองทุ่งข้าวโพดอย่างสุขใจเสียงใบข้าวโพดเสียดสีกันดังก้องอยู่รอบกาย ปีนี้ผลผลิตมีมากกว่าปีก่อนๆ บิดาของนางบอกเช่นนั้นหากนำพืชพรรณออกขายคงได้เงินมากพอ
อาเธอร์ตั้งใจจะออกเดินทางในทันทีที่พ้นจากฤดูหนาว เขาจะกลับไปที่โอรีเวียมีเรื่องราวบางอย่างให้ต้องสะสาง
แต่เขาคงไม่อยู่ที่นั่นนานนักหรอก
แนวป่ามืดครึ้มทอดตัวจากทางทิศตะวันตกไกลออกไปทางทิศเหนือ คาโอเรียเคยนึกสงสัยมาตลอดว่าในเงามืดของแมกไม้นั่นมีอะไรซุกซ่อนอยู่และนางจะมีโอกาสได้เห็นมันหรือไม่ ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นป่าเลยสักครั้งถ้าหน้าหนาวนี้ผ่านพ้นไปหากว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่บิดาของนางวางไว้ นางคงจะได้เห็นมากกว่านั้น
เยื้องจากแนวป่าไปทางทิศตะวันออกมีเทือกเขาสีดำสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีสดใส แม้จะแลดูห่างไกลแต่ทุกครั้งที่จ้องมองกลับรับรู้ถึงความแข็งแกร่งและพลังอันลึกลับ นอกเหนือจากความดำมืดคือความงดงามแต่เป็นความงามแบบข่มขวัญ มีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับเทือกเขานั้นซึ่งล้วนแล้วแต่ชั่วร้ายทั้งสิ้น
ลมแรงพัดมาวูบหนึ่งกระชากเอาหมวกผ้าสีซีดให้หลุดปลิวไปแต่คาโอเรียคว้ามันเอาไว้ได้ทัน เด็กหญิงผูกเชือกใต้คางให้แน่นหนาขึ้น มารดาของนางมักกำชับไว้ว่าถ้าออกไปกลางทุ่งต้องสวมหมวกเสมอ
“ กลับเข้าบ้านเถอะลูกลมชักจะแรงเกินไปแล้ว ”
อาเธอร์ร้องบอก
เขาสวมหมวกปีกกว้างตัดเย็บจากหนังกวางตากแห้ง หมวกใบนี้เขาตั้งใจเย็บเป็นพิเศษเพื่อให้ทนใช้งานได้นานและกันแดดกันฝนได้
พอเห็นคาโอเรียทำท่าอิดออดไม่อยากกลับฟิโลโซเฟอร์ก็ขว้างเศษหญ้ามาใส่ เด็กหญิงวัยสิบขวบจึงวิ่งตัดทุ่งกลับไปยังบ้านดอกเห็ดโดยมีกระต่ายน้อยขนฟูนามว่าลูกระโดดตามหลังไปติดๆ ม้าแกลบตัวอ้วนพีสองตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง เมื่อเห็นคาโอเรียผ่านไปมันก็เงยหน้าขึ้นแล้วร้องทักเสียงแหลม
ที่สวนผักเล็กๆ หลังบ้านคาโลไรน์กำลังเด็ดพริกใส่ตะกร้าหวาย พอคาโอเรียเปิดประตูรั้วลูก็ไม่รอช้ามันกระโดดผลุงเข้าไปในดงผักกาดขาวถ้ามันจะกัดสักต้นสองต้นคงไม่มีใครว่าอะไร
“ มาก็ดีแล้วมาช่วยแม่เก็บพริกดีกว่าเราต้องเร่งมือหน่อยบางทีหน้าหนาวปีนี้อาจมาเร็วก็ได้ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นนางโยนพริกอีกหนึ่งกำมือลงในตะกร้าแล้วยืดตัวขึ้นเพื่อลดอาการเมื่อยขบ
“ ทำไมถึงคิดว่าปีนี้จะหนาวเร็วล่ะคะ ”
ถึงจะถามไปอย่างนั้นแต่นางก็นั่งลงช่วยเก็บ
“ ไม่รู้สิแม่รู้สึกว่าอากาศมันแปลกๆ แม้ว่าเราจะมีเสบียงเพียงพอแต่หากเก็บเกี่ยวไม่ทันมันก็คือไม่มี เมืองซีนาร์ยไม่เคยอดอยากนั่นเป็นสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่สอนมา แต่ถ้าไม่เตรียมพร้อมพวกเราคงได้รู้จักคำว่าอดอยากแน่ ”
คาโลไรน์พูด
“ ข้าคิดถึงเพื่อนๆ ”
คาโอเรียเสียงเศร้า
“ แม่เข้าใจแต่ลูกก็รู้อยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ลูกคงไม่อยากป่วยหรอกนะ เพราะถ้าเกิดลูกป่วยขึ้นมาลูกจะไม่ได้พบใครอีกเลยแม้แต่พ่อกับแม่ ”
มุมสวนด้านหนึ่งมีต้นแอปเปิ้ลยืนต้นอย่างโดดเดี่ยว มันเพิ่งออกผลปีนี้เป็นปีแรกแต่ถึงกระนั้นยังให้ผลดกเต็มต้นและเริ่มเห็นผลสุกบ้างแล้วประปราย
แอปเปิ้ลต้นนี้เป็นต้นไม้ต้นเดียวในทุ่งหญ้าของเมืองซีนาร์ย อาเธอร์ฝากพ่อค้าต่างเมืองที่มักคุ้นกันซื้อต้นอ่อนมาให้เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสามปีของคาโอเรีย ในตอนนั้นใครๆ ต่างพูดกันว่าต้นไม้ต้นนี้ต้องตายอย่างแน่นอนดินเคยแถบนี้ไม่เคยปลูกไม้ยืนต้นมาก่อน แต่แอปเปิลต้นนี้กลับโตวันโตคืนเช่นเดียวกับคาโอเรีย
ในดินแดนของซีนาร์ยนี้ถ้าต้องการต้นไม้สักต้นต้องนั่งเกวียนลงใต้ไปไกลถึงป่าเครป หากเป็นเมื่อก่อนในยุคก่อนสงครามชาวเมืองแห่งนี้มักจะข้ามสะพานไปเก็บฟืนและหาของป่าในป่าดรายแอดซึ่งเป็นป่าในเขตดินแดนของเมืองคาเล แต่พอมาในยุคสงครามป่านั้นก็ถูกขนานนามใหม่ว่าดงมรณะและไม่มีชาวเมืองผู้ใดกล้าเข้าไปในป่านั้นอีกเลย
คาโอเรียกินแซนวิชไส้เนื้อเค็มกับมารดาเพียงสองคนในยามเที่ยงของวันนั้นเพราะสองพ่อลูกจะไม่กลับมาทานมื้อเที่ยงที่บ้าน งานในไร่ยุ่งเกินกว่าจะนั่งเกวียนถ่อไปมามีเพียงมื้อเย็นเท่านั้นที่พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหาร ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต่างเร่งรีบเพราะฤดูหนาวนั้นโหดร้ายนักและคนขี้เกียจมักอยู่ไม่รอดจนพ้นฤดูหนาว
“ ลมแรงจากทางทิศตะวันออก ”
อาเธอร์บ่นในค่ำคืนหนึ่ง
เขารู้สึกหงุดหงิดกับความกังวลใจที่คุกรุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ เพียงเพราะเหตุการณ์ประหลาดเล็กน้อยก็ทำเอาเขาคิดไปไกล
“ ใกล้หน้าหนาวลมจะพัดจากทางทิศเหนือแต่มีบ้างที่อากาศจะแปรปรวน คงไม่มีอะไรหรอกอาเธอร์มันก็แค่ลมเท่านั้น ข้าอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิตคงตลกพิลึกถ้าจะกลัวแม้กระทั่งสายลม ”
คาโลไรน์บอกแต่เหมือนนางจะปลอบใจตัวเองมากกว่า
“ นั่นสินะข้าคงคิดมากไปอันที่จริงข้าควรกังวลเรื่องฟืนต่างหาก เพราะเราแทบไม่มีเหลือแล้วถ่านหินก็มีอยู่ไม่กี่ถัง ”
“ ข้าไปด้วยข้าจะไปช่วยตัดฟืน ”
ฟิโลโซเฟอร์ร้องขึ้นด้วยสายตาเปล่งประกายแห่งความหวัง
“ แต่นั่นมันไกลมากเลยนะ ”
มารดาของเขาท้วงขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ เราคงต้องให้เขาช่วยคาโลไรน์ ปีนี้มีงานมากมายเหลือเกินถ้าเกิดลมหนาวมาถึงเร็วกว่ากำหนดพวกเราจะแย่เอานะ ”
อาเธอร์พูดพลางขยิบตาให้บุตรชาย
“ อย่างนั้นก็ได้อ้ออีกอย่างเรายังไม่มีเนื้อเลย ”
“ ข้าจะเร่งเก็บเกี่ยวพืชผักให้เร็วขึ้นหลังจากนั้นจะออกล่าสัตว์กับชาวคณะ ครอบครัวโซวาสันเห็นว่าเราควรจะไปไกลมากกว่าที่เคยไป เพราะเราล่ากันในทุ่งหญ้ามากเกินไปจนจะหมดอยู่แล้ว ”
อาเธอร์ว่า
“ โอ้ ไกลมากเลยหรือแล้วใช้เวลาเท่าไหร่ ”
“ ไม่รู้สิคงสัก 2-3 อาทิตย์ข้าหวังจะล่าให้ได้มากที่สุด ช่วงนี้หนังกวางตากแห้งราคาสูงมากเราจะได้มีเงินสำรองหากต้องเดินทางไปโอรีเวีย ”
“ ท่านพ่อข้าไปล่าสัตว์ร่วมกับท่านได้ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามอย่างมีความหวังเขากำธนูบนตักอย่างมีความหมาย
“ ไม่ได้เด็ดขาดเจ้ายังเด็กอยู่มากอาจจะเป็นอันตรายได้ ”
คาโลไรน์เสียงดุ
อาเธอร์ตบหัวบุตรชายด้วยความเอ็นดู
“ ข้าจะไปกับกลุ่มคาราวานคนพวกนั้นมีแต่นักล่าฝีมือดีเจ้าไปด้วยคงไม่เหมาะ อีกอย่างธนูของเจ้าน่ะมันล้มสัตว์ใหญ่ไม่ได้รอไห้อายุครบสิบห้าก่อนเถอะเราจะออกล่าสัตว์ด้วยกันสองคน เจ้าต้องอยู่บ้านคอยดูแลแม่และน้องระหว่างที่ข้าไม่อยู่เข้าใจไหมหน้าที่นี้ก็สำคัญไม่น้อยนะ ”
เด็กชายได้แต่รับคำเสียงอ่อย
“ คาโลไรน์ตอนนี้ที่ทุ่งเกล็ดมังกรคงเริ่มเก็บผลไม้ป่าได้แล้ว ข้าเห็นผู้คนทยอยกันไปตั้งแต่เมื่อวานพวกนั้นลือกันว่าทั้งทุ่งเต็มไปด้วยผลไม้ป่า ยังไงพรุ่งนี้เราสละเวลาไปกันบ้างดีไหมจะได้มีแยมกับผลไม้แห้งกินในหน้าหนาวนี้ ”
“ ดีเหมือนกันข้ากำลังอยากมีอะไรทาหน้าขนมปังสลับกับเนยบ้าง ถ้าได้แยมสตอเบอร์รี่สักโถหนึ่งน่าจะพอใช้ได้ ”
คาโลไรน์ยิ้มอย่างพออกพอใจ
เมื่อความมืดกรายเข้ามาตะเกียงแก้วใบเล็กก็ถูกจุดขึ้น น้ำมันสีเขียวคล้ำเหนียวข้นม้วนตัวอยู่ในโถแก้วโปร่งใส เปลวไฟสีส้มแสดพวยพุ่งขึ้นจากคฑาของนางฟ้าที่ประทับอยู่เหนือตะเกียงแก้ว ตะเกียงใบนี่คาโลไรน์หวงมากเพราะเป็นของขวัญชิ้นสำคัญในวันแต่งงานและเป็นของขวัญชิ้นเดียวที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
คาโลไรน์ชุนผ้าโดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียง ข้างกายมีคาโอเรียเฝ้าดูอยู่นางกำลังสอนบุตรสาวเรื่องการใช้เข็มกับด้าย ส่วนอาเธอร์และบุตรชายช่วยกันตรวจดูอุปกรณ์ล่าสัตว์เผื่อว่ามีชำรุดจะได้ซ่อมแซมเสียแต่เนิ่นๆ บางชิ้นที่ยังใช้การได้ดีฟิโลโซเฟอร์จะช่วยหยอดน้ำมันและเช็ดทำความสะอาด
อาเธอร์ให้ความเห็นว่าเตรียมไว้ให้พร้อมในตอนนี้จะดีกว่านี่ก็ใกล้หน้าเก็บเกี่ยวเต็มทีแล้วถ้างานในไร่เสร็จเมื่อไหร่เขาจะรีบออกล่าสัตว์ทันที นับวันจำนวนคนล่าสัตว์จะมีเพิ่มขึ้นทุกทีเมื่อครั้งแรกเริ่มที่เขาเข้ามาในซีนาร์ยทุ่งหญ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยฝูงกวางแต่เมื่อมีผู้คนอพยพมาอยู่มากขึ้นสัตว์ป่าก็ต้องถอยร่นไป
ในขณะที่อาเธอร์กำลังตะไบฟันของกับดักหมีอยู่ก็มีเสียงเคาะำประตูดังระรัวขึ้น พวกเขาต่างพร้อมใจกันเงยหน้าไปที่ประตูด้วยความประหลาดใจ
คาโลไรน์วางผ้าที่กำลังเย็บลงพลางหันไปมองอาเธอร์
“ ช่วยด้วย! ลูกชายข้า ได้โปรดเขากำลังจะตาย ”
เสียงหญิงคนหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรนอาเธอร์ลุกไปเปิดประตูทันที หญิงหน้าตาซีดเซียวนางหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงถูกรวบไว้กลางหัวอย่างลวกๆ ฟิโลโซเฟอร์จำได้ทันทีว่านางเป็นภรรยาของคนเลี้ยงแกะและเป็นมารดาของเพื่อนของเขาคนหนึ่ง บ้านของนางตั้งอยู่ริมเนินใกล้ๆ นี่เอง
“ เกิดอะไรขึ้นมาธาค่อยๆ เล่าสิเข้ามาข้างในก่อนคาโลไรน์ขอชาอุ่นๆ ที ”
มาธาทรุดกายลงนั่งที่ขอบประตูนางเล่าพลางสะอื้นพลาง
“ โยเซปไม่อยู่ลูกชายของข้าอาการทรุดหนักท่านต้องช่วยเขานะเขาทุรนทุรายเหลือเกิน ข้าทนดูต่อไปไม่ได้ท่านช่วยข้าที ข้าจะทำอย่างไรดีถ้าโยเซปกลับมาเขาจะว่าอย่างไรแล้วนี่ข้าจะต้องทำอย่างไร ”
นางคร่ำครวญอย่างคนเสียสติ
บุตรชายของนางล้มป่วยด้วยโรคประหลาดมาหลายวันแล้ว ตามหมอมากี่คนต่อกี่คนก็ไม่มีทีท่าว่าจะรักษาหาย คืนนั้นอาการป่วยทรุดหนักจนนางต้องตัดสินใจทิ้งบุตรเอาไว้ตามลำพังที่บ้านเพื่อออกมาขอความช่วยเหลือ
“ ข้าจะไปตามหมอในเมืองอย่าห่วงไปเลยเขาต้องไม่เป็นไร แล้วนี่เจ้ามายังไงมีม้ามาหรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามพลางปลอบพลาง
“ ข้าวิ่งมา ”
นางตอบเสียงสะอื้น
“ ดีแล้ว ไม่เป็นไรนะพักให้หายเหนื่อยก่อนทำใจดีๆ เข้าไว้ที่เหลือข้าจะจัดการเอง ”
อาเธอร์พูดเท่านั้นแล้วก็ออกไปม้าแกลบคู่ชีพพาเขามุ่งสู่บ้านของแม่มดที่เก่งที่สุดในเมืองนี้ นั่นเป็นความหวังสุดท้ายที่ต้องไขว่คว้าแม้จะริบหรี่เต็มที
มาธากลับไปหลังจากอารมณ์สงบลงไปบ้าง นางเดินโซซัดโซเซกลับสู่บ้านของนางด้วยหัวใจอันทุกข์ระทม บ้านหลังนี้จึงเหลือเพียงสามคนแม่ลูกนั่งล้อมวงกันเงียบๆ พวกเขากำลังรอคอยการกลับมาของอาเธอร์ ในยามที่ไม่มีเขาบรรยากาศรอบกายเงียบเหงาลงไปอย่างน่าประหลาด
คาโลไรน์จ้องเปลวไฟจากตะเกียงมันเป็นแสงสว่างอย่างเดียวในบ้านที่เหลืออยู่ แต่แท้จริงแล้วนางไม่ได้มองเห็นมันเลยจิตใจของนางล่องลอยไปไกลแสนไกล เด็กๆ เริ่มหลับไปทีละคนคาโลไรน์ค่อยๆ อุ้มบุตรทั้งสองไปนอนที่เตียงอย่างทะนุถนอมแล้วกลับมานั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างเช่นเดิม นางไม่ได้รอฟังข่าวดีเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเกิดขึ้น บ่อยครั้งที่นางหันไปมองบุตรทั้งสองด้วยความกังวลเงามืดแห่งความหวาดกลัวเริ่มแผ่เข้ามาสู่จิตใจที่แสนบอบบางทีละนิด
อาเธอร์กลับมาเมื่อเกือบรุ่งสางเขาถอดรองเท้าช้าๆ หน้าตาเคร่งขรึม ความรู้สึกหนักอึ้งโถมทับเข้ามาไร้การต่อต้านไร้แรงขัดขืน เขารู้ดีจุดจบมันเหมือนเดิมซ้ำๆ อยู่แบบนี้เรื่อยไป
“ เด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ ”
คาโลไรน์ถามเสียงเบาหวิว
“ นี่เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือนี่ ”
เขาไล้นิ้วบนเปลือกตาที่เขียวคล้ำของนางอย่างแผ่วเบา
“ ท่านพี่คะ บอกข้าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้น ”
นางกุมมือเขาไว้สายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเขา อาเธอร์ถอนใจยาว
“ ท่านดีมีนพ่อมดเฒ่าจากโอรีวียแวะไปที่นั่นมาแล้ว เขาเองก็จนปัญญาหาทางรักษาแต่เขาบอกมาธาว่าเมืองอันดอรีสอาจมีหมอที่จะรักษาโรคนี้ได้แล้วเขาก็จากไป ข้าเห็นเด็กคนนั้นแล้วก็เข้าใจมันคงจะยากเกินกว่าจะรักษาเด็กน้อยมีตุ่มฝีผุดขึ้นเต็มตัว แม่มดขาวที่ข้าตามตัวมาเมื่อคืนใช้มีดผ่าตุ่มฝีเหล่านั้นข้างในแผลมีกิ้งกือขดอยู่เต็มไปหมด มันซุกตัวอยู่ในแอ่งเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนอง เด็กคนนั้นเอาแต่ดิ้นทุรนทุรายเขาคงทรมานมาก กิ้งกือพวกนั้นพยายามไชตัวลึกลงไปในเนื้อของเขาและมันคงจะกัดกินเนื้อของเขาด้วย ”
“ อี๋ น่ากลัวจังแล้วเขาจะตายไหมจ๊ะ ”
อาโอเรียที่บังเอิญผ่านมาได้ยินร้องขึ้นภาพกิ้งกือนับร้อยกำลังดิ้นดุบดิบอยู่ใต้ผิวหนังผุดขึ้นมาทำให้นางขนลุก
“ ไปหาพี่ชายของเจ้าสิคาโอเรีย ”
คาโลไรน์บอก
“ แต่ว่าท่านแม่ ”
“ ไปพี่ชายเจ้ากำลังรีดนมวัวอยู่ไปช่วยเขา ”
คาโลไรน์เน้นเสียงเด็กหญิงจึงยอมไปแต่โดยดี
“ ข้าไม่อยากให้เด็กๆ มาได้ยินอะไรแบบนี้ แล้วมันเป็นอย่างไรต่อไปคะ ”
นางพูดเมื่อเห็นบุตรสาวเดินพ้นประตูออกไปแล้ว
“ พวกมันขดอยู่ไนฝีทุกหัว ”
อาเธอร์เล่าต่อ
“ แม่มดขาวคีบมันออกมาทีละตัวๆ นางปรุงยาทุกอย่างเท่าที่คิดออกแต่แล้วเด็กคนนั้นก็จากไป พวกเราเฝ้าอยู่ตรงนั้นทั้งคืนแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ”
เขาโอบกอดคาโลไรน์
“ โอไม่นะ! เราสูญเสียเด็กไปอีกแล้วมันจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดนะ ”
ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นต้องตายแต่นางก็อดเสียใจไม่ได้ และในใจลึกๆ นางเป็นห่วงบุตรทั้งสองของนางเหลือเกิน
งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สุสานกลางของเมืองซีนาร์ย ความตายของเด็กเป็นเรื่องเศร้าโดยเฉพาะตลอดสิบปีที่ไม่มีเด็กเกิดใหม่แม้แต่คนเดียว บิดาของเด็กชายผู้เสียชีวิตนำหินที่เลือกสรรจากริมหาดลำน้ำครายมาตั้งไว้หน้าหลุมศพ ชื่อของเด็กน้อยถูกสลักลงบนหินร่องที่เจาะลึกลงไปในเนื้อหินนั้นยากแก่การลบเลือนเช่นเดียวกับบาดแผลในใจของผู้เป็นบิดามารดา เขาทั้งสองมีบุตรเพียงคนเดียวแต่บัดนี้บุตรของเขากำลังเน่าเปื่อยผุพัง
ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก้มหน้าไว้อาลัยด้วยความเศร้าสลดเด็กๆ ถูกกันไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณพิธีโดยสิ้นเชิงเพราะเกรงกันว่าโรคนี้จะติดต่อไปยังเด็กๆ คนอื่น มารดาของเด็กน้อยผู้เสียชีวิตถูกลากตัวกลับบ้านก่อนพิธีกลบหลุมจะเริ่มขึ้นหลังจากที่นางพยายามฝังตัวเองไปพร้อมกับบุตรชาย เมื่อดินถูกโปรยลงไปจนเต็มแน่นดีแล้วผู้ที่มาร่วมงานต่างนำดอกลาเวนเดอร์มาวางเหนือเนินดินเพื่อไล่วิญญาณชั่วร้ายตามความเชื่อดั้งเดิม และแล้วพวกเขาก็ทยอยจากไปสุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงเด็กน้อยผู้นอนสงบนิ่งภายใต้ท้องทุ่งแห่งนี้ ในกาลนั้นดอกลาเวนเดอร์จึงร่วงหล่นลงอีกครั้งเพื่อให้เด็กชายที่น่าสงสารได้หลับอย่างสงบ แม้หนึ่งชีวิตจะจบสิ้นลงแต่อีกหลายชีวิตยังต้องดำเนินต่อข้ามคืนข้ามปีไม่มีสิ้นสุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ