โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) อำลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความคาโลไรน์ยื่นห่อผ้าสีน้ำตาลให้กับพ่อมดเฒ่า
ข้างในบรรจุด้วยอาหารและผลไม้แห้ง
“ โปรดรับสิ่งนี้ไว้เถิดมันเป็นอาหารที่ข้าพอจะจัดหาให้ท่านได้ในเวลานี้ ”
“ โอ! ในที่สุดก็มีเสบียงเส้นทางของข้าไม่มีร้านอาหารให้แวะได้บ่อยๆ หรอกนะขอบใจเจ้ามาก จริงสิข้ามีของฝากมาให้เด็กๆ ด้วย ”
ประโยคหลังพ่อมดพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
เขาดึงธนูคันเล็กออกมาจากเสื้อคลุมมอบให้แก่ฟิโลโซเฟอร์
เด็กชายรับไว้ด้วยมืออันสั่นเทานี่เป็นอาวุธชิ้นแรกของเขาถ้าไม่นับดาบไม้ที่เขาเหลาเอง
“ ข้าทำมันขึ้นมานานแล้วตั้งใจมอบให้เจ้าเป็นของขวัญทันทีที่เราพบกัน คันธนูน่ะทำจากไม้แอสเชียวนะและจงรู้ไว้ด้วยว่าด้วยคาถาของข้าลูกศรที่ถูกปล่อยจากธนูคันนี้มันสามารถพุ่งเข้าหาเป้าหมายได้เองแม้เจ้าจะยิงฝ่าไปในความมืดมันก็จะไม่พลาดเป้า แต่เจ้าจงเล็งให้ดีเสียก่อนเพราะคาถานี้จะเสื่อมไปเมื่อเจ้าโตเป็นหนุ่มถึงเวลานั้นแล้วเจ้าอาจกลายเป็นมือธนูที่แย่ที่สุดแห่งยุค ”
พ่อมดบอกเขาด้วยน้ำเสียงเอ็นดูแล้วจึงก็หันมาทางคาโอเรีย
“ ข้าไม่รู้มาก่อนว่ามีเด็กหญิงตัวน้อยๆ อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยแต่เอาเถิด ”
เขาหยิบหินสีดำก้อนเล็กๆ ออกมา
“ อัญมณีแห่งแดนสนธยาจะให้แสงสว่างแก่เจ้าในยามที่ความมืดปกคลุม แม่มดขาวบนเทือกเขาคีรีออสมอบให้ข้าแต่ข้าคิดว่าถ้ามันอยู่กับเจ้าดูจะเหมาะกว่า สิ่งนี้หาใช่อาวุธไม่แต่นำความแข็งแกร่งมาให้ท่านได้นางบอกข้าเช่นนั้น แต่ข้าก็ไม่เคยพบสิ่งใดนอกจากแสงสว่างที่อบอุ่น ”
“ นางให้ท่านแล้วท่านนำมาให้ข้าเช่นนี้นางจะไม่เสียใจหรือ ”
คาโอเรียว่าด้วยสีหน้ากังวล
“ โอ้ที่นางให้มิใช่นางชื่นชอบข้าหรอกนะเจ้าอย่าเข้าใจผิดไป อีกอย่างนางหลงใหลเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเช่นเจ้าถ้านางรู้เข้าจะยินดีเสียด้วยซ้ำ ”
พ่อมดกำหินไว้ในอุ้งมือพอคลายออกก็บังเกิดแสงสีเงินสว่างเรื่อเรืองขึ้น
เขากำมืออีกครั้งหินที่เปล่งแสงสว่างไสวก็ดับวูบลง
คาโอเรียรับมันไปด้วยความตื่นเต้น
ลูวิ่งเข้ามาดมๆ ดูว่านั่นจะใช่อาหารของมันหรือไม่
เด็กหญิงกำหินก้อนนั้นแต่พอคลายมือออกมันก็ยังเป็นหินสีดำหม่นมัวเช่นเดิม
“ ข้าไม่มีเวทมนตร์อันใด ”
นางพูดเสียงละห้อย
“ ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เลยสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทยุคโบราณ ออกแบบมาให้มนุษย์สามารถใช้การได้ เจ้าต้องการเพียงแค่ความเชื่อมั่นและจิตใจที่แข็งแกร่งเท่านั้น ”
พ่อมดลูบผมคาโอเรียแล้วลุกขึ้น
“ เอาล่ะถึงเวลาที่ต้องไปแล้วแม้ระยะทางยังอีกยาวไกล แต่เมื่อคนได้กินอิ่มม้าได้หยุดพักการไปถึงจุดหมายคงเป็นไปได้ง่าย ว่าแต่สะพานข้ามแม่น้ำครายที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหนกัน ”
เขาหันไปทางอาเธอร์
“ ซีนาร์ยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดงมรณะสะพานที่เคยใช้ข้ามไปมาถูกเผาทำลายเมื่อหลายปีที่แล้วก็ในช่วงสงครามนั่นแหละ มีปีศาจกลุ่มหนึ่งพยายามข้ามแม่น้ำโดยใช้สะพานนั่นพวกเราจึงช่วยกันทำลายมันเสีย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกลายใกล้แถวนั้นอีกข้าคิดว่ามันคงจะใช้การไม่ได้ เคยมีคนคิดจะซ่อมมันอยู่เหมือนกันแต่ดงมรณะมันดูน่ากลัวพิกลชาวบ้านเลยเปลี่ยนใจทิ้งเอาไว้อย่างนั้น ท่านคงต้องเลียบลำน้ำขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบสะพานของเมืองอันดอรีสสักแห่ง ที่นั่นท่านสามารถข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ”
พ่อมดพยักหน้า
เขาสวมหมวกเก่าๆ ใบเดิมผมหงอกขาวลุ่ยลงมารกรุงรัง
หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยแล้วเขาก็หันมาทางคาโลไรน์
“ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อใหญ่ที่อร่อยที่สุดในแดนนี้ ”
คาโลไรน์ก้มหัวตอบอย่างนอบน้อม
“ ท่านชมเกินไปแล้วท่านดีมีน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะรบกวนท่านที่บ้านคนเลี้ยงแกะริมเนินทางโน้นมีเด็กชายนอนป่วยอยู่ อาการเหมือนจะเป็นไข้ป่าแต่ตามหมอมากี่คนก็รักษาไม่หาย ถ้าท่านผ่านไปทางนั้นได้โปรดแวะไปดูเขาทีเถิดพวกชาวเมืองก็หวั่นๆ กันว่าเขาอาจจะเป็นโรคระบาด ข้าเองก็ไม่อยากให้เด็กๆ เข้าไปใกล้ ”
พ่อมดรับปากพลางกระโดดขึ้นบนหลังม้า
“ ท่านผู้เฒ่าต้องกลับมาหาพวกเราอีกนะ ”
เด็กทั้งสองตะโกนตามหลังพ่อมดดีมีนที่กำลังขี่ม้าห้างออกไปเรื่อยๆ
“ ท่านพ่อเมืองโอรีเวียนี่รุ่งเรืองมากเลยหรือ ”
เด็กชายถามขึ้นในค่ำคืนนั้น
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้โอรีเวียเป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยผู้กล้านักรบและเหล่าผู้วิเศษ ที่นั่นไม่มีกษัตริย์ปกครองหากแต่อยู่ในความดูแลของสภาพ่อมด คนที่มีอำนาจและความร่ำรวยเท่านั้นจึงจะถูกยกย่องในสังคมเมืองโอรีเวีย เจ้าแห่งสภาพ่อมดนั้นได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก แม้กษัตริย์แห่งเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังต้องก้มหัวให้ ”
อาเธอร์พูดพลางทรุดกายลงนั่นข้างประตู
เขาพยายามนึกถึงสิ่งอื่นใดที่ห่างไกลจากโอรีเวีย
แต่บุตรชายก็ยังไม่สิ้นความอยากรู้
“ หมายถึงทุกเมืองต่างเป็นเมืองขึ้นของโอรีเวียใช่หรือไม่ ”
“ ไม่ถึงขนาดนั้นแค่แสดงความเคารพยำเกรงเท่านั้นและโอรีเวียเองก็อำนวยประโยชน์ต่อเมืองต่างๆ อยู่เสมอ ”
“ อ้อ ”
เด็กชายพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว
“ แล้วโรงเรียนที่ท่านพ่อเคยเรียนเป็นยังไงหรือคงใหญ่โตมากเลยล่ะสิ ”
“ โอ! นี่ลูกถามเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว คาโลไรน์เราจะทำอย่างไรดีกับฟักทองนั่น ”
อาเธอร์รู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวจึงหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย
เขาชี้ไปที่ฟักทองลูกใหญ่ที่เขาหิ้วติดมือมาจากสวน
บนนั้นมีกระต่ายขนสีขาวฟูฟ่องนั่งหมอบอยู่อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“ ยัดไส้กระต่ายคงจะอร่อย ”
ฟิโลโซเฟอร์ออกความเห็นอย่างคึกคะนอง
คาโอเรียคว้ามันขึ้นมาแนบอกสายตามองพี่ชายอย่างขุ่นเคือง
หลังอาหารมื้อเย็นอาเธอร์พาลูกทั้งสองออกมานั่งชมจันทร์ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน เขาชี้ให้เด็กๆ ดูทางช้างเผือกแล้วเล่านิทานเก่าแก่ให้ฟัง
“ ถ้าข้าโตกว่านี้ข้าจะไปโอรีเวีย ”
เด็กชายพูดขึ้นเช่นนั้นเพราะหัวใจยังติดพันอยู่ไม่หาย
“ เหตุใดเจ้าจึงอยากไปโอรีเวียนักล่ะ ”
คนเป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ เพราะว่า ”
เด็กน้อยนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิด
“ ที่นั่นมีคนเก่งมากมายท่านพ่อบอกเช่นนั้นและข้าก็อยากพบกับพวกเขา บางทีข้าอาจมีเพื่อนดีๆ ที่จะร่วมเดินทางไปพร้อมกับข้า เหมือนนิทานที่ท่านพ่อเล่าให้ฟังมันน่าตื่นเต้นดีมิใช่หรือ ”
อาเธอร์จ้องมองบุตรชาย
ภายใต้แสงจันทร์เด็กน้อยมีนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวมือของเขายังกำธนูที่พ่อมดให้มา อะไรบางอย่างในตัวของเด็กคนนี้ทำให้เขาคิดถึงแอสเธอลาส แต่ฟิโลโซเฟอร์นั้นยังไร้เดียงสากว่าอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันถึงความคิดจะเหมือนกัน แต่การแสดงออกทำให้รู้ว่าเป็นคนละคน น้องชายของเขานั้นมุ่งมั่นมุทะลุแต่ก็ไม่ได้ตรงไปตรงมาในแบบที่เด็กชายคนนี้กำลังเป็นอยู่
ตระกูลของอาเธอร์เป็นนักรบมาแต่ครั้งบรรพชน เคยสร้างชื่อในสงครามใหญ่ๆ หลายต่อหลายครั้ง แม้ในสงครามแห่งพันธะสัญญาที่เพิ่งผ่านพ้นก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลถูกเคลือบแคลงไป แต่นั่นก็ต้องแลกด้วยชีวิตของน้องชายคนเดียวของเขา
ในอดีตเขาก็เคยกรำสงครามมาไม่น้อยแต่ไม่ว่าสงครามจะจบลงในรูปแบบใด สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็มีแต่ความสูญเสียชื่อเสียงและเงินทองที่ได้มาไม่คุ้มกันเลยสักนิดดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหันหลังให้มัน เขาเชื่อว่าดาบไม่สามารถสร้างเมืองให้เจริญได้ ไถกับคราดต่างหากเล่าที่จะทำให้ประชากรอิ่มท้อง โอรีออนบิดาของเขาคัดค้านความคิดนี้ของเขาอย่างหนัก
‘ อาชีพชาวไร่ชาวนานั่นมันงานของคนอ่อนแอไร้ความสามารถ ’
บิดาของเขาตะโกนไล่หลังเมื่ออาเธอร์ประกาศจะเลือกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
เขาต้องซมซานหนีมาให้ไกลจากความดูแคลน ในที่สุดเขาก็มาถึงชนบทอันห่างไกลมันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ใครๆ ต่างมองข้าม เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และชาวพื้นเมืองที่อบอุ่นเป็นกันเอง เขาเริ่มสร้างครอบครัวของเขาขึ้นที่นี่และตั้งใจจะปักหลักอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไม่คิดจะหวนกลับไปหาความวุ่นวายเช่นเดิมอีก เขาได้ทำตามที่ใจปรารถนาใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา จนกระทั่งพ่อมดดีมีนซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของบิดาเขาได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับข่าวคราวอันน่าสะเทือนใจ อะไรบางอย่างในการปรากฏตัวของพ่อมดผู้นี้ทำให้เขาหวั่นใจว่าเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขอย่างนี้อีกนานแค่ไหนกัน การที่โอรีเวียส่งพ่อมดอย่างท่านดีมีนมาสืบข่าวในเมืองอันดอรีสเขากลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเมืองนั้น
“ ท่านพ่อว่าอย่างไรเล่าจะให้ข้าไปไหม ”
เสียงเด็กชายตัวน้อยปลุกเขาขึ้นมาจากความอันวุ่นวายสับสน
“ แน่นอนลูกข้า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพร้อมเท้าของเจ้าจะได้ท่องไปทุกที่ในผืนแผ่นดินนี้ตามแต่ใจเจ้าปรารถนา ”
อาเธอร์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำตามอย่างโอริออนบิดาของเขา
ฟิโลโซเฟอร์ต้องได้เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น
คืนนี้เป็นคืนที่สวยงามท้องฟ้าพร่างพรายด้วยดวงดาวนับล้านดวง สูงขึ้นไปไกลเกินกว่าที่ใครจะคาดถึงทางช้างเผือกทอดผ่านความมืดของฟากฟ้าดังจะนำพาดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปส่งยังสุดขอบจักรวาลอันเวิ้งว้างตามความเชื่อโบราณ บรรยากาศรอบกายเย็นยะเยือกสายลมนิ่งสงัด อาเธอร์เพิ่งสังเกตเห็นว่ารอบกายนั้นเงียบเชียบเพียงใด ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกไม่สบายใจท่ามกลางความสงบมันเหมือนมีอะไรซุ่มซ่อนอยู่ประดุจเสือดำที่แฝงตัวอยู่ในความมืด
อาเธอร์ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลยเขาพยายามผลักดันให้ตัวเองเชื่อว่า ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะข่าวการตายของบิดามันกะทันหันเหลือเกิน นั่นสิจะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไรซีนาร์ยเป็นเมืองที่รักสงบไม่ยุ่งเกี่ยวกับสงครามและสงครามก็จบไปนานแล้ว เขาได้ยินข่าวจากกลุ่มพวกนักเดินทางว่ากองทหารได้ถอนกำลังออกจากซากเมืองคาเลจนหมดสิ้น ภายในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่และแทบไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้าไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เป็นเรื่องน่าแปลกที่เมืองกันชนเล็กๆ อย่างซีนาร์ยซึ่งอยู่ติดกับคาเล มีเพียงแม่น้ำครายซึ่งเป็นลำน้ำสายใหญ่กั้นเป็นรั้วเขตแดนแต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีพลเมืองของคาเลเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือสร้างความยุ่งยากให้กับชาวซีนาร์ยเลย จะว่าไปพวกเขาคือกลุ่มชนลึกลับที่แทบไม่ปรากฏกายให้ใครเห็น ในอดีตกาลนั้นพวกเขามีสะพานไม้ข้ามฝากเชื่อมหากันได้ด้วยซ้ำก่อนจะถูกทำลายลงในยุคสงคราม บ่อยครั้งไปที่ชาวบ้านข้ามฝั่งไปเก็บฝืนและหาของป่าตามคำบอกเล่าของคนเหล่านั้นพวกเขาไม่เคยพบผู้ใด ที่นั่นดูเปลี่ยวร้างแต่ไม่เป็นอันตราย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ