โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
138.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
43) มังกรและมนต์ดำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมันยากที่จะหาใครพบอย่างที่ดารีลว่าจริงๆ ในสถานที่แบบนี้ พวกเขาเดินวนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เสียงเพลงและเสียงสวดมนต์ลอยแผ่วเบาทั่วบริเวณยิ่งทำให้บรรยากาศดูเคร่งขรึม ฝั่งขวาของอนุสาวรีย์ไกลออกไปพอมองเห็นนั่นก็คือปราสาทขาว พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดแหลมของปราสาทส่งให้ตัวปราสาทเปล่งประกายขึ้น
เสียงระฆังกระหึ่มขึ้นเหนือหัว
พ่อมดน้อยเงยหน้ามองตามเสียงคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน
“ ตีระฆังเวลานี้หมายความว่าอย่างไรนะ หอระฆังก็สูงอย่างนั้น คงไม่มีเด็กปีนขึ้นไปเล่น ”
ไม่เพียงดารีลเท่านั้นที่รู้สึกพิศวง ผู้คนทั่งทั้งงานต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน ระฆังยังก้องระรัวไม่ขาดสายราวกับเสียงเตือนจากหอระวังภัยในยามสงคราม
เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นกลางป่าละเมาะ มังกรสีเขียวเรื่อเรืองตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นเหนือยอดไม้ มุ่งสู่ท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ ในตอนแรกฟิโลโซเฟอร์ตกใจจนตัวแข็ง แต่แล้วเขาก็พบว่ามันไม่ใช่ของจริงทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีเขียว เพราะมันคือพลุไฟแบบพิเศษนั่นเอง ปีกขนาดใหญ่ของมันสยายออกราวกับมีชีวิต
พวกเขาต่างจ้องมองมองพลุมังกรโฉบไปมาบนท้องฟ้า แล้วทันใดมันก็หันหัวพุ่งเข้าใส่อนุสาวรีย์จนระเบิดดังสนั่นไฟลุกท่วมตั้งแต่ปลายยอดจนถึงฐานที่ตั้ง ลูกไฟหลายลูกหล่นกราวลงมาเกลื่อนพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ แต่เมื่อไฟสงบลงอนุสาวรีย์ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิม ไม่มีแม้รอยขีดข่วนปรากฏแก่พื้นผิวราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุอันใดมาก่อนขึ้นมาก่อน หลังจากเหตุการณ์สงบลงหลายคนเริ่มส่งเสียงหัวเราะ แต่ก็มีอีกหลายคนที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ ไม่มีสำมาคารวะ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เป็นกันหมด ”
ชายชราคนหนึ่งบ่นเขามองขึ้นไปบนปลายยอดของอนุสาวรีย์อย่างหวงแหนและเทิดทูล
“ ใช่แล้วการล้อเล่นแบบนี้ช่างต่ำทรามนัก ”
อีกคนหนึ่งกล่าว
บทเพลงบรรเลงขึ้นเบาๆ เสียงดนตรีนั้นหวานใสแต่แฝงไปด้วยความเศร้าโศก
“ ตลอดเจ็ดปีให้หลังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตลอด ไม่น่าเชื่อที่บางคนยังไม่ชินกับมัน ”
ดารีลว่า
ฟิโลโซเฟอร์เห็นลูกไฟสีเขียวกลิ้งเข้าไปใต้ผ้าคลุมของพ่อมดหนุ่มน้อย เขาไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหยิบและโยนออกไปโดยเร็ว
“ ทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
ดารีลถาม
“ มีไฟอยู่ตรงนี้ข้าเกรงว่าจะลุกติดเสื้อผ้าของเจ้า ”
เด็กชายตอบ
“ แล้วเจ้าก็ใช้มือเปล่าปัดออก ”
“ ใช่ ”
เขาตอบพลางสำรวจมือตัวเองรู้สึกประหลาดใจที่ไม่บาดเจ็บอะไรเลย
“ แค่ไฟเย็นน่ะ ข้านึกว่าเจ้าจะรู้ พลุนี่จะถูกจุดตอนเปิดงานน่าแปลกที่เพิงมาจุดเอาตอนนี้ ถึงว่ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรผิดไปจากที่เคยเป็น ”
คนอายุมากกว่าเล่า
“ จริงด้วย ข้าลืมไป ”
เด็กชายเพิ่งนึกได้ว่ามันเมือนพลุไฟที่เขาเคยเล่นที่บ้าน
แล้วก็นึกประหลาดใจช่างเป็นวิธีเปิดงานที่พิลึกดีแท้
“ เหมือนจะมีคนไม่ชอบใจอยู่นะกับการทำแบบนี้ แล้วเผาอนุสาวรีย์ด้วยไฟเย็นไปทำไม ที่เจ้าว่าเจ็ดปีให้หลังหมายถึงก่อนหน้านี้ไม่มีพิธีกรรมแบบนี้หรือ แต่เพิ่มเข้ามาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วนี่เอง ”
ก่อนที่ดารีลจะทันได้ตอบก็เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นจากทิศทางเดิมอีกครั้ง
มังกรสีฟ้าพุ่งขึ้นจากกลางป่าละเมาะที่ฟิโลโซเฟอร์ใช้เดินผ่านไปเมื่อวาน
“ โอ้ ”
ดารีลถึงกับอุทานด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึงเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น
แต่ก่อนที่เด็กชายจะได้ถามว่าเขาตกใจอะไร ดารีลก็สะบัดชายผ้าคลุมทับร่างเด็กชายจนมิด เขาได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องดังตูมจนหูอื้อ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอันน่าเจ็บปวดและอีกมากมายที่บ่งบอกถึงเหตุโกลาหล ฟิโลโซเฟอร์จึงเลิกผ้าคลุมออกด้วยความสงสัย
สิ่งแรกที่เห็นคือดารีลยืนกำคทาแน่น สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในป่าด้วยอาการเครียดขรึม เด็กน้อยรู้สึกโล่งใจที่พ่อมดน้อยไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่รายล้อมรอบกายพวกเขาทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกบางคนล้มลงและถูกเหยียบซ้ำ บางคนถูกไฟคลอกดิ้นทุรนทุราย
“ นี่มันอะไรกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความประหลาดใจปนตกใจ
“ มันคือมังกรปีศาจสร้างขึ้นจากมนต์ดำ ”
ดารีลตอบเสียงเยือกเย็น
“ พ่อข้าบอกว่าความชั่วร้ายไม่มีทางบินข้ามกำแพงเมืองโอรีเวียเข้ามาได้ ”
เด็กน้อยพูดตามที่ได้ยินมา
“ ที่กล่าวนั้นมาไม่มีผิดเลย แต่ถ้าใครบางคนเดินเข้าประตูแล้วร่ายคาถาอุบาทว์ภายในเมืองแบบเมื่อครู่ ก็จะกลายเป็นอย่างที่เห็นทันที และข้าเคยเตือนเรื่องนี้กับสภาจนเบื่อจะเตือนแล้ว ”
ดารีลจ้องหน้าฟิโลโซเฟอร์อย่างช่างใจ
ในที่สุดเขาก็เอ่ย
“ เห็นปราสาทขาวนั่นไหมเอาล่ะเจ้าจงวิ่งตามพวกเขาเข้าไปหลบอยู่ข้างใน นั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะตามหาเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแค่วิ่งให้เร็วที่สุดเจ้าทำได้อยู่แล้ว ”
“ แต่ ”
“ อย่าห่วงเลย ข้ารับรองว่าจะไม่มีสิ่งใดทำร้ายเจ้าได้ หากเจ้าเชื่อฟังข้าทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ”
“ แล้วท่านหล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าวด้วยอาการร้อนรน
เขามองเห็นคนตายมากมายและอีกหลายคนที่กำลังดิ้นรนจมกองเลือด
ภาพที่เห็นทำไห้หัวใจหนาวเยือก
น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกกลัวสิ่งเหล่านั้น
ที่เขากลัวคือดารีลอาจจากไปตลอดกาล
“ ข้ามีธุระ คนบางคนคงอยากเจรจากับข้า ”
พ่อมดน้อยตอบ
“ ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย ”
“ เพ้อเจ้ออีกแล้ว หมอนั่นใช้มนต์ดำและภายในป่านั่นข้าอาจปกป้องเจ้าไม่ได้ไม่เข้าใจหรือไง ”
“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องไปด้วย ถ้าเจ้านั่นคิดร้ายกับท่านข้าจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที ”
ดารีลได้ยินดังนั้นแล้วถึงกับถอนหายใจเฮือก
“ นี่ฟังนะ ”
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบก็เกิดเสียงชวนพรั่นพรึงขึ้นที่กลางป่าเป็นครั้งที่สาม
ดารีลหันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
หนุ่มน้อยนักเวทย์กำคทาไว้ในท่าเตรียมพร้อม
“ ให้ได้อย่างนี้สิ ”
เสียงบ่นนั้นแผ่วเบาพอได้ยิน
“ บางทีเราไม่ควรยืนในที่โล่งแบบนี้นะ ”
ฟิโลโซเฟอร์เสนอ
“ เป็นคำแนะนำที่น่าสนใจไว้คราวหน้าข้าจะทำตามที่เจ้าบอก ”
มังกรสีฟ้าพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันมาพร้อมกันสองตัวต่างเหินขึ้นมาเหนือศีรษะของคนทั่งคู่และทำท่าจะทิ้งดิ่งลงมา ดารีลกระแทกคทาลงกับพื้น ปีศาจร้ายทั้งสองก็ถูกยกสูงขึ้นไปเหมือนโดนภายุหมุน ปีกที่แผ่กว้างไม่สามารถโบกสะบัดได้ ร่างของพวกมันแข็งทื่อจากนั้นค่อยๆ ดับมืดลงและร่วงกระแทกพื้นพร้อมกัน ร่างของมังกรปีศาจแตกกระจายกลายเป็นเถ้าถ่านคลุ้งทั่วบริเวณ
“ ข้าเริ่มหมดอารมณ์อยากเจรจาแล้วสิ ”
ดารีลพูดพลางปัดฝุ่นจากไหล่ สำหรับเขาแล้วเสื้อคลุมและหน้ากาสีขาวปกป้องเขาไว้ แต่เด็กชายที่ยืนอยู่เคียงข้างนั้นขาวโพลนทั้งตัวด้วยเศษขี้เถ้า
เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังก้องไปทั่วจนฟิโลโซเฟอร์ต้องตกใจ เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ซีนาร์ยครั้งหนึ่งและที่บ้านชายชรานามว่าชาร์โคลอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมันคือเสียงเตือนหายนะ ใจหนึ่งอยากดึงดารีลเข้าที่กำบังแต่เมื่อเห็นเขายืนเฉยไม่สะทกสะท้านจึงเริ่มลังเล
“ ท่านได้ยินเสียงร้องนั่นหรือเปล่า ”
“ อะไร อ้อ! นั่นหรือมันเป็นเสียงมายาเจ้าจะได้ยินจากในหัวของเจ้ามิใช่โดยหูทั้งสองข้าง เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเพราะมันไม่มีอยู่จริง เป็นคาถาง่ายๆ ไว้ข่มขวัญศัตรู ”
หนุ่มน้อยนักเวทย์อธิบาย
พูดจบเขาก็เอียงคอน้อยๆ คอยฟังเสียงต่างๆ
“ แต่ข้าเคยได้ยินเสียงแบบนี้สองครั้งและทุกครั้งมักตามมาด้วยหายนะ ”
ดารีลหันมามอง
“ เจ้ารู้จักเคอร์คารอนหรือไม่ ”
“ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อ มันอยู่ในนิทานบางเรื่องของท่านพ่อ ”
“ นั่นมันล่ะและข้ายินดีด้วยที่เจ้าพบปีศาจในตำนานเข้าแล้ว ว้าชุดนี้ราคาแพงนะหญิงซักผ้าคงบ่นข้าหูชาแน่ ”
เจ้าของร่างบอบบางว่าพลางสะบัดฝุ่นออกจากผ้าคลุม
“ มันใช่เวลามาห่วงเสื้อผ้าหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ท้วง
มีเสียงตะโกนและเสียงของโลหะกระทบกันดังลั่นในป่า
“ พวกเขามาถึงกันแล้ว ผู้คุ้มกันแห่งโอรีเวีย ช้าจนน่าตกใจว่าแต่ข้าจำเป็นต้องเข้าไปช่วยหรือเปล่านั่น ”
ดารีลว่า
“ คงไม่ต้องแล้วล่ะทุกอย่างเรียบร้อยดี ”
เขาถามเองตอบเองหน้าตาเฉย
“ ฟิโลโซเฟอร์นั่นเจ้าใช่ไหม ”
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากอีกฟากหนึ่งของสุสาน
พร้อมกับร่างสามร่างพุ่งตรงเขามา
บิดามารดาและน้องสาวของเขานั่นเอง
“ พวกเราได้ยินว่ามีการประทะกันที่นี่ กลัวแทบตายว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป ว่าแต่ลูกมาทำอะไรตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ”
คาโลไรน์ว่าพลางโถมตัวเข้ากอดบุตรชาย
“ ท่านผู้นี้คือ ”
อาเธอร์ถามบ้าง
แม้ร่างที่อยู่ตรงหน้าจะสวมหน้ากากแต่เขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
ดารีลไม่ตอบ
เขาเพียงแต่โค้งให้อย่างสุภาพ
“ นายน้อย นายน้อย ”
เสียงเอะอะดังใกล้เข้ามา
หัวหน้าองครักษ์ของดารีลนั่นเอง
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ แล้วท่านบาดเจ็บหรือเปล่า ”
เขารัวคำถามใส่เป็นชุด
“ คำถามของท่านยากเกินไปแล้ว ข้าตอบได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นคือข้าปรอดภัยดี ”
“ นายน้อยนี่เป็นเรื่องใหญ่ ท่านเลิกล้อเล่นเสียทีในป่านั่นมีการต่อสู้ ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อยบางทีอาจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ส่วนท่านก็จงรออยู่ตรงนี้และระวังตัวด้วย ”
หัวหน้าองครักษ์ผู้สวมหน้ากากกระเบื้องสีขาวว่าพลางทำท่าจะเดินไป
“ ไม่ต้อง ”
ดารีลเสียงเข้ม
“ เข้าไปก็ตายเปล่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารเกราะทองเถอะ สู้กับผู้ใช้มนต์ดำในป่ารกแบบนั้นคนมากเสียเปรียบ ดีไม่ดีก็ฆ่ากันเอง อีกอย่างเจ้านั่นหนีไปแล้วด้วย ”
ดารีลชี้ให้ดูกลุ่มนกสีดำที่บินขึ้นเหนือป่าก่อนจะอันตระธานหายไป
“ อะไรนะ แล้วพวกนั้นสู้กับใคร ”
นายทหารว่าเพราะเสียงต่อสู้ยังดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง
“ คิดว่าสู้กับใครล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันท่านนำสิ่งนี้ไป ปาลงพื้นให้แตก อ้ออย่าลืมหาผ้าปิดปากปิดจมูกตัวเองก่อนล่ะ ”
เขายื่นขวดแก้วสีขุ่นให้คนของเขา
“ ที่จริงป้องกันโอรีเวียคืองานของทหารเกราะทอง ส่วนข้าต้องยืนข้างวาลานในยามที่มีภัย แต่เวลาเช่นนี้ข้ากลับยังอยู่ตรงนี้ รู้สึกคืนนี้ข้าจะมีงานซะแล้ว ”
ดารีลพูด
“ ข้าเชื่อว่านายน้อยจะแก้ปัญหาความขุ่นใจของท่านวาลานได้ไม่ยาก ”
หัวหน้าองครักษ์บอก
“ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นฝากบอกลอร์ดเดเวอร์ลอสด้วยว่าคืนนี้ข้าต้องกลับดึก ”
เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดคลุมขาวหันไปมองฟิโลโซเฟอร์
“ คิดที่จะสู้กับผู้ใช้มนต์ดำด้วยมือเปล่าเจ้าต้องเสียใจแน่ ”
เขาว่าด้วยเสียงกระซิบ
“ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าเดินเข้าหากองไฟโดยไม่คิดทำอะไร เป็นหรือตายไม่สำคัญ ขอเพียงไม่ต้องมาคิดเสียใจเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”
เด็กชายตอบ
เสียงระฆังกระหึ่มขึ้นเหนือหัว
พ่อมดน้อยเงยหน้ามองตามเสียงคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน
“ ตีระฆังเวลานี้หมายความว่าอย่างไรนะ หอระฆังก็สูงอย่างนั้น คงไม่มีเด็กปีนขึ้นไปเล่น ”
ไม่เพียงดารีลเท่านั้นที่รู้สึกพิศวง ผู้คนทั่งทั้งงานต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน ระฆังยังก้องระรัวไม่ขาดสายราวกับเสียงเตือนจากหอระวังภัยในยามสงคราม
เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นกลางป่าละเมาะ มังกรสีเขียวเรื่อเรืองตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นเหนือยอดไม้ มุ่งสู่ท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวและแสงจันทร์ ในตอนแรกฟิโลโซเฟอร์ตกใจจนตัวแข็ง แต่แล้วเขาก็พบว่ามันไม่ใช่ของจริงทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีเขียว เพราะมันคือพลุไฟแบบพิเศษนั่นเอง ปีกขนาดใหญ่ของมันสยายออกราวกับมีชีวิต
พวกเขาต่างจ้องมองมองพลุมังกรโฉบไปมาบนท้องฟ้า แล้วทันใดมันก็หันหัวพุ่งเข้าใส่อนุสาวรีย์จนระเบิดดังสนั่นไฟลุกท่วมตั้งแต่ปลายยอดจนถึงฐานที่ตั้ง ลูกไฟหลายลูกหล่นกราวลงมาเกลื่อนพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ แต่เมื่อไฟสงบลงอนุสาวรีย์ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิม ไม่มีแม้รอยขีดข่วนปรากฏแก่พื้นผิวราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุอันใดมาก่อนขึ้นมาก่อน หลังจากเหตุการณ์สงบลงหลายคนเริ่มส่งเสียงหัวเราะ แต่ก็มีอีกหลายคนที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ
“ ไม่มีสำมาคารวะ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เป็นกันหมด ”
ชายชราคนหนึ่งบ่นเขามองขึ้นไปบนปลายยอดของอนุสาวรีย์อย่างหวงแหนและเทิดทูล
“ ใช่แล้วการล้อเล่นแบบนี้ช่างต่ำทรามนัก ”
อีกคนหนึ่งกล่าว
บทเพลงบรรเลงขึ้นเบาๆ เสียงดนตรีนั้นหวานใสแต่แฝงไปด้วยความเศร้าโศก
“ ตลอดเจ็ดปีให้หลังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตลอด ไม่น่าเชื่อที่บางคนยังไม่ชินกับมัน ”
ดารีลว่า
ฟิโลโซเฟอร์เห็นลูกไฟสีเขียวกลิ้งเข้าไปใต้ผ้าคลุมของพ่อมดหนุ่มน้อย เขาไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหยิบและโยนออกไปโดยเร็ว
“ ทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
ดารีลถาม
“ มีไฟอยู่ตรงนี้ข้าเกรงว่าจะลุกติดเสื้อผ้าของเจ้า ”
เด็กชายตอบ
“ แล้วเจ้าก็ใช้มือเปล่าปัดออก ”
“ ใช่ ”
เขาตอบพลางสำรวจมือตัวเองรู้สึกประหลาดใจที่ไม่บาดเจ็บอะไรเลย
“ แค่ไฟเย็นน่ะ ข้านึกว่าเจ้าจะรู้ พลุนี่จะถูกจุดตอนเปิดงานน่าแปลกที่เพิงมาจุดเอาตอนนี้ ถึงว่ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรผิดไปจากที่เคยเป็น ”
คนอายุมากกว่าเล่า
“ จริงด้วย ข้าลืมไป ”
เด็กชายเพิ่งนึกได้ว่ามันเมือนพลุไฟที่เขาเคยเล่นที่บ้าน
แล้วก็นึกประหลาดใจช่างเป็นวิธีเปิดงานที่พิลึกดีแท้
“ เหมือนจะมีคนไม่ชอบใจอยู่นะกับการทำแบบนี้ แล้วเผาอนุสาวรีย์ด้วยไฟเย็นไปทำไม ที่เจ้าว่าเจ็ดปีให้หลังหมายถึงก่อนหน้านี้ไม่มีพิธีกรรมแบบนี้หรือ แต่เพิ่มเข้ามาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วนี่เอง ”
ก่อนที่ดารีลจะทันได้ตอบก็เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นจากทิศทางเดิมอีกครั้ง
มังกรสีฟ้าพุ่งขึ้นจากกลางป่าละเมาะที่ฟิโลโซเฟอร์ใช้เดินผ่านไปเมื่อวาน
“ โอ้ ”
ดารีลถึงกับอุทานด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึงเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น
แต่ก่อนที่เด็กชายจะได้ถามว่าเขาตกใจอะไร ดารีลก็สะบัดชายผ้าคลุมทับร่างเด็กชายจนมิด เขาได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องดังตูมจนหูอื้อ ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอันน่าเจ็บปวดและอีกมากมายที่บ่งบอกถึงเหตุโกลาหล ฟิโลโซเฟอร์จึงเลิกผ้าคลุมออกด้วยความสงสัย
สิ่งแรกที่เห็นคือดารีลยืนกำคทาแน่น สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในป่าด้วยอาการเครียดขรึม เด็กน้อยรู้สึกโล่งใจที่พ่อมดน้อยไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่รายล้อมรอบกายพวกเขาทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกบางคนล้มลงและถูกเหยียบซ้ำ บางคนถูกไฟคลอกดิ้นทุรนทุราย
“ นี่มันอะไรกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความประหลาดใจปนตกใจ
“ มันคือมังกรปีศาจสร้างขึ้นจากมนต์ดำ ”
ดารีลตอบเสียงเยือกเย็น
“ พ่อข้าบอกว่าความชั่วร้ายไม่มีทางบินข้ามกำแพงเมืองโอรีเวียเข้ามาได้ ”
เด็กน้อยพูดตามที่ได้ยินมา
“ ที่กล่าวนั้นมาไม่มีผิดเลย แต่ถ้าใครบางคนเดินเข้าประตูแล้วร่ายคาถาอุบาทว์ภายในเมืองแบบเมื่อครู่ ก็จะกลายเป็นอย่างที่เห็นทันที และข้าเคยเตือนเรื่องนี้กับสภาจนเบื่อจะเตือนแล้ว ”
ดารีลจ้องหน้าฟิโลโซเฟอร์อย่างช่างใจ
ในที่สุดเขาก็เอ่ย
“ เห็นปราสาทขาวนั่นไหมเอาล่ะเจ้าจงวิ่งตามพวกเขาเข้าไปหลบอยู่ข้างใน นั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะตามหาเจ้า ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแค่วิ่งให้เร็วที่สุดเจ้าทำได้อยู่แล้ว ”
“ แต่ ”
“ อย่าห่วงเลย ข้ารับรองว่าจะไม่มีสิ่งใดทำร้ายเจ้าได้ หากเจ้าเชื่อฟังข้าทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ”
“ แล้วท่านหล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าวด้วยอาการร้อนรน
เขามองเห็นคนตายมากมายและอีกหลายคนที่กำลังดิ้นรนจมกองเลือด
ภาพที่เห็นทำไห้หัวใจหนาวเยือก
น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกกลัวสิ่งเหล่านั้น
ที่เขากลัวคือดารีลอาจจากไปตลอดกาล
“ ข้ามีธุระ คนบางคนคงอยากเจรจากับข้า ”
พ่อมดน้อยตอบ
“ ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย ”
“ เพ้อเจ้ออีกแล้ว หมอนั่นใช้มนต์ดำและภายในป่านั่นข้าอาจปกป้องเจ้าไม่ได้ไม่เข้าใจหรือไง ”
“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องไปด้วย ถ้าเจ้านั่นคิดร้ายกับท่านข้าจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที ”
ดารีลได้ยินดังนั้นแล้วถึงกับถอนหายใจเฮือก
“ นี่ฟังนะ ”
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบก็เกิดเสียงชวนพรั่นพรึงขึ้นที่กลางป่าเป็นครั้งที่สาม
ดารีลหันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
หนุ่มน้อยนักเวทย์กำคทาไว้ในท่าเตรียมพร้อม
“ ให้ได้อย่างนี้สิ ”
เสียงบ่นนั้นแผ่วเบาพอได้ยิน
“ บางทีเราไม่ควรยืนในที่โล่งแบบนี้นะ ”
ฟิโลโซเฟอร์เสนอ
“ เป็นคำแนะนำที่น่าสนใจไว้คราวหน้าข้าจะทำตามที่เจ้าบอก ”
มังกรสีฟ้าพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันมาพร้อมกันสองตัวต่างเหินขึ้นมาเหนือศีรษะของคนทั่งคู่และทำท่าจะทิ้งดิ่งลงมา ดารีลกระแทกคทาลงกับพื้น ปีศาจร้ายทั้งสองก็ถูกยกสูงขึ้นไปเหมือนโดนภายุหมุน ปีกที่แผ่กว้างไม่สามารถโบกสะบัดได้ ร่างของพวกมันแข็งทื่อจากนั้นค่อยๆ ดับมืดลงและร่วงกระแทกพื้นพร้อมกัน ร่างของมังกรปีศาจแตกกระจายกลายเป็นเถ้าถ่านคลุ้งทั่วบริเวณ
“ ข้าเริ่มหมดอารมณ์อยากเจรจาแล้วสิ ”
ดารีลพูดพลางปัดฝุ่นจากไหล่ สำหรับเขาแล้วเสื้อคลุมและหน้ากาสีขาวปกป้องเขาไว้ แต่เด็กชายที่ยืนอยู่เคียงข้างนั้นขาวโพลนทั้งตัวด้วยเศษขี้เถ้า
เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังก้องไปทั่วจนฟิโลโซเฟอร์ต้องตกใจ เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ซีนาร์ยครั้งหนึ่งและที่บ้านชายชรานามว่าชาร์โคลอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเขาแล้วมันคือเสียงเตือนหายนะ ใจหนึ่งอยากดึงดารีลเข้าที่กำบังแต่เมื่อเห็นเขายืนเฉยไม่สะทกสะท้านจึงเริ่มลังเล
“ ท่านได้ยินเสียงร้องนั่นหรือเปล่า ”
“ อะไร อ้อ! นั่นหรือมันเป็นเสียงมายาเจ้าจะได้ยินจากในหัวของเจ้ามิใช่โดยหูทั้งสองข้าง เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเพราะมันไม่มีอยู่จริง เป็นคาถาง่ายๆ ไว้ข่มขวัญศัตรู ”
หนุ่มน้อยนักเวทย์อธิบาย
พูดจบเขาก็เอียงคอน้อยๆ คอยฟังเสียงต่างๆ
“ แต่ข้าเคยได้ยินเสียงแบบนี้สองครั้งและทุกครั้งมักตามมาด้วยหายนะ ”
ดารีลหันมามอง
“ เจ้ารู้จักเคอร์คารอนหรือไม่ ”
“ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อ มันอยู่ในนิทานบางเรื่องของท่านพ่อ ”
“ นั่นมันล่ะและข้ายินดีด้วยที่เจ้าพบปีศาจในตำนานเข้าแล้ว ว้าชุดนี้ราคาแพงนะหญิงซักผ้าคงบ่นข้าหูชาแน่ ”
เจ้าของร่างบอบบางว่าพลางสะบัดฝุ่นออกจากผ้าคลุม
“ มันใช่เวลามาห่วงเสื้อผ้าหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ท้วง
มีเสียงตะโกนและเสียงของโลหะกระทบกันดังลั่นในป่า
“ พวกเขามาถึงกันแล้ว ผู้คุ้มกันแห่งโอรีเวีย ช้าจนน่าตกใจว่าแต่ข้าจำเป็นต้องเข้าไปช่วยหรือเปล่านั่น ”
ดารีลว่า
“ คงไม่ต้องแล้วล่ะทุกอย่างเรียบร้อยดี ”
เขาถามเองตอบเองหน้าตาเฉย
“ ฟิโลโซเฟอร์นั่นเจ้าใช่ไหม ”
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากอีกฟากหนึ่งของสุสาน
พร้อมกับร่างสามร่างพุ่งตรงเขามา
บิดามารดาและน้องสาวของเขานั่นเอง
“ พวกเราได้ยินว่ามีการประทะกันที่นี่ กลัวแทบตายว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป ว่าแต่ลูกมาทำอะไรตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ”
คาโลไรน์ว่าพลางโถมตัวเข้ากอดบุตรชาย
“ ท่านผู้นี้คือ ”
อาเธอร์ถามบ้าง
แม้ร่างที่อยู่ตรงหน้าจะสวมหน้ากากแต่เขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
ดารีลไม่ตอบ
เขาเพียงแต่โค้งให้อย่างสุภาพ
“ นายน้อย นายน้อย ”
เสียงเอะอะดังใกล้เข้ามา
หัวหน้าองครักษ์ของดารีลนั่นเอง
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ แล้วท่านบาดเจ็บหรือเปล่า ”
เขารัวคำถามใส่เป็นชุด
“ คำถามของท่านยากเกินไปแล้ว ข้าตอบได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นคือข้าปรอดภัยดี ”
“ นายน้อยนี่เป็นเรื่องใหญ่ ท่านเลิกล้อเล่นเสียทีในป่านั่นมีการต่อสู้ ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อยบางทีอาจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ส่วนท่านก็จงรออยู่ตรงนี้และระวังตัวด้วย ”
หัวหน้าองครักษ์ผู้สวมหน้ากากกระเบื้องสีขาวว่าพลางทำท่าจะเดินไป
“ ไม่ต้อง ”
ดารีลเสียงเข้ม
“ เข้าไปก็ตายเปล่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารเกราะทองเถอะ สู้กับผู้ใช้มนต์ดำในป่ารกแบบนั้นคนมากเสียเปรียบ ดีไม่ดีก็ฆ่ากันเอง อีกอย่างเจ้านั่นหนีไปแล้วด้วย ”
ดารีลชี้ให้ดูกลุ่มนกสีดำที่บินขึ้นเหนือป่าก่อนจะอันตระธานหายไป
“ อะไรนะ แล้วพวกนั้นสู้กับใคร ”
นายทหารว่าเพราะเสียงต่อสู้ยังดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง
“ คิดว่าสู้กับใครล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันท่านนำสิ่งนี้ไป ปาลงพื้นให้แตก อ้ออย่าลืมหาผ้าปิดปากปิดจมูกตัวเองก่อนล่ะ ”
เขายื่นขวดแก้วสีขุ่นให้คนของเขา
“ ที่จริงป้องกันโอรีเวียคืองานของทหารเกราะทอง ส่วนข้าต้องยืนข้างวาลานในยามที่มีภัย แต่เวลาเช่นนี้ข้ากลับยังอยู่ตรงนี้ รู้สึกคืนนี้ข้าจะมีงานซะแล้ว ”
ดารีลพูด
“ ข้าเชื่อว่านายน้อยจะแก้ปัญหาความขุ่นใจของท่านวาลานได้ไม่ยาก ”
หัวหน้าองครักษ์บอก
“ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นฝากบอกลอร์ดเดเวอร์ลอสด้วยว่าคืนนี้ข้าต้องกลับดึก ”
เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดคลุมขาวหันไปมองฟิโลโซเฟอร์
“ คิดที่จะสู้กับผู้ใช้มนต์ดำด้วยมือเปล่าเจ้าต้องเสียใจแน่ ”
เขาว่าด้วยเสียงกระซิบ
“ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าเดินเข้าหากองไฟโดยไม่คิดทำอะไร เป็นหรือตายไม่สำคัญ ขอเพียงไม่ต้องมาคิดเสียใจเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”
เด็กชายตอบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ