โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  138.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

43) มังกรและมนต์ดำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
มันยากที่จะหาใครพบอย่างที่ดารีลว่าจริงๆ ในสถานที่แบบนี้   พวกเขาเดินวนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย   เสียงเพลงและเสียงสวดมนต์ลอยแผ่วเบาทั่วบริเวณยิ่งทำให้บรรยากาศดูเคร่งขรึม   ฝั่งขวาของอนุสาวรีย์ไกลออกไปพอมองเห็นนั่นก็คือปราสาทขาว   พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือยอดแหลมของปราสาทส่งให้ตัวปราสาทเปล่งประกายขึ้น
 
เสียงระฆังกระหึ่มขึ้นเหนือหัว
พ่อมดน้อยเงยหน้ามองตามเสียงคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน
 
“ ตีระฆังเวลานี้หมายความว่าอย่างไรนะ   หอระฆังก็สูงอย่างนั้น   คงไม่มีเด็กปีนขึ้นไปเล่น ”
 
ไม่เพียงดารีลเท่านั้นที่รู้สึกพิศวง   ผู้คนทั่งทั้งงานต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน   ระฆังยังก้องระรัวไม่ขาดสายราวกับเสียงเตือนจากหอระวังภัยในยามสงคราม
 
เกิดเสียงประหลาดดังขึ้นกลางป่าละเมาะ   มังกรสีเขียวเรื่อเรืองตัวหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นเหนือยอดไม้   มุ่งสู่ท้องฟ้าที่พร่างพราวด้วยดวงดาวและแสงจันทร์   ในตอนแรกฟิโลโซเฟอร์ตกใจจนตัวแข็ง   แต่แล้วเขาก็พบว่ามันไม่ใช่ของจริงทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยเปลวเพลิงสีเขียว   เพราะมันคือพลุไฟแบบพิเศษนั่นเอง   ปีกขนาดใหญ่ของมันสยายออกราวกับมีชีวิต  
 
พวกเขาต่างจ้องมองมองพลุมังกรโฉบไปมาบนท้องฟ้า   แล้วทันใดมันก็หันหัวพุ่งเข้าใส่อนุสาวรีย์จนระเบิดดังสนั่นไฟลุกท่วมตั้งแต่ปลายยอดจนถึงฐานที่ตั้ง   ลูกไฟหลายลูกหล่นกราวลงมาเกลื่อนพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ   แต่เมื่อไฟสงบลงอนุสาวรีย์ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเดิม   ไม่มีแม้รอยขีดข่วนปรากฏแก่พื้นผิวราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุอันใดมาก่อนขึ้นมาก่อน   หลังจากเหตุการณ์สงบลงหลายคนเริ่มส่งเสียงหัวเราะ   แต่ก็มีอีกหลายคนที่แสดงสีหน้าไม่พอใจ
 
“ ไม่มีสำมาคารวะ   ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เป็นกันหมด ”
 
ชายชราคนหนึ่งบ่นเขามองขึ้นไปบนปลายยอดของอนุสาวรีย์อย่างหวงแหนและเทิดทูล   
 
“ ใช่แล้วการล้อเล่นแบบนี้ช่างต่ำทรามนัก ”
 
อีกคนหนึ่งกล่าว
 
บทเพลงบรรเลงขึ้นเบาๆ เสียงดนตรีนั้นหวานใสแต่แฝงไปด้วยความเศร้าโศก   
 
“ ตลอดเจ็ดปีให้หลังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตลอด   ไม่น่าเชื่อที่บางคนยังไม่ชินกับมัน ”
 
ดารีลว่า
ฟิโลโซเฟอร์เห็นลูกไฟสีเขียวกลิ้งเข้าไปใต้ผ้าคลุมของพ่อมดหนุ่มน้อย   เขาไม่รอช้าพุ่งเข้าไปหยิบและโยนออกไปโดยเร็ว
 
“ ทำอะไรของเจ้าน่ะ ”
 
ดารีลถาม
 
“ มีไฟอยู่ตรงนี้ข้าเกรงว่าจะลุกติดเสื้อผ้าของเจ้า ”
 
เด็กชายตอบ
 
“ แล้วเจ้าก็ใช้มือเปล่าปัดออก ”
 
“ ใช่ ”
 
เขาตอบพลางสำรวจมือตัวเองรู้สึกประหลาดใจที่ไม่บาดเจ็บอะไรเลย
 
“ แค่ไฟเย็นน่ะ   ข้านึกว่าเจ้าจะรู้   พลุนี่จะถูกจุดตอนเปิดงานน่าแปลกที่เพิงมาจุดเอาตอนนี้   ถึงว่ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรผิดไปจากที่เคยเป็น ”
 
คนอายุมากกว่าเล่า
 
“ จริงด้วย   ข้าลืมไป ”
 
เด็กชายเพิ่งนึกได้ว่ามันเมือนพลุไฟที่เขาเคยเล่นที่บ้าน  
แล้วก็นึกประหลาดใจช่างเป็นวิธีเปิดงานที่พิลึกดีแท้
 
“ เหมือนจะมีคนไม่ชอบใจอยู่นะกับการทำแบบนี้   แล้วเผาอนุสาวรีย์ด้วยไฟเย็นไปทำไม   ที่เจ้าว่าเจ็ดปีให้หลังหมายถึงก่อนหน้านี้ไม่มีพิธีกรรมแบบนี้หรือ   แต่เพิ่มเข้ามาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วนี่เอง ”
    
ก่อนที่ดารีลจะทันได้ตอบก็เกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้นจากทิศทางเดิมอีกครั้ง
มังกรสีฟ้าพุ่งขึ้นจากกลางป่าละเมาะที่ฟิโลโซเฟอร์ใช้เดินผ่านไปเมื่อวาน
 
“ โอ้ ”
 
ดารีลถึงกับอุทานด้วยน้ำเสียงพรั่นพรึงเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น
 
แต่ก่อนที่เด็กชายจะได้ถามว่าเขาตกใจอะไร   ดารีลก็สะบัดชายผ้าคลุมทับร่างเด็กชายจนมิด    เขาได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องดังตูมจนหูอื้อ   ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนอันน่าเจ็บปวดและอีกมากมายที่บ่งบอกถึงเหตุโกลาหล   ฟิโลโซเฟอร์จึงเลิกผ้าคลุมออกด้วยความสงสัย
 
สิ่งแรกที่เห็นคือดารีลยืนกำคทาแน่น   สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในป่าด้วยอาการเครียดขรึม   เด็กน้อยรู้สึกโล่งใจที่พ่อมดน้อยไม่ได้บาดเจ็บอะไร   แต่รายล้อมรอบกายพวกเขาทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกบางคนล้มลงและถูกเหยียบซ้ำ   บางคนถูกไฟคลอกดิ้นทุรนทุราย
 
“ นี่มันอะไรกัน ”  
 
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความประหลาดใจปนตกใจ
 
“ มันคือมังกรปีศาจสร้างขึ้นจากมนต์ดำ ”
 
ดารีลตอบเสียงเยือกเย็น
 
“ พ่อข้าบอกว่าความชั่วร้ายไม่มีทางบินข้ามกำแพงเมืองโอรีเวียเข้ามาได้ ”
 
เด็กน้อยพูดตามที่ได้ยินมา
 
“ ที่กล่าวนั้นมาไม่มีผิดเลย   แต่ถ้าใครบางคนเดินเข้าประตูแล้วร่ายคาถาอุบาทว์ภายในเมืองแบบเมื่อครู่   ก็จะกลายเป็นอย่างที่เห็นทันที   และข้าเคยเตือนเรื่องนี้กับสภาจนเบื่อจะเตือนแล้ว ”
 
ดารีลจ้องหน้าฟิโลโซเฟอร์อย่างช่างใจ
ในที่สุดเขาก็เอ่ย
 
“ เห็นปราสาทขาวนั่นไหมเอาล่ะเจ้าจงวิ่งตามพวกเขาเข้าไปหลบอยู่ข้างใน   นั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยข้าจะตามหาเจ้า   ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นแค่วิ่งให้เร็วที่สุดเจ้าทำได้อยู่แล้ว ”
 
“ แต่ ”
 
“ อย่าห่วงเลย   ข้ารับรองว่าจะไม่มีสิ่งใดทำร้ายเจ้าได้   หากเจ้าเชื่อฟังข้าทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ”  
 
“ แล้วท่านหล่ะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์กล่าวด้วยอาการร้อนรน
เขามองเห็นคนตายมากมายและอีกหลายคนที่กำลังดิ้นรนจมกองเลือด
ภาพที่เห็นทำไห้หัวใจหนาวเยือก
น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกกลัวสิ่งเหล่านั้น
ที่เขากลัวคือดารีลอาจจากไปตลอดกาล
 
“ ข้ามีธุระ   คนบางคนคงอยากเจรจากับข้า ”
 
พ่อมดน้อยตอบ
 
“ ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วย ”
 
“ เพ้อเจ้ออีกแล้ว   หมอนั่นใช้มนต์ดำและภายในป่านั่นข้าอาจปกป้องเจ้าไม่ได้ไม่เข้าใจหรือไง ”
 
“ เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องไปด้วย   ถ้าเจ้านั่นคิดร้ายกับท่านข้าจะได้ช่วยเหลือทันท่วงที ”
 
ดารีลได้ยินดังนั้นแล้วถึงกับถอนหายใจเฮือก
 
“ นี่ฟังนะ ”
 
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบก็เกิดเสียงชวนพรั่นพรึงขึ้นที่กลางป่าเป็นครั้งที่สาม  
ดารีลหันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
หนุ่มน้อยนักเวทย์กำคทาไว้ในท่าเตรียมพร้อม
 
“ ให้ได้อย่างนี้สิ ”
 
เสียงบ่นนั้นแผ่วเบาพอได้ยิน
 
“ บางทีเราไม่ควรยืนในที่โล่งแบบนี้นะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์เสนอ
 
“ เป็นคำแนะนำที่น่าสนใจไว้คราวหน้าข้าจะทำตามที่เจ้าบอก ”
 
มังกรสีฟ้าพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง   คราวนี้มันมาพร้อมกันสองตัวต่างเหินขึ้นมาเหนือศีรษะของคนทั่งคู่และทำท่าจะทิ้งดิ่งลงมา   ดารีลกระแทกคทาลงกับพื้น   ปีศาจร้ายทั้งสองก็ถูกยกสูงขึ้นไปเหมือนโดนภายุหมุน   ปีกที่แผ่กว้างไม่สามารถโบกสะบัดได้   ร่างของพวกมันแข็งทื่อจากนั้นค่อยๆ ดับมืดลงและร่วงกระแทกพื้นพร้อมกัน   ร่างของมังกรปีศาจแตกกระจายกลายเป็นเถ้าถ่านคลุ้งทั่วบริเวณ
 
“ ข้าเริ่มหมดอารมณ์อยากเจรจาแล้วสิ ”
 
ดารีลพูดพลางปัดฝุ่นจากไหล่   สำหรับเขาแล้วเสื้อคลุมและหน้ากาสีขาวปกป้องเขาไว้   แต่เด็กชายที่ยืนอยู่เคียงข้างนั้นขาวโพลนทั้งตัวด้วยเศษขี้เถ้า
  
เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองดังก้องไปทั่วจนฟิโลโซเฟอร์ต้องตกใจ   เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ซีนาร์ยครั้งหนึ่งและที่บ้านชายชรานามว่าชาร์โคลอีกครั้งหนึ่ง   สำหรับเขาแล้วมันคือเสียงเตือนหายนะ   ใจหนึ่งอยากดึงดารีลเข้าที่กำบังแต่เมื่อเห็นเขายืนเฉยไม่สะทกสะท้านจึงเริ่มลังเล
 
“ ท่านได้ยินเสียงร้องนั่นหรือเปล่า ”
 
“ อะไร   อ้อ!   นั่นหรือมันเป็นเสียงมายาเจ้าจะได้ยินจากในหัวของเจ้ามิใช่โดยหูทั้งสองข้าง   เพราะฉะนั้นอย่ากลัวไปเพราะมันไม่มีอยู่จริง   เป็นคาถาง่ายๆ ไว้ข่มขวัญศัตรู ”
 
หนุ่มน้อยนักเวทย์อธิบาย
พูดจบเขาก็เอียงคอน้อยๆ คอยฟังเสียงต่างๆ
 
“ แต่ข้าเคยได้ยินเสียงแบบนี้สองครั้งและทุกครั้งมักตามมาด้วยหายนะ ”
 
ดารีลหันมามอง
 
“ เจ้ารู้จักเคอร์คารอนหรือไม่ ”
 
“ เหมือนจะเคยได้ยินชื่อ   มันอยู่ในนิทานบางเรื่องของท่านพ่อ ”
 
“ นั่นมันล่ะและข้ายินดีด้วยที่เจ้าพบปีศาจในตำนานเข้าแล้ว   ว้าชุดนี้ราคาแพงนะหญิงซักผ้าคงบ่นข้าหูชาแน่ ”
 
เจ้าของร่างบอบบางว่าพลางสะบัดฝุ่นออกจากผ้าคลุม
 
“ มันใช่เวลามาห่วงเสื้อผ้าหรือ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ท้วง
 
มีเสียงตะโกนและเสียงของโลหะกระทบกันดังลั่นในป่า
 
“ พวกเขามาถึงกันแล้ว   ผู้คุ้มกันแห่งโอรีเวีย   ช้าจนน่าตกใจว่าแต่ข้าจำเป็นต้องเข้าไปช่วยหรือเปล่านั่น ”
 
ดารีลว่า
 
“ คงไม่ต้องแล้วล่ะทุกอย่างเรียบร้อยดี ”
 
เขาถามเองตอบเองหน้าตาเฉย
 
“ ฟิโลโซเฟอร์นั่นเจ้าใช่ไหม ”
 
เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากอีกฟากหนึ่งของสุสาน  
พร้อมกับร่างสามร่างพุ่งตรงเขามา  
บิดามารดาและน้องสาวของเขานั่นเอง
 
“ พวกเราได้ยินว่ามีการประทะกันที่นี่   กลัวแทบตายว่าเจ้าจะเป็นอะไรไป   ว่าแต่ลูกมาทำอะไรตรงนี้   เกิดอะไรขึ้นกันแน่   เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ”
 
คาโลไรน์ว่าพลางโถมตัวเข้ากอดบุตรชาย
 
“ ท่านผู้นี้คือ ”
 
อาเธอร์ถามบ้าง
แม้ร่างที่อยู่ตรงหน้าจะสวมหน้ากากแต่เขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
 
ดารีลไม่ตอบ
เขาเพียงแต่โค้งให้อย่างสุภาพ
 
“ นายน้อย   นายน้อย ”
 
เสียงเอะอะดังใกล้เข้ามา
หัวหน้าองครักษ์ของดารีลนั่นเอง
 
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน   เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่   แล้วท่านบาดเจ็บหรือเปล่า ”
 
เขารัวคำถามใส่เป็นชุด
 
“ คำถามของท่านยากเกินไปแล้ว   ข้าตอบได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นคือข้าปรอดภัยดี ”
 
“ นายน้อยนี่เป็นเรื่องใหญ่   ท่านเลิกล้อเล่นเสียทีในป่านั่นมีการต่อสู้   ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อยบางทีอาจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์   ส่วนท่านก็จงรออยู่ตรงนี้และระวังตัวด้วย ”
 
หัวหน้าองครักษ์ผู้สวมหน้ากากกระเบื้องสีขาวว่าพลางทำท่าจะเดินไป
 
“ ไม่ต้อง ”
 
ดารีลเสียงเข้ม
 
“ เข้าไปก็ตายเปล่า   ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหารเกราะทองเถอะ   สู้กับผู้ใช้มนต์ดำในป่ารกแบบนั้นคนมากเสียเปรียบ   ดีไม่ดีก็ฆ่ากันเอง   อีกอย่างเจ้านั่นหนีไปแล้วด้วย ”
 
ดารีลชี้ให้ดูกลุ่มนกสีดำที่บินขึ้นเหนือป่าก่อนจะอันตระธานหายไป
 
“ อะไรนะ   แล้วพวกนั้นสู้กับใคร ”
 
นายทหารว่าเพราะเสียงต่อสู้ยังดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง
 
“ คิดว่าสู้กับใครล่ะ   เอาอย่างนี้ก็แล้วกันท่านนำสิ่งนี้ไป   ปาลงพื้นให้แตก   อ้ออย่าลืมหาผ้าปิดปากปิดจมูกตัวเองก่อนล่ะ ”
 
เขายื่นขวดแก้วสีขุ่นให้คนของเขา
 
“ ที่จริงป้องกันโอรีเวียคืองานของทหารเกราะทอง   ส่วนข้าต้องยืนข้างวาลานในยามที่มีภัย   แต่เวลาเช่นนี้ข้ากลับยังอยู่ตรงนี้   รู้สึกคืนนี้ข้าจะมีงานซะแล้ว ”
 
ดารีลพูด
 
“ ข้าเชื่อว่านายน้อยจะแก้ปัญหาความขุ่นใจของท่านวาลานได้ไม่ยาก ”
 
หัวหน้าองครักษ์บอก
 
“ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นฝากบอกลอร์ดเดเวอร์ลอสด้วยว่าคืนนี้ข้าต้องกลับดึก ”
 
เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดคลุมขาวหันไปมองฟิโลโซเฟอร์
 
“ คิดที่จะสู้กับผู้ใช้มนต์ดำด้วยมือเปล่าเจ้าต้องเสียใจแน่ ”
 
เขาว่าด้วยเสียงกระซิบ
 
“ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าเดินเข้าหากองไฟโดยไม่คิดทำอะไร   เป็นหรือตายไม่สำคัญ   ขอเพียงไม่ต้องมาคิดเสียใจเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว   แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”
 
เด็กชายตอบ
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา