โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
42) ชื่อของข้าคือฟิโลโซเฟอร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความดารีลพาเด็กชายผู้พลัดถิ่นเดินเข้าไปในตรอกแคบๆ ไร้ผู้คน มันเป็นช่องที่ผ่ากลางระหว่างด้านหลังของตึก ดังนั้นจึงแทบไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟ แต่พระจันทร์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัวทอประกายลงมาเป็นภาพสลัว พื้นถนนนั้นปูด้วยหินหยาบๆ บางครั้งก็มีขั้นบันไดเตี้ยๆ ขวางหน้าอยู่เป็นระยะ
เจ้าของร่างงามผู้สวมชุดคลุมขาวเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนฟิโลโซเฟอร์ต้องออกแรงวิ่งตามเป็นบางครั้งเพื่อรักษาระยะห่าง พวกเขามองเห็นแสงไฟพลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้าใต้เงาดำ ครั้นเมื่อเดินไปถึงจึงพบว่ามันเป็นเทียนหอมที่จุดตามขั้นบันได โคลงร่างสีดำที่เห็นในครั้งแรกนั้นคือกิ่งก้านสาขาของต้นแอปเปิล มันดูเก่าแก่และใหญ่โตลำต้นนั้นเกิดชิดกำแพง ส่วนรากหงิกงอได้แทรกลงไปตามรอยแตกของหิน
“ ต้นไม้ต้นนี้มีเจ้าของหรือไม่ เหตุใดจึงเกิดข้างทางเช่นนี้ หากมีคนเก็บไปจะมีความผิดหรือไม่ ”
เด็กชายถาม
เขาพบว่าผลไม้นั้นทั้งดกและสุกกำลังดี
ทำให้หวนนึกถึงต้นที่บิดาของเขาปลูกไว้ในสวนหลังบ้าน
มันทั้งใหญ่ทั้งดกหนาแต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง
“ ลูกไม้ที่เกิดในที่สาธารณะ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ”
ดารีลตอบ
“ ทั้งที่เกิดในที่แบบนี้แต่กลับอุดมสมบูรณ์อย่างเหลือเชื่อ ”
ผู้มาจากต่างถิ่นว่า
“ เจ้าลืมไปแล้วหรือเมืองนี้เป็นเมืองเวทมนตร์เรื่องอย่างนี้ไม่ประหลาดหรอก ”
“ ถ้าอย่างนั้นข้าขอเก็บไปสักลูกสองลูก ”
เด็กชายบอกแล้วโหนขึ้นตามกิ่งอย่างรวดเร็ว
“ เดี๋ยวนะ เจ้าคิดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไม่อยากไปปราสาทแล้วหรือ ”
“ ข้าว่าเจ้าเองก็เที่ยวจนเบื่อแล้วล่ะ และข้าก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องสนุกในนั้น ผลไม้นี่หวานกรอบมาก ขึ้นมาด้วยกันเถอะดารีลเราไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ ”
“ เพ้อเจ้ออะไร ลงมาเดี๋ยวนี้ ”
แต่แทนที่เขาจะลงเด็กชายกลับปีนสูงขึ้นไป
“ เจ้าเด็กเหลวไหลกลับลงมานะ ”
เสียงของเขาเริ่มขุ่นมัว
“ คำก็เหลวไหลสองคำก็เพ้อเจ้อ ชื่อของข้าคือฟิโลโซเฟอร์ต่างหากล่ะ กรุณาเรียกให้ถูกด้วย ”
“ ข้าไม่สนใจชื่อของเจ้า จะลงมาดีๆ หรือข้าต้องออกแรง ”
ดารีลเดินเข้ามาอยู่ใต้ร่างเด็กชายมือข้างหนึ่งกำคทาแน่น
“ ก็ได้ๆ อย่าขี้โมโหสิ ”
เด็กชายว่าแล้วยืดตัวขึ้น
เขาเอื้อมมือไปจะคว้ากิ่งหนึ่งแต่กิ่งที่เขาเหยียบอยู่กลับหัก
ทำให้เขาร่วงลงมา
ดารีลยกคทาขึ้นพยายามร่ายเวทมนตร์
แต่ช้าไปเสียแล้วเด็กชายตัวน้อยได้ร่วงหล่นลงบนตัวเขา
“ โทษที ไม่เจ็บใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดพลางตะกายลุกขึ้น
เขายื่นมือไปให้ดารีลจับ
แต่หนุ่มน้อยพ่อมดก็สามารถลุกขึ้นได้ด้วยตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่เรียบตึง
“ ข้าปัดฝุ่นให้นะ ”
คนก่อเรื่องว่าด้วยความหวังดี
แต่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ ตกลง ข้าไม่ปัดแล้วก็ได้ ”
เด็กชายพูดพลางแบมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้
พวกเขาออกเดินทางอีกครั้งแต่คราวนี้บรรยากาศดูอึมครึม
เด็กชายจอมซนเดินลากขาตามมา
เขาพยายามชวนคุยแต่ดารีลก็ตอบโต้ด้วยความเงียบ
“ นี่ข้าก็ขอโทษแล้วเจ้าจะโกรธไปถึงไหนกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์โอดครวญ
“ จริงอยู่ข้าไม่ควรทำให้ชุดที่สูงส่งของเจ้าต้องเปื้อนเปราะ แต่ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา จะให้ข้าไถ่โทษอย่าไรล่ะ เอาอย่างนี้ข้าจะซักเสื้อให้ ถูบ้านแถมให้ด้วยก็ได้ เจ้าอย่าโมโหเลยนะ ”
“ ฟิโลโซเฟอร์หรือ ”
อยู่ๆ ดารีลก็เอ่ยขึ้นจนเด็กชายสงสัย
“ หืม ว่าอย่างไรนะ ”
“ นั่นเป็นชื่อของเจ้าจริงๆ รึเปล่า ข้าไม่คิดว่าคนทั่วไปจะใช้ชื่อแบบนี้กัน ”
“ ทำไมล่ะ ความหมายไม่ดีหรือไง อันที่จริงข้าเคยชื่อคาร์ลาย ท่านแม่เล่าว่าตั้งแต่ข้าเกิดมาก็พบแต่เรื่องประหลาดมากมาย ท่านดีมีนรู้เรื่องเข้าจึงได้เรียกข้าว่าฟิโลโซเฟอร์ แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติ ข้าเลยถูกเรียกแบบนี้เรื่อยมา ”
ดารีลได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ
“ มีอะไรน่าขำเกี่ยวกับชื่อของข้าหรือ ”
“ เปล่า ”
ร่างสูงสง่าในชุดคลุมยาวตอบทั้งที่ยังเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ
“ จริงๆ มันเป็นคาถาสั้นๆ บทหนึ่งน่ะเอาไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่ก็ดีแล้วล่ะชื่อของเจ้าจะเป็นดังเกราะกันภัย ”
พวกเขาเดินมุดออกมาจากตรอกเล็กๆ ขนาบข้างด้วยร้านค้าใหญ่โต เสียงอึกทึกที่ชัดเจนขึ้นและแสงไฟก็พร่างพราย เบื้องหน้าคือรั้วของปราสาทที่นี่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนและร้านขายของที่หลากหลาย ดารีลพาเขาเข้าไปยังร้านแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหน้ากากแบบต่างๆ เขาหยิบหน้ากากสีขาวออกมาสองอัน
“ ด้านในปราสาทขาวนั่น ตามธรรมเนียมแล้วคนที่เข้าไปในวันนี้จะสวมหน้ากาก มันหมายถึงการไร้ชื่อเสียงและไม่มีตัวตนทุกคนนั้นล้วนเสมอภาค ”
เขาทำท่าจะยื่นอันหนึ่งให้เด็กชายแต่แล้วก็ลังเล
“ ข้าว่าเจ้าอย่าสวมเลยดีกว่า เพราะหากบิดามารดาของเจ้าอยู่ในนั้น เขาจะได้พบเจ้าจะรู้โดยง่าย ”
พ่อมดวัยเยาว์กล่าวพลางสวมหน้ากากสีขาวลงบนใบหน้าของตัวเอง
“ เจ้าอาจพูดถูก สำหรับข้าแล้วงานวันนี้ดูกร่อยข้าเกลียดสถานที่แออัดเป็นที่สุด ”
ว่าแล้วดารีลก็ดันไหล่คนตัวเล็กกว่าให้ออกเดิน
โดยไม่สนใจสายตามากมายที่จับจ้องพวกเขาอยู่ตลอด
น่าแปลกที่เขาพาฟิโลโซเฟอร์มาที่อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพอีกครั้ง และเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ ที่นี่ผู้คนเนืองแน่น ทุกคนล้วนประชันกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง แม้หน้ากากก็ยังประดับอัญมณีสูงค่า ตามหลุมศพโบราณนั้นกองสุมไปด้วยดอกไม้นาๆ ชนิด กลิ่นกำยานและเครื่องหอมฟุ้งตลบทั่วบริเวณ
“ คนส่วนใหญ่มาที่นี่ บิดาของเข้าก็ควรอยู่ที่นี่ แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายแบบนี้ การตามหาคนหายเป็นอะไรที่หนักหนาที่สุด ”
ดารีลว่า
ส่วนเด็กชายนั้นเดินแหวกกลุ่มคนเข้าไปยังหลุมศพที่ดารีลเคยวางดอกไม้
เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“ เดี๋ยว ”
ดารีลคว้าเสื้อเขาไว้
“ อยู่ๆ ก็เดินไปแบบนั้นอีกหน่อยก็พลัดหลงคอยดูสิ ”
เทียนส่งวิญญาณถูกจุดขึ้นดอกแล้วดอกเล่า ทั้งสองเดินวนไปเรื่อยๆ เพื่อจะอ่านรายชื่อนักรบให้ครบทุกคน ซึ่งนั่นเป็นการแสดงความเคารบอย่างหนึ่ง และเขาอาจจะจุดเทียนให้นักรบสักคนที่ชื่นชมเป็นพิเศษก็ได้ ดอกไม้นาๆ ชนิดกองสุมแทบจะท่วมรูปสลักหิน
“ เฟรนเรียผู้สยบเจ้าแห่งมังกรไฟ เพลิงคำสาปได้ส่งให้เขามีใบหน้าอัปลักษณ์ชั่วลูกชั่วหลาน เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับเคอร์คารอนและรอดชีวิต ”
ดารีลอ่านข้อความจากป้ายจารึก
“ รอบอนุสาวรีย์เป็นสุสานเก่าแก่ใช้ฝังร่างนักรบโบราณ และที่นี่คือที่ฝังร่างผู้กล้าทั้งสิบสาม พวกเขาล้วนมีวีรกรรมที่กล้าหาญในสงครามยิ่งใหญ่ ”
ว่าแล้วพ่อมดน้อยก็หันมายิ้มให้เด็กชาย
“ ตอนเห็นเจ้าถือดาบในทุ่งหญ้านั่น แวบหนึ่งข้าคิดว่าควรมีที่ว่างสำหรับเจ้าตรงนี้ พร้อมกับข้อความไว้อาลัยประมาณว่า เด็กน้อยผู้ยกดาบแทบไม่ขึ้นกับความพยายามสังหารหมู่มังกรดำกลางทุ่งหญ้า ”
“ เสียใจด้วยที่ข้ารอดชีวิตไม่อย่างนั้นต้องมีการทวงสิทธิ์แน่ แต่ข้าก็ดีใจที่เจ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย พวกเราทั้งหมดจึงยังอยู่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ ข้ากลับอยากให้พวกเราได้พบกันที่อื่น ที่ไม่ใช่เมืองโอรีเวีย ”
ดารีลบอก
“ ทำไมล่ะ ”
เด็กชายสงสัย
เขาเงียบไปเป็นครู่ในที่สุดก็ตอบ
“ เมืองนี้งดงามแค่เปลือกนอก ข้าอยากให้มีที่อื่นที่สงบสุขกว่านี้ ”
“ แต่ข้ายินดีพบกับเจ้าในทุกที่ ต่อให้นรกหรือสวรรค์ และข้าบริสุทธิ์ใจกับเจ้าดารีล ”
“ เด็กน้อยเจ้านี่ไร้เดียงสายิ่งนัก จงรู้เอาไว้สักวันข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ ”
“ ไม่มีวันเสียหรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าแล้วหันไปมองป้ายหินจารึก
เขานึกขึ้นได้ว่านี่คือจุดที่ดารีลวางกุหลาบขาว
“ เฟรนเรียโดนคำสาปจริงๆ น่ะหรือ ”
เด็กชายถามเมื่อหวนนึกถึงคำบอกเล่าของหัวหน้ายามเฝ้าประตู
“ จริง ทำไมล่ะ ”
“ ข้าดีใจที่เจ้ารอดมาได้ ”
“ หมายความว่าถ้าข้าหน้าตาอัปลักษณ์เจ้าจะไม่ตามข้ามาอย่างนั้นหรือ ”
ดารีลทำเสียงประชด
แล้วลุกขึ้นเดินต่อไป
“ ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นแต่เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะมันคือเกราะกำบังเดียวจากจิตใจของผู้อื่น ผู้มองคนจากเปลือกนอก พวกเขาจะมีเรื่องนินทาเจ้ามากกว่านี้ ”
เยื้องกับที่พวกเขายืนอยู่ มีกลุ่มคนแต่งกายประหลาดกำลังคุยกระซิบกระซาบ บางคนในกลุ่มนั้นชำเลืองขึ้นไปบนอนุสาวรีย์บ่อยๆ แม้รอบบริเวณจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่หลายคนก็พยายามรักษากิริยาให้อยู่ในความเคารพทำให้บรรยากาศโดยรวมดูสงบเงียบ
บทเพลงบรรเลงขึ้นมาเบาๆ เสียงดนตรีนั้นหวานใสแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย เนื้อหาของบทเพลงบรรยายถึงมหาสงครามครั้งเก่าก่อนที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก กล่าวถึงความเสียใจที่ต้องพลัดพรากจากคนรักไปในสนามรบและสันติที่ทุกคนต่างมุ่งหวัง เนื้อเพลงยังบรรยายถึงการดับสิ้นของซาเวจหลอดและวัตถุวิเศษที่หายสาบสูญ
“ มาดูตรงนี้สิ คนผู้นี้เป็นนักดาบเลื่องชื่อเขาเพียงผู้เดียวฝ่าดงมังกรเข้าไปช่วยเจ้าหญิงองค์น้อยในหอคอยที่กำลังลุกเป็นไฟ เจ้าพอจะคุ้นชื่อของเขาหรือไม่ ”
ดารีลว่า
“ คารีออส ”
เด็กชายจากซีนาร์ยตอบ
“ ข้าไม่รู้จักหรอกแต่บิดาของข้าให้ความเคารพเขา ”
ดารีลพยักหน้า
“ ก็ไม่แปลกบิดาของเจ้าเป็นนักดาบนี่นา คนผู้นี้เป็นต้นแบบของความกล้าบ้าบิ่น และเขาก็สังเวยชีวิตในแบบที่คนคาดไม่ถึง วีรกรรมของเขาควรค่าแก่การยกย่อง ”
เด็กน้อยมองรูปสลักดาบของนักรบโบราณด้วยความประหลาดใจ
เพราะว่าดาบนั้นคล้ายของที่อาเธอร์ถืออยู่เป็นอย่างมาก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ