โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

42) ชื่อของข้าคือฟิโลโซเฟอร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ดารีลพาเด็กชายผู้พลัดถิ่นเดินเข้าไปในตรอกแคบๆ ไร้ผู้คน   มันเป็นช่องที่ผ่ากลางระหว่างด้านหลังของตึก   ดังนั้นจึงแทบไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟ   แต่พระจันทร์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัวทอประกายลงมาเป็นภาพสลัว   พื้นถนนนั้นปูด้วยหินหยาบๆ บางครั้งก็มีขั้นบันไดเตี้ยๆ ขวางหน้าอยู่เป็นระยะ  

      

เจ้าของร่างงามผู้สวมชุดคลุมขาวเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว   จนฟิโลโซเฟอร์ต้องออกแรงวิ่งตามเป็นบางครั้งเพื่อรักษาระยะห่าง   พวกเขามองเห็นแสงไฟพลิ้วไหวอยู่เบื้องหน้าใต้เงาดำ   ครั้นเมื่อเดินไปถึงจึงพบว่ามันเป็นเทียนหอมที่จุดตามขั้นบันได   โคลงร่างสีดำที่เห็นในครั้งแรกนั้นคือกิ่งก้านสาขาของต้นแอปเปิล   มันดูเก่าแก่และใหญ่โตลำต้นนั้นเกิดชิดกำแพง   ส่วนรากหงิกงอได้แทรกลงไปตามรอยแตกของหิน

 

“ ต้นไม้ต้นนี้มีเจ้าของหรือไม่   เหตุใดจึงเกิดข้างทางเช่นนี้   หากมีคนเก็บไปจะมีความผิดหรือไม่ ”

 

เด็กชายถาม

เขาพบว่าผลไม้นั้นทั้งดกและสุกกำลังดี

ทำให้หวนนึกถึงต้นที่บิดาของเขาปลูกไว้ในสวนหลังบ้าน

มันทั้งใหญ่ทั้งดกหนาแต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

 

“ ลูกไม้ที่เกิดในที่สาธารณะ   ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ”

 

ดารีลตอบ

 

“ ทั้งที่เกิดในที่แบบนี้แต่กลับอุดมสมบูรณ์อย่างเหลือเชื่อ ”

 

ผู้มาจากต่างถิ่นว่า

 

“ เจ้าลืมไปแล้วหรือเมืองนี้เป็นเมืองเวทมนตร์เรื่องอย่างนี้ไม่ประหลาดหรอก ”

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้าขอเก็บไปสักลูกสองลูก ”

 

เด็กชายบอกแล้วโหนขึ้นตามกิ่งอย่างรวดเร็ว

 

“ เดี๋ยวนะ   เจ้าคิดว่าเรากำลังทำอะไรอยู่   ไม่อยากไปปราสาทแล้วหรือ ”

 

“ ข้าว่าเจ้าเองก็เที่ยวจนเบื่อแล้วล่ะ   และข้าก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องสนุกในนั้น   ผลไม้นี่หวานกรอบมาก   ขึ้นมาด้วยกันเถอะดารีลเราไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ ”

 

“ เพ้อเจ้ออะไร   ลงมาเดี๋ยวนี้ ”

 

แต่แทนที่เขาจะลงเด็กชายกลับปีนสูงขึ้นไป

 

“ เจ้าเด็กเหลวไหลกลับลงมานะ ”

 

เสียงของเขาเริ่มขุ่นมัว

 

“ คำก็เหลวไหลสองคำก็เพ้อเจ้อ   ชื่อของข้าคือฟิโลโซเฟอร์ต่างหากล่ะ   กรุณาเรียกให้ถูกด้วย ”

 

“ ข้าไม่สนใจชื่อของเจ้า   จะลงมาดีๆ หรือข้าต้องออกแรง ”

 

ดารีลเดินเข้ามาอยู่ใต้ร่างเด็กชายมือข้างหนึ่งกำคทาแน่น

 

“ ก็ได้ๆ อย่าขี้โมโหสิ ”

 

เด็กชายว่าแล้วยืดตัวขึ้น

เขาเอื้อมมือไปจะคว้ากิ่งหนึ่งแต่กิ่งที่เขาเหยียบอยู่กลับหัก

ทำให้เขาร่วงลงมา

ดารีลยกคทาขึ้นพยายามร่ายเวทมนตร์

แต่ช้าไปเสียแล้วเด็กชายตัวน้อยได้ร่วงหล่นลงบนตัวเขา

 

“ โทษที   ไม่เจ็บใช่ไหม ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดพลางตะกายลุกขึ้น

เขายื่นมือไปให้ดารีลจับ

แต่หนุ่มน้อยพ่อมดก็สามารถลุกขึ้นได้ด้วยตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่เรียบตึง

 

“ ข้าปัดฝุ่นให้นะ ”

 

คนก่อเรื่องว่าด้วยความหวังดี

แต่อีกฝ่ายเอี้ยวตัวหลบจ้องหน้าเขาเขม็ง

 

“ ตกลง   ข้าไม่ปัดแล้วก็ได้ ”

 

เด็กชายพูดพลางแบมือสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้

 

 

พวกเขาออกเดินทางอีกครั้งแต่คราวนี้บรรยากาศดูอึมครึม

เด็กชายจอมซนเดินลากขาตามมา

เขาพยายามชวนคุยแต่ดารีลก็ตอบโต้ด้วยความเงียบ

 

“ นี่ข้าก็ขอโทษแล้วเจ้าจะโกรธไปถึงไหนกัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์โอดครวญ

 

“ จริงอยู่ข้าไม่ควรทำให้ชุดที่สูงส่งของเจ้าต้องเปื้อนเปราะ   แต่ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจนี่นา   จะให้ข้าไถ่โทษอย่าไรล่ะ   เอาอย่างนี้ข้าจะซักเสื้อให้   ถูบ้านแถมให้ด้วยก็ได้   เจ้าอย่าโมโหเลยนะ ”

 

“ ฟิโลโซเฟอร์หรือ ”

 

อยู่ๆ ดารีลก็เอ่ยขึ้นจนเด็กชายสงสัย

 

“ หืม   ว่าอย่างไรนะ ”

 

“ นั่นเป็นชื่อของเจ้าจริงๆ รึเปล่า   ข้าไม่คิดว่าคนทั่วไปจะใช้ชื่อแบบนี้กัน ”

 

“ ทำไมล่ะ   ความหมายไม่ดีหรือไง   อันที่จริงข้าเคยชื่อคาร์ลาย   ท่านแม่เล่าว่าตั้งแต่ข้าเกิดมาก็พบแต่เรื่องประหลาดมากมาย   ท่านดีมีนรู้เรื่องเข้าจึงได้เรียกข้าว่าฟิโลโซเฟอร์   แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติ   ข้าเลยถูกเรียกแบบนี้เรื่อยมา ”

 

ดารีลได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ 

 

“ มีอะไรน่าขำเกี่ยวกับชื่อของข้าหรือ ”

 

“ เปล่า ”

 

ร่างสูงสง่าในชุดคลุมยาวตอบทั้งที่ยังเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ

 

“ จริงๆ มันเป็นคาถาสั้นๆ บทหนึ่งน่ะเอาไว้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย   แต่ก็ดีแล้วล่ะชื่อของเจ้าจะเป็นดังเกราะกันภัย ”

 

 

พวกเขาเดินมุดออกมาจากตรอกเล็กๆ ขนาบข้างด้วยร้านค้าใหญ่โต   เสียงอึกทึกที่ชัดเจนขึ้นและแสงไฟก็พร่างพราย   เบื้องหน้าคือรั้วของปราสาทที่นี่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนและร้านขายของที่หลากหลาย   ดารีลพาเขาเข้าไปยังร้านแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหน้ากากแบบต่างๆ เขาหยิบหน้ากากสีขาวออกมาสองอัน

 

“ ด้านในปราสาทขาวนั่น   ตามธรรมเนียมแล้วคนที่เข้าไปในวันนี้จะสวมหน้ากาก   มันหมายถึงการไร้ชื่อเสียงและไม่มีตัวตนทุกคนนั้นล้วนเสมอภาค ”

 

เขาทำท่าจะยื่นอันหนึ่งให้เด็กชายแต่แล้วก็ลังเล 

 

“ ข้าว่าเจ้าอย่าสวมเลยดีกว่า   เพราะหากบิดามารดาของเจ้าอยู่ในนั้น   เขาจะได้พบเจ้าจะรู้โดยง่าย ”

 

พ่อมดวัยเยาว์กล่าวพลางสวมหน้ากากสีขาวลงบนใบหน้าของตัวเอง

 

“ เจ้าอาจพูดถูก   สำหรับข้าแล้วงานวันนี้ดูกร่อยข้าเกลียดสถานที่แออัดเป็นที่สุด ” 

 

ว่าแล้วดารีลก็ดันไหล่คนตัวเล็กกว่าให้ออกเดิน

โดยไม่สนใจสายตามากมายที่จับจ้องพวกเขาอยู่ตลอด

 

 

            น่าแปลกที่เขาพาฟิโลโซเฟอร์มาที่อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพอีกครั้ง   และเป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ ที่นี่ผู้คนเนืองแน่น   ทุกคนล้วนประชันกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง   แม้หน้ากากก็ยังประดับอัญมณีสูงค่า   ตามหลุมศพโบราณนั้นกองสุมไปด้วยดอกไม้นาๆ ชนิด   กลิ่นกำยานและเครื่องหอมฟุ้งตลบทั่วบริเวณ

 

“ คนส่วนใหญ่มาที่นี่   บิดาของเข้าก็ควรอยู่ที่นี่   แต่ท่ามกลางผู้คนมากมายแบบนี้   การตามหาคนหายเป็นอะไรที่หนักหนาที่สุด ”

 

ดารีลว่า

ส่วนเด็กชายนั้นเดินแหวกกลุ่มคนเข้าไปยังหลุมศพที่ดารีลเคยวางดอกไม้

เขาอยากรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

 

“ เดี๋ยว ”

 

ดารีลคว้าเสื้อเขาไว้

 

“ อยู่ๆ ก็เดินไปแบบนั้นอีกหน่อยก็พลัดหลงคอยดูสิ ”

 

 

เทียนส่งวิญญาณถูกจุดขึ้นดอกแล้วดอกเล่า   ทั้งสองเดินวนไปเรื่อยๆ เพื่อจะอ่านรายชื่อนักรบให้ครบทุกคน   ซึ่งนั่นเป็นการแสดงความเคารบอย่างหนึ่ง   และเขาอาจจะจุดเทียนให้นักรบสักคนที่ชื่นชมเป็นพิเศษก็ได้   ดอกไม้นาๆ ชนิดกองสุมแทบจะท่วมรูปสลักหิน

 

“ เฟรนเรียผู้สยบเจ้าแห่งมังกรไฟ   เพลิงคำสาปได้ส่งให้เขามีใบหน้าอัปลักษณ์ชั่วลูกชั่วหลาน   เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับเคอร์คารอนและรอดชีวิต ”

 

ดารีลอ่านข้อความจากป้ายจารึก

 

“ รอบอนุสาวรีย์เป็นสุสานเก่าแก่ใช้ฝังร่างนักรบโบราณ   และที่นี่คือที่ฝังร่างผู้กล้าทั้งสิบสาม   พวกเขาล้วนมีวีรกรรมที่กล้าหาญในสงครามยิ่งใหญ่ ”

 

ว่าแล้วพ่อมดน้อยก็หันมายิ้มให้เด็กชาย

 

“ ตอนเห็นเจ้าถือดาบในทุ่งหญ้านั่น   แวบหนึ่งข้าคิดว่าควรมีที่ว่างสำหรับเจ้าตรงนี้   พร้อมกับข้อความไว้อาลัยประมาณว่า   เด็กน้อยผู้ยกดาบแทบไม่ขึ้นกับความพยายามสังหารหมู่มังกรดำกลางทุ่งหญ้า ”

 

“ เสียใจด้วยที่ข้ารอดชีวิตไม่อย่างนั้นต้องมีการทวงสิทธิ์แน่   แต่ข้าก็ดีใจที่เจ้าก็อยู่ตรงนั้นด้วย   พวกเราทั้งหมดจึงยังอยู่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ ข้ากลับอยากให้พวกเราได้พบกันที่อื่น   ที่ไม่ใช่เมืองโอรีเวีย ”

 

ดารีลบอก

 

“ ทำไมล่ะ ”

 

เด็กชายสงสัย

เขาเงียบไปเป็นครู่ในที่สุดก็ตอบ

 

“ เมืองนี้งดงามแค่เปลือกนอก   ข้าอยากให้มีที่อื่นที่สงบสุขกว่านี้ ”

 

“ แต่ข้ายินดีพบกับเจ้าในทุกที่   ต่อให้นรกหรือสวรรค์   และข้าบริสุทธิ์ใจกับเจ้าดารีล ”

 

“ เด็กน้อยเจ้านี่ไร้เดียงสายิ่งนัก   จงรู้เอาไว้สักวันข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ ”

 

“ ไม่มีวันเสียหรอก ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่าแล้วหันไปมองป้ายหินจารึก

เขานึกขึ้นได้ว่านี่คือจุดที่ดารีลวางกุหลาบขาว

 

“ เฟรนเรียโดนคำสาปจริงๆ น่ะหรือ ”

 

เด็กชายถามเมื่อหวนนึกถึงคำบอกเล่าของหัวหน้ายามเฝ้าประตู

 

“ จริง   ทำไมล่ะ ”

 

“ ข้าดีใจที่เจ้ารอดมาได้ ”

 

“ หมายความว่าถ้าข้าหน้าตาอัปลักษณ์เจ้าจะไม่ตามข้ามาอย่างนั้นหรือ ”

 

ดารีลทำเสียงประชด

แล้วลุกขึ้นเดินต่อไป

 

“ ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นแต่เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว   เพราะมันคือเกราะกำบังเดียวจากจิตใจของผู้อื่น   ผู้มองคนจากเปลือกนอก   พวกเขาจะมีเรื่องนินทาเจ้ามากกว่านี้ ”

 

เยื้องกับที่พวกเขายืนอยู่   มีกลุ่มคนแต่งกายประหลาดกำลังคุยกระซิบกระซาบ   บางคนในกลุ่มนั้นชำเลืองขึ้นไปบนอนุสาวรีย์บ่อยๆ  แม้รอบบริเวณจะเต็มไปด้วยผู้คน   แต่หลายคนก็พยายามรักษากิริยาให้อยู่ในความเคารพทำให้บรรยากาศโดยรวมดูสงบเงียบ

 

บทเพลงบรรเลงขึ้นมาเบาๆ เสียงดนตรีนั้นหวานใสแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย   เนื้อหาของบทเพลงบรรยายถึงมหาสงครามครั้งเก่าก่อนที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก   กล่าวถึงความเสียใจที่ต้องพลัดพรากจากคนรักไปในสนามรบและสันติที่ทุกคนต่างมุ่งหวัง   เนื้อเพลงยังบรรยายถึงการดับสิ้นของซาเวจหลอดและวัตถุวิเศษที่หายสาบสูญ

 

“ มาดูตรงนี้สิ   คนผู้นี้เป็นนักดาบเลื่องชื่อเขาเพียงผู้เดียวฝ่าดงมังกรเข้าไปช่วยเจ้าหญิงองค์น้อยในหอคอยที่กำลังลุกเป็นไฟ   เจ้าพอจะคุ้นชื่อของเขาหรือไม่ ”

 

ดารีลว่า

 

“ คารีออส ”

 

เด็กชายจากซีนาร์ยตอบ

 

“ ข้าไม่รู้จักหรอกแต่บิดาของข้าให้ความเคารพเขา ”

 

ดารีลพยักหน้า

 

“ ก็ไม่แปลกบิดาของเจ้าเป็นนักดาบนี่นา   คนผู้นี้เป็นต้นแบบของความกล้าบ้าบิ่น   และเขาก็สังเวยชีวิตในแบบที่คนคาดไม่ถึง   วีรกรรมของเขาควรค่าแก่การยกย่อง ”  

 

เด็กน้อยมองรูปสลักดาบของนักรบโบราณด้วยความประหลาดใจ

เพราะว่าดาบนั้นคล้ายของที่อาเธอร์ถืออยู่เป็นอย่างมาก       

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา