โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) สะพานหิน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเดินด้วยกันมาสักระยะพวกเขาก็มาถึงถนนอีกสาย ตรงหน้ามีสะพานหินขนาดใหญ่ทอดข้ามลำน้ำ ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะวิ่งไปดูเขาเพิ่งจะเคยที่นี่เป็นครั้งแรก สะพานตรงที่เห็นนั้นแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ดารีลก็คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน แล้วพาเลี้ยวเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่ง ทั่วทั้งร้านประดับประดาด้วยดอกไม้สด ที่นี่มีผลไม้มากมายสีสันสวยงามแปลกตา เปลือกด้านนอกมันวาวราวกับอัญมณี
“ โอ้โห นี่มันของจริงหรือเปล่า ”
คนอายุน้อยกว่าออกอาการตื่นเต้น
ดารีลไม่ตอบ
แต่เขาเลือกแอปเปิลสีแดงจัดลูกหนึ่งที่อยู่ในตะกร้ากุหลาบขาวมายื่นให้
เด็กชายรับไปถือด้วยสีหน้างุนงง
“ลองกัดดูสิ ”
เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย
เขาพบว่าผิวด้านนอกนั้นกรอบหวานอร่อยและเนื้อด้านในนั้นฉ่ำละมุน
“ โห นี่สุดยอดไปเลย ”
“ ก็แค่แอปเปิลเคลือบน้ำตาลเท่านั้นเอง เอาล่ะกินให้หมดแล้วกลับไปหาพ่อแม่ของเจ้าซะ ”
“ เอ่อ คือ อันที่จริงแล้วข้าพลัดหลงน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดเสียงอ้อมแอ้ม
“ หาว่าไงนะ ”
ดารีลทำตาโตนิดหน่อยเอียงคอน้อยๆ แต่พองาม
“ คือตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน ”
เด็กชายตอบพร้อมกับทำตาใสซื่อ
พ่อมดน้อยกอดคทาไว้แนบอก
เอนหลังพิงผนังร้านแล้วเหลือบตาขึ้นมองบน
“ ตกลงกันไว้ว่าถ้าเกิดเหตุพลัดหลงแล้วจะให้ไปพบกันที่ใดล่ะ ”
“ ไม่ได้นัด ”
เด็กชายจอมหลงตอบตามจริง
ดารีลพยักหน้าเบาๆ
แล้วพูดว่า
“ ผิดคาดนะ พวกเจ้าทำเรื่องเหลือเชื่อระหว่างเดินทางมาที่โอรีเวีย ข้าก็นึกว่าจะรอบคอบกันมากกว่านี้ แต่ก็ดีแล้วถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน ”
ฟิโลโซเฟอร์สั่นหัวอย่างไว
“ ทำไมล่ะ ”
“ เรื่องกลับบ้านน่ะข้าจัดการเองได้ ตอนนี้ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในงาน จะไห้ข้าไปนั่งรอที่บ้านคนเดียวเป็นไปไม่ได้เสียล่ะ ”
“ เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ แต่โอรีเวียไม่ได้ปรอดภัยอย่างที่คิด เด็กตัวเล็กๆ ไม่สมควรเดินคนเดียวในยามวิกาล ข้าเองก็ปล่อยให้เจ้าเดินพล่านไปทั่วไม่ได้ ”
“ ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ก็ส่งข้าเข้าไปในปราสาทขาวก็ได้ พวกเขาต้องอยู่ในนั้นแน่ ”
“ เป็นความคิดที่ดี ”
พ่อมดน้อยว่าแล้วก็ออกเดินนำหน้า
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามอย่างลิ่งโลด
“ พ่อของเจ้าเคยอยู่ที่โอรีเวียอย่างนั้นหรือ ตระกูลของเขาทำงานอะไร ”
ดารีลเป็นฝ่ายชวนคุย
“ ไม่รู้สิท่านพ่อหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องในอดีตอยู่เสมอ แต่ถ้าเดาไม่ผิดพ่อของข้าเคยเป็นทหารและมีน้องชายคนหนึ่งรู้สึกจะชื่อแอสเธอลาสอะไรนี่แหละ เป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองเจ้ารู้จักหรือเปล่าล่ะ ”
เด็กชายเล่า
“ แอสเธอลาสหรือ ไม่นะข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ ”
ดารีลว่า
“ เขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ”
“ กรรมตอนนั้นข้าเกิดหรือยังก็ไม่รู้ แต่ถ้าเจ้าอยากทราบประวัติของเขาข้าแอบไปค้นมาให้ก็ได้ อาของเจ้าอยู่สายของใครล่ะ ”
“ เรื่องเกี่ยวกับต้นตระกูลทางนี้ข้าไม่รู้หรอก ข้าก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ในเมื่อท่านพ่อไม่อยากสนใจ ข้าก็ไม่ควรจะรื้อฟื้น ”
“ ความสำพันธ์ทางสายเลือดของพวกเจ้านี่พิลึกแท้ ”
ดารีลว่าแล้วหยุดเดินที่กลางสะพาน
ฟิโลโซเฟอร์เขย่งท้าวก้มมองไปในแม่น้ำ
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือศีรษะ
เบื้องล่างเรือลำน้อยประดับโคมไฟหลากสีลอยอยู่เต็มไปหมด
เสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ มันไพเราะราวกับระฆังแก้ว
หนุ่มน้อยพ่อมดยืนหลังพิงราวสะพานใบหน้าอาบแสงจันทร์นั้นขาวซีดยิ่งนัก
โคมไฟนับพันถูกปล่อยลอยขึ้นจากที่แห่งใดแห่งหนึ่งพรอมกับพลุอีกชุดใหญ่
ท้องฟ้าคืนนี้จึงสว่างไสวด้วยแสงสีตระการตา
“ นั่นอะไรน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความตื่นเต้น
“ เจ้าหมายถึงดอกไม้ไฟหรือโคมลอยล่ะ ”
ดารีลถามกลับแล้วก้มหน้า
“ สรุปว่าข้าไปไม่ทันสินะ แต่ช่างเถอะทุกปีข้าก็อยู่ที่นั่น บางทีปีนี้ควรจะมีอะไรที่ต่างออกไป ”
พูดจบเขาก็หันหน้าปุบปับไปยังอีกฝั่งสะพาน
“ มีอะไรหรือ ”
เด็กชายสงสัย
“ นี่ควรจัดเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างของเมืองนี้ ท่ามกลางผู้คนมากมายพวกเขาหาข้าพบ น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ”
ไม่ทันขาดคำ
บุรุษชุดดำก็มาปรากฏกายตรงหน้า
ฟิโลโซเฟอร์จำได้ว่าเขาคือนายทหารที่เคยพบกันในทุ่งหญ้า
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านมาอยู่ตรงนี้ใยไม่ใช่ที่ปะรำพิธี ”
“ สงสัยข้าต้องยอมรับผิดแล้วล่ะ ”
ดารีลตอบด้วยรอยยิ้มยั่วโมโห
“ แบบนี้ท่านจอมวาลานจะว่าอย่างไรงานสำคัญอย่างนั้น เหตุใดท่านไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้าง ”
ชายในชุดคลุมดำสวมหน้ากากสีขาวยังกล่าวต่อว่าไม่หยุด
“ ท่านก็พูดเกินไป เห็นอยู่แล้วนี่แม้ไม่มีข้างานก็ยังดำเนินต่อได้ ส่วนเรื่องท่านวาลานไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง เขาไม่สั่งประหารข้าเพราะเรื่องเพียงเท่านี้หรอก ”
“ นายน้อย ”
นายทหารผู้นั้นยังคงประท้วง
“ หมดธุระของท่านแล้วใช่หรือไม่ วันนี้เป็นวันดีมีงานรื่นเริงอย่ามาอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ข้าว่าท่านเข้าไปชมงานเสียหน่อยเถอะ บางทีชีวิตอาจดีกว่าที่คิดก็ได้ ”
ดารีลพยายามตัดบท
แต่เหมือนว่านายทหารของเขาจะยังไม่ยอม
“ เด็กคนนี้ใคร ใช่คนที่เราพบในทุ่งหญ้าหรือเปล่า เขามาทำอะไรแถวนี้ ”
“ ก็ใช่แล้วจะทำไมล่ะ ”
คนเป็นนายถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยอาการท้าทาย
“ เดี๋ยวนะ ท่านจะไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าตามลำพังไม่ได้ โดยเฉพาะพวกคนเถื่อนแต่งกายมอมแมม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับทำหน้าย่น
เขารู้ดีใบหน้าของเขานั้นห่างไกลกับคำว่าดิบเถื่อนมากมายนัก
และชุดที่เขาสวมใส่ก็ราคาแพงที่สุดเท่าที่มีในตู้แล้ว
“ จบได้หรือยังถ้ายังไม่จบข้าจะกระโดดน้ำล่ะนะ ”
ดารีลว่าพลางโหนตัวขึ้นไปนั่งบนราวสะพาน
“ โดดน้ำ ”
นายทหารองครักษ์ทวนคำงงๆ
แล้วทำตาโต
“ ท่านจะโดดลงไปทั้งชุดที่ใช้ในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะ ”
“ พนันกันหรือไม่ว่าได้หรือไม่ได้ ”
เมื่อเห็นว่าพ่อมดอายุน้อยตั้งท่าจะม้วนตัวลงไปจริงๆ เขาจึงยกมือห้าม
แล้วชายผู้นั้นก็เดินล่าถอยออกไป
“ ที่ตลกร้ายก็คือพวกเขาห่วงชุดนี้มากกว่าชีวิตของข้าเสียอีก ”
ดารีลพูดพลางกระโดดกลับลงมายืนข้างเด็กชาย
“ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ”
“ ชุดนี้วาลานเป็นคนมอบให้มันก็เลยสำคัญอย่างไรล่ะ ”
“ นี่ข้าทำอะไรให้เจ้าลำบากอยู่หรือเปล่า ”
เสียงเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล
เขากำลังสงสัยว่าเวลานี้ท่านจอมวาลานอาจต้องการตัวดารีลอยู่ก็เป็นได้
“ เจ้าทำเรื่องยุ่งให้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว แต่คนที่จะทำคือสตรีชุดแดงคนนั้น แปลกที่นางออกมาปรากฏตัว หวังว่าคงไม่ได้มีแผนการวิปริตอยู่ในหัวหรอกนะ ”
“ ตกลงนางเป็นใครกันแน่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
แต่หนุ่มน้อยรูปงามกลับไม่ยอมตอบ
เขาชะโงกหน้าข้ามราวสะพานลงไปดูเรือที่กำลังลอยลำอยู่
“ ข้าไม่เคยนั่งเรือมาก่อนเลยในชีวิต ”
เด็กน้อยว่าพลางเอาคางพาดกับบอบหินที่เรียบเย็น
“ ส่วนข้าก็ไม่เคยพายเรือเลยสักครั้ง ว่าแต่เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า ”
ดารีลสงสัย
“ ไม่เป็น ”
คนถูกถามตอบตามซื่อ
ดารีลยิ้มอบอุ่น
“ ก่อนที่จะลงเรือเจ้าต้องว่ายน้ำไห้เป็นเสียก่อน อย่างน้อยตกน้ำลงไปก็ไม่ตายทันที บ้านเก่าเจ้าไม่มีแหล่งน้ำหรืออย่างไร ซุกซนขนาดนี้แต่ว่ายน้ำไม่เป็นน่ะเสียชื่อแย่เลยนะ ”
“ ที่ซีนาร์ยมีน้ำไหลผ่านก็จริง แต่เป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกราก ท่านแม่ไม่ยอมปล่อยให้ข้าลงไปง่ายๆ หรอก ”
“ มารดาของเจ้าเข้มงวดมากสินะ ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงไม่กินแอปเปิลลูกนั้นเสียที ”
เขาถามเพราะเห็นเด็กชายยังถือผลไม้ในมือ
“ ข้าจะเก็บเอาไว้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ แต่เจ้ากำลังหิวอยู่มิใช่หรือ ”
“ ถึงหิวข้าจนไส้ขาดข้าก็จะไม่กิน ”
“ เพราะอะไรล่ะ คงไม่คิดว่าข้าวางยาหรอกนะ ”
“ ก็มันเป็นของชิ้นแรกที่เจ้ามอบให้ข้า ”
“ เฟ้อเจ้อแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ คนสติดีทั่วไปเขาไม่เก็บอะไรที่เน่าเสียได้ไว้เป็นของที่กันระลึกหรอก ”
“ ข้าไม่สน ”
เด็กชายยังยืนยันคำเดิม
“ กินเสียเด็กน้อย ไว้ข้าจะหาอะไรที่ดีกว่านี้มาให้เจ้า ”
“ จริงนะ ”
คนอายุน้อยกว่ารู้สึกลิงโลดขึ้นมาทันที
ดารีลไม่ตอบ
เขาออกเดินนำไปอีกฟากของสะพาน
“ ท่านจะไปไหนน่ะ ”
เด็กชายตะโกนถามพลางวิ่งตามไป
“ เจ้านี่ พูดมากเสียจริงตามมาเงียบๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ”
ดารีลทำเสียงดุ
“ ขอโทษทีปรกติข้าพล่ามไม่เก่งหรอกนะ แต่พอตื่นเต้นแล้วเป็นแบบนี้ทุกที ”
“ โอ้โห นี่มันของจริงหรือเปล่า ”
คนอายุน้อยกว่าออกอาการตื่นเต้น
ดารีลไม่ตอบ
แต่เขาเลือกแอปเปิลสีแดงจัดลูกหนึ่งที่อยู่ในตะกร้ากุหลาบขาวมายื่นให้
เด็กชายรับไปถือด้วยสีหน้างุนงง
“ลองกัดดูสิ ”
เด็กชายทำตามอย่างว่าง่าย
เขาพบว่าผิวด้านนอกนั้นกรอบหวานอร่อยและเนื้อด้านในนั้นฉ่ำละมุน
“ โห นี่สุดยอดไปเลย ”
“ ก็แค่แอปเปิลเคลือบน้ำตาลเท่านั้นเอง เอาล่ะกินให้หมดแล้วกลับไปหาพ่อแม่ของเจ้าซะ ”
“ เอ่อ คือ อันที่จริงแล้วข้าพลัดหลงน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดเสียงอ้อมแอ้ม
“ หาว่าไงนะ ”
ดารีลทำตาโตนิดหน่อยเอียงคอน้อยๆ แต่พองาม
“ คือตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ไหน ”
เด็กชายตอบพร้อมกับทำตาใสซื่อ
พ่อมดน้อยกอดคทาไว้แนบอก
เอนหลังพิงผนังร้านแล้วเหลือบตาขึ้นมองบน
“ ตกลงกันไว้ว่าถ้าเกิดเหตุพลัดหลงแล้วจะให้ไปพบกันที่ใดล่ะ ”
“ ไม่ได้นัด ”
เด็กชายจอมหลงตอบตามจริง
ดารีลพยักหน้าเบาๆ
แล้วพูดว่า
“ ผิดคาดนะ พวกเจ้าทำเรื่องเหลือเชื่อระหว่างเดินทางมาที่โอรีเวีย ข้าก็นึกว่าจะรอบคอบกันมากกว่านี้ แต่ก็ดีแล้วถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งเจ้าที่บ้าน ”
ฟิโลโซเฟอร์สั่นหัวอย่างไว
“ ทำไมล่ะ ”
“ เรื่องกลับบ้านน่ะข้าจัดการเองได้ ตอนนี้ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในงาน จะไห้ข้าไปนั่งรอที่บ้านคนเดียวเป็นไปไม่ได้เสียล่ะ ”
“ เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ แต่โอรีเวียไม่ได้ปรอดภัยอย่างที่คิด เด็กตัวเล็กๆ ไม่สมควรเดินคนเดียวในยามวิกาล ข้าเองก็ปล่อยให้เจ้าเดินพล่านไปทั่วไม่ได้ ”
“ ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย แต่ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ก็ส่งข้าเข้าไปในปราสาทขาวก็ได้ พวกเขาต้องอยู่ในนั้นแน่ ”
“ เป็นความคิดที่ดี ”
พ่อมดน้อยว่าแล้วก็ออกเดินนำหน้า
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามอย่างลิ่งโลด
“ พ่อของเจ้าเคยอยู่ที่โอรีเวียอย่างนั้นหรือ ตระกูลของเขาทำงานอะไร ”
ดารีลเป็นฝ่ายชวนคุย
“ ไม่รู้สิท่านพ่อหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเรื่องในอดีตอยู่เสมอ แต่ถ้าเดาไม่ผิดพ่อของข้าเคยเป็นทหารและมีน้องชายคนหนึ่งรู้สึกจะชื่อแอสเธอลาสอะไรนี่แหละ เป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองเจ้ารู้จักหรือเปล่าล่ะ ”
เด็กชายเล่า
“ แอสเธอลาสหรือ ไม่นะข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ ”
ดารีลว่า
“ เขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ”
“ กรรมตอนนั้นข้าเกิดหรือยังก็ไม่รู้ แต่ถ้าเจ้าอยากทราบประวัติของเขาข้าแอบไปค้นมาให้ก็ได้ อาของเจ้าอยู่สายของใครล่ะ ”
“ เรื่องเกี่ยวกับต้นตระกูลทางนี้ข้าไม่รู้หรอก ข้าก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ในเมื่อท่านพ่อไม่อยากสนใจ ข้าก็ไม่ควรจะรื้อฟื้น ”
“ ความสำพันธ์ทางสายเลือดของพวกเจ้านี่พิลึกแท้ ”
ดารีลว่าแล้วหยุดเดินที่กลางสะพาน
ฟิโลโซเฟอร์เขย่งท้าวก้มมองไปในแม่น้ำ
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นเหนือศีรษะ
เบื้องล่างเรือลำน้อยประดับโคมไฟหลากสีลอยอยู่เต็มไปหมด
เสียงระฆังดังมาจากที่ไกลๆ มันไพเราะราวกับระฆังแก้ว
หนุ่มน้อยพ่อมดยืนหลังพิงราวสะพานใบหน้าอาบแสงจันทร์นั้นขาวซีดยิ่งนัก
โคมไฟนับพันถูกปล่อยลอยขึ้นจากที่แห่งใดแห่งหนึ่งพรอมกับพลุอีกชุดใหญ่
ท้องฟ้าคืนนี้จึงสว่างไสวด้วยแสงสีตระการตา
“ นั่นอะไรน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามด้วยความตื่นเต้น
“ เจ้าหมายถึงดอกไม้ไฟหรือโคมลอยล่ะ ”
ดารีลถามกลับแล้วก้มหน้า
“ สรุปว่าข้าไปไม่ทันสินะ แต่ช่างเถอะทุกปีข้าก็อยู่ที่นั่น บางทีปีนี้ควรจะมีอะไรที่ต่างออกไป ”
พูดจบเขาก็หันหน้าปุบปับไปยังอีกฝั่งสะพาน
“ มีอะไรหรือ ”
เด็กชายสงสัย
“ นี่ควรจัดเป็นเรื่องแปลกอีกอย่างของเมืองนี้ ท่ามกลางผู้คนมากมายพวกเขาหาข้าพบ น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ ”
ไม่ทันขาดคำ
บุรุษชุดดำก็มาปรากฏกายตรงหน้า
ฟิโลโซเฟอร์จำได้ว่าเขาคือนายทหารที่เคยพบกันในทุ่งหญ้า
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านมาอยู่ตรงนี้ใยไม่ใช่ที่ปะรำพิธี ”
“ สงสัยข้าต้องยอมรับผิดแล้วล่ะ ”
ดารีลตอบด้วยรอยยิ้มยั่วโมโห
“ แบบนี้ท่านจอมวาลานจะว่าอย่างไรงานสำคัญอย่างนั้น เหตุใดท่านไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้าง ”
ชายในชุดคลุมดำสวมหน้ากากสีขาวยังกล่าวต่อว่าไม่หยุด
“ ท่านก็พูดเกินไป เห็นอยู่แล้วนี่แม้ไม่มีข้างานก็ยังดำเนินต่อได้ ส่วนเรื่องท่านวาลานไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง เขาไม่สั่งประหารข้าเพราะเรื่องเพียงเท่านี้หรอก ”
“ นายน้อย ”
นายทหารผู้นั้นยังคงประท้วง
“ หมดธุระของท่านแล้วใช่หรือไม่ วันนี้เป็นวันดีมีงานรื่นเริงอย่ามาอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ข้าว่าท่านเข้าไปชมงานเสียหน่อยเถอะ บางทีชีวิตอาจดีกว่าที่คิดก็ได้ ”
ดารีลพยายามตัดบท
แต่เหมือนว่านายทหารของเขาจะยังไม่ยอม
“ เด็กคนนี้ใคร ใช่คนที่เราพบในทุ่งหญ้าหรือเปล่า เขามาทำอะไรแถวนี้ ”
“ ก็ใช่แล้วจะทำไมล่ะ ”
คนเป็นนายถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยอาการท้าทาย
“ เดี๋ยวนะ ท่านจะไปไหนมาไหนกับคนแปลกหน้าตามลำพังไม่ได้ โดยเฉพาะพวกคนเถื่อนแต่งกายมอมแมม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับทำหน้าย่น
เขารู้ดีใบหน้าของเขานั้นห่างไกลกับคำว่าดิบเถื่อนมากมายนัก
และชุดที่เขาสวมใส่ก็ราคาแพงที่สุดเท่าที่มีในตู้แล้ว
“ จบได้หรือยังถ้ายังไม่จบข้าจะกระโดดน้ำล่ะนะ ”
ดารีลว่าพลางโหนตัวขึ้นไปนั่งบนราวสะพาน
“ โดดน้ำ ”
นายทหารองครักษ์ทวนคำงงๆ
แล้วทำตาโต
“ ท่านจะโดดลงไปทั้งชุดที่ใช้ในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นะ ”
“ พนันกันหรือไม่ว่าได้หรือไม่ได้ ”
เมื่อเห็นว่าพ่อมดอายุน้อยตั้งท่าจะม้วนตัวลงไปจริงๆ เขาจึงยกมือห้าม
แล้วชายผู้นั้นก็เดินล่าถอยออกไป
“ ที่ตลกร้ายก็คือพวกเขาห่วงชุดนี้มากกว่าชีวิตของข้าเสียอีก ”
ดารีลพูดพลางกระโดดกลับลงมายืนข้างเด็กชาย
“ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ”
“ ชุดนี้วาลานเป็นคนมอบให้มันก็เลยสำคัญอย่างไรล่ะ ”
“ นี่ข้าทำอะไรให้เจ้าลำบากอยู่หรือเปล่า ”
เสียงเด็กชายเต็มไปด้วยความกังวล
เขากำลังสงสัยว่าเวลานี้ท่านจอมวาลานอาจต้องการตัวดารีลอยู่ก็เป็นได้
“ เจ้าทำเรื่องยุ่งให้ข้าไม่ได้อยู่แล้ว แต่คนที่จะทำคือสตรีชุดแดงคนนั้น แปลกที่นางออกมาปรากฏตัว หวังว่าคงไม่ได้มีแผนการวิปริตอยู่ในหัวหรอกนะ ”
“ ตกลงนางเป็นใครกันแน่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
แต่หนุ่มน้อยรูปงามกลับไม่ยอมตอบ
เขาชะโงกหน้าข้ามราวสะพานลงไปดูเรือที่กำลังลอยลำอยู่
“ ข้าไม่เคยนั่งเรือมาก่อนเลยในชีวิต ”
เด็กน้อยว่าพลางเอาคางพาดกับบอบหินที่เรียบเย็น
“ ส่วนข้าก็ไม่เคยพายเรือเลยสักครั้ง ว่าแต่เจ้าว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า ”
ดารีลสงสัย
“ ไม่เป็น ”
คนถูกถามตอบตามซื่อ
ดารีลยิ้มอบอุ่น
“ ก่อนที่จะลงเรือเจ้าต้องว่ายน้ำไห้เป็นเสียก่อน อย่างน้อยตกน้ำลงไปก็ไม่ตายทันที บ้านเก่าเจ้าไม่มีแหล่งน้ำหรืออย่างไร ซุกซนขนาดนี้แต่ว่ายน้ำไม่เป็นน่ะเสียชื่อแย่เลยนะ ”
“ ที่ซีนาร์ยมีน้ำไหลผ่านก็จริง แต่เป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกราก ท่านแม่ไม่ยอมปล่อยให้ข้าลงไปง่ายๆ หรอก ”
“ มารดาของเจ้าเข้มงวดมากสินะ ว่าแต่เหตุใดเจ้าจึงไม่กินแอปเปิลลูกนั้นเสียที ”
เขาถามเพราะเห็นเด็กชายยังถือผลไม้ในมือ
“ ข้าจะเก็บเอาไว้ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตอบ
“ แต่เจ้ากำลังหิวอยู่มิใช่หรือ ”
“ ถึงหิวข้าจนไส้ขาดข้าก็จะไม่กิน ”
“ เพราะอะไรล่ะ คงไม่คิดว่าข้าวางยาหรอกนะ ”
“ ก็มันเป็นของชิ้นแรกที่เจ้ามอบให้ข้า ”
“ เฟ้อเจ้อแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ คนสติดีทั่วไปเขาไม่เก็บอะไรที่เน่าเสียได้ไว้เป็นของที่กันระลึกหรอก ”
“ ข้าไม่สน ”
เด็กชายยังยืนยันคำเดิม
“ กินเสียเด็กน้อย ไว้ข้าจะหาอะไรที่ดีกว่านี้มาให้เจ้า ”
“ จริงนะ ”
คนอายุน้อยกว่ารู้สึกลิงโลดขึ้นมาทันที
ดารีลไม่ตอบ
เขาออกเดินนำไปอีกฟากของสะพาน
“ ท่านจะไปไหนน่ะ ”
เด็กชายตะโกนถามพลางวิ่งตามไป
“ เจ้านี่ พูดมากเสียจริงตามมาเงียบๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ”
ดารีลทำเสียงดุ
“ ขอโทษทีปรกติข้าพล่ามไม่เก่งหรอกนะ แต่พอตื่นเต้นแล้วเป็นแบบนี้ทุกที ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ