โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.76K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ผู้พิทักษ์หน้ากากทอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์กลับถึงบ้านในยามบ่ายแก่ๆ พบว่าคนอื่นๆ นั่งรอเขาที่ประตูหน้าบ้านด้วยอาการกระวนกระวาย โดยเฉพาะคาโลไรน์นางถึงกับนั่งไม่ติดได้แต่เดินวกไปวนมา เมื่อเห็นบุตรชายปรากฏตัวขึ้นนางจึงมีท่าทีผ่อนคลายลง
“ หายไปไหนมาน่ะพ่อกับแม่เป็นห่วงเราแทบแย่ ”
คาโลไรน์เอ่ยตำหนิ
“ ข้าบอกแล้วไงว่าเขาดูแลตัวเองได้ ”
อาเธอร์บอก
“ ใช่น่ะสิ ก็เขากลับมาแล้วนี่ แต่ถ้าเกิดลูกไม่ได้กลับมาล่ะเกิดมีใครจับตัวเขาไปล่ะ ”
นางเสียงแข็ง
“ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนได้ไหมตอนนี้ข้าหิวแล้ว ”
เด็กชายว่าพลางลูบคลำท้อง
“ ถ้าท้องไม่ร้องคงไม่กลับมาสินะ ”
คาโอเรียได้ทีพูดสอดขึ้น
“ เอาล่ะเด็กดีทั้งสอง อย่าทะเลาะกันเลย เข้าบ้านกันเถิดข้าจะหาของอร่อยให้ทาน ”
ว่าแล้วนางก็จูงมือบุตรทั้งสองเดินเข้าบ้าน
ในระหว่างมืออาหาร
พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
สุดท้ายก็มาจบที่เรื่องของดารีลจนได้
“ จะว่าไปเขาดูมีเสน่ห์ประหลาดๆ อย่างไรไม่รู้ ดูไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ข้าว่าบางทีเขาอาจมีสายเลือดของพวกนิมฟ์อยู่ในตัวก็ได้ ”
อาเธอร์ให้ความเห็น
“ ตามตำนานนิมฟ์ไม่มีผู้ชาย ”
คาโลไรน์แย้ง
“ ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ทั้งหมดคือเขาเล่าว่าทั้งนั้นซึ่งความจริงอาจไม่ใช่อย่างที่คิดกันก็ได้ แล้วมันจะแปลกตรงไหนหากเขาเป็นทายาทของพวกนิมฟ์จริง ”
“ท่านพ่อเล่าเรื่องของนิมฟ์ให้ข้าฟังบ้างสิ ”
คาโอเรียว่า
“ เจ้าคงไม่อยากฟังเรื่องสยองก่อนนอนหรอกนะ ”
มารดาของนางขัดขึ้น
“ ทำไมล่ะพวกนางเป็นผีหรือ ”
เด็กหญิงยังสงสัย
“ จริงๆ แล้วเป็นแค่สาวชาวป่าน่ะ ”
อาเธอร์แก้
“ เพียงแต่เรื่องเล่าของพวกนางเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับความตายและกลิ่นคาวเลือด ”
คาโลไรน์ต่อให้
คืนนั้นเด็กทั้งสองถูกบังคับอาบน้ำล้างตัวจนสะอาด คาโลไรน์โรยใบเสจแห้งลงในอ่างน้ำอุ่นด้วย ทำให้พวกเขามีกลิ่นกายหอมละมุน หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วคาโอเรียก็โดนจับเปียผมเป็นช่อเล็กๆ เต็มศีรษะและเข้านอนไปทั้งอย่างนั้น ส่วนฟิโลโซเฟอร์อยากออกไปเดินเที่ยวในยามค่ำคืน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บิดาของเขาบอกว่าคืนพรุ่งนี้ต่างหากที่มีงานใหญ่ สำหรับคืนนี้จึงสมควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เด็กชายจึงเข้าห้องไปด้วยอาการหงุดหงิด เสียงอึกทึกที่ดังผ่านหน้าต่างเข้ามาเรื่อยๆ ช่างยั่วยวนยิ่งนัก เขายังไม่ง่วงแต่ก็ต้องเข้านอนตามคำสั่งเช่นกัน
เจ้าตรู่ของวันถัดมาก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คุณปู่น้อยที่เขาพบโดยบังเอิญในวันก่อนๆ โน้นได้มาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับคนแปลกหน้าอีกสามคน อาเธอร์รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ เขาเชิญแขกเข้าบ้านอย่างเสียไม่ได้ ปู่น้อยตัดพ้อว่าความจริงในงานเทศกาลเช่นนี้ก็คือวันรวมญาติ เขารออยู่ตั้งหลายวันอาเธอร์ก็ไม่ไปหา จนเขาต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง ว่าแล้วคุณปู่น้อยก็สั่งให้คนของเขาเอาอาหารเช้าไปวางบนโต๊ะซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นสูง และแน่นอนว่าฟิโลโซเฟอร์ทานไม่ได้สักอย่าง มื้ออาหารนั้นแม้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแต่สำหรับอาเธอร์แล้วกลับผะอืดผะอมไม่น้อย ก่อนกลับคุณปู่น้อยยังมีน้ำใจชวนพวกเขาไปอยู่ด้วยแต่อาเธอร์ก็ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสุภาพ คาโลไรน์แก้เปียให้บุตรสาวแล้วหวีอย่างเรียบร้อย ผมสีทองยาวสลวยของนางก็หยักเป็นคลื่นเล็กๆ ด้วยชุดสีขาวฟูฟ่องพร้อมด้วยมงกุฎดอกไม้สดบนหัว เด็กหญิงก็งดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ เลยทีเดียว
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วต่างก็ออกจากบ้านเดินทางไปยังถนนใหญ่สายหนึ่ง คาโลไรน์หิ้วตะกร้าใบหนึ่งติดมือไปด้วยในนั้นเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้แห้ง ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายยืนเบียดเสียดเต็มสองข้างทาง ตามพื้นและบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้และกระดาษสีชิ้นเล็กๆ มีกระถางไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นระยะ อาเธอร์อุ้มคาโอเรียขึ้นเพื่อให้นางหย่อนเครื่องหอมลงไปในกระถางไฟได้สะดวก กลิ่นประหลาดพร้อมกับไอสีฟ้าก็ฟุ้งออกมา คาโลไรน์ส่งเครื่องหอมชิ้นหนึ่งให้ฟิโลโซเฟอร์
“ อย่าลืมกล่าวคำอธิฐานด้วยนะ ”
นางเตือน
เด็กชายรับมาและหย่อนมันลงในกระถาง เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นในอากาศ เขามองตามควันสีจัดจ้านที่ลอยสูงขึ้นไป แล้วสายตาของเขาก็พบกับบางสิ่งเหนือหลังคาตึก มีคนแต่งกายด้วยชุดขาวยืนประปรายอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่ถือดาบทองคำ แต่มีร่างหนึ่งที่แปลกออกไปเพราะเขาถือคทาสีเงิน ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาดแต่เมื่อพยายามเพ่งดู เจ้าของร่างนั้นกลับเดินหายเข้าไปในมุมที่ลับตา
“ มีอะไรหรือ ”
บิดาของเขาถาม
“ ข้ารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างบนนั้น ”
“ อ้อ นั้นคือเหล่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองน่ะ เอาล่ะเลิกมองได้แล้วขบวนเสด็จกำลังมา วันนี้คือวันที่ทุกคนจะได้ใกล้ชิดท่านจอมวาลานที่สุด ”
“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองคืออะไรหรือครับ ”
เด็กน้อยยังคงสงสัย
“ เป็นองครักษ์ประจำตัวท่านวาลาน ”
อาเธอร์ตอบสั้นๆ
“ ท่านอาของเราก็เคยอยู่ตำแหน่งนี้ใช่หรือไม่ ”
เด็กชายหมายถึงแอสเธอลาส
น้องชายคนเดียวของอาเธอร์
“ เลิกคุยได้แล้ว ขบวนกำลังมา ระวังตัวหน่อย ”
คาโลไรน์ส่งเสียงดุ
สายตามองไปยังเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังแย่งกันหย่อนเครื่องหอมลงในกระถางไฟ
นางดึงคาโอเรียให้ถอยห่างออกมาพลางบ่นอะไรบางอย่าง
ม้ากลุ่มแรกวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นขบวนแห่ธงทิวสีดำทองซึ่งเป็นสีประจำตัวของวาลาน
ตามมาด้วยทหารกองต่างๆ
ฝูงชนสองข้างทางต่างโห่ร้องต้อนรับ
บางคนก็โปรยสิ่งของที่เตรียมมาในตะกร้าลงไปในถนน
เด็กๆ ทั้งหลายพากันตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ที่เห็นตรงหน้า
ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองทหารม้าตาไม่กระพริบ
คิดว่าสักวันต้องขี่ม้าด้วยตัวเองให้ได้
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโคลมขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
เด็กกลุ่มที่เล่นซนกันอยู่ได้ชนกระถางไฟล้มลง
อาเธอร์รีบคว้าบุตรทั้งสองเข้ามากอดเพื่อให้พ้นจากอันตราย
แต่ก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้นคนผู้หนึ่งก็ทิ้งตัวลงมาจากที่สูง
เขาสวมชุดขาวซ่อนใบหน้าไว้ในหน้ากากสีทอง
ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าประหลาด
มือข้างหนึ่งกำปลายคทากวาดผู้คนที่ล้นเข้าไปในถนนให้กลับมายืนในที่ปรอดภัย
ส่วนมืออีกข้างคว้ากระถางโลหะให้ตั้งขึ้น
เศษไฟที่กระจายเกลื่อนก็ม้วนกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม
เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นและจบลงในชั่วพริบตา
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาคนผู้นั้นมากจึงจะเดินเข้าไปหา
แต่อาเธอร์คว้าคอเขาเอาไว้เสียก่อน
“ คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าไปใกล้ได้ ”
คนเป็นพ่อเตือน
“ แต่เขาคว้ากระถางไฟเข้าไปเต็มๆ เลยนะคงมีบาดเจ็บบ้างล่ะ ”
เด็กชายว่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ อย่าห่วงเลย เรื่องแค่นั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้พิทักษ์หน้ากากทองหรอก ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อท่านจอมวาลานแย่ ”
อาเธอร์บอกแต่ในใจเขากลับรู้สึกผิดปรกติกับคนผู้นี้
ทหารเกราะดำนายหนึ่งควบม้าตรงเข้ามาในมือถือแส้หนามมาด้วย
“ ใครบังอาจขวางขบวนเสด็จของท่านจอมวาลาน แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ”
ชายผู้นั้นตวาดเสียงดัง
ชาวบ้านในบริเวณนั้นต่างกลัวหัวหด
เด็กน้อยบางคนถึงกับร้องให้ในอ้อมกอดของผู้ปกครอง
ผู้พิทักษ์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังขวัญผวา
แล้วหันกลับมามองทหารม้าผู้นั้น
เจ้าของร่างบอบบางผู้สวมหน้ากากสีทองเอียงคอน้อยๆ
“ ในความเห็นของข้าคนที่กำลังขวางทางอยู่เวลานี้มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้น ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทว่าเรียบเย็น
“ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่มีคนก่อการรบกวน ”
“ มันเป็นอุบัติเหตุและทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านอย่าสร้างปัญหาเลยกลับไปเสียเถอะ ”
“ เจ้าอย่าถือดีนักนะ ที่นี่คือโอรีเวีย กฎก็คือกฎ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ”
ผู้พิทักษ์คนนั้นถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า
“ เหมือนท่านอยากท้าดวลกับข้านะ แต่รู้หรือไม่ในสถานการณ์ตอนนี้ข้าสามารถสังหารท่านได้ นอกจากไม่มีความผิดแล้วยังจะได้รับบำเหน็จอีกด้วย ดังนั้นแล้วจงกลับไปประจำที่เสีย ขบวนของท่านป่านนี้ไปถึงไหนแล้ว วันนี้เป็นวันมงคล โปรดอย่าทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากเลย ”
ที่กลางถนนขบวนแตรกำลังเคลื่อนผ่านไป
ตามมาด้วยกลุ่มตรีที่แต่งกายสวยงามราวกับเทพธิดา
ทหารเกราะทองนำขบวนรถม้าที่ตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่ากำลังจะผ่านไป
แต่แล้วรถม้าคันนั้นก็หยุดลงชายผู้หนึ่งก้าวลงมาช้าๆ
เขาสวมชุดคลุมขาวใบหน้าดูอ่อนเยาว์แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความแก่ชรา
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหมอบลงต่อหน้าเขา
ทหารม้าเกราะดำกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อทำความเคารพ
เพราะคนผู้นี้คือวาลานเจ้าเหนือโอรีเวีย
“ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ”
เขาถามผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ มีคนก่อความวุ่นวายขอรับเจ้าเหนือหัวส่วนเขาคนนั้นได้ขัดขวางการทำงานของข้า ”
นายทหารที่หมอบอยู่ชิงรายงานขึ้นก่อน
“ หุบปากเสียเจ้าเศษมนุษย์ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า ”
วาลานตวาดด้วยเสียงทรงอำนาจทำให้ทหารม้าเกราะดำถึงกับกลัวลนลาน
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับผู้เป็นนายสูงสุด
จึงไม่เข้าใจอุปนิสัยที่แท้จริงของเจ้านาย
“ ว่าอย่างไรล่ะ ”
วาลานหันมาถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันลิบลับ
“ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้ท่านแม้แต่จะชำเลืองมอง ”
ผู้พิทักษ์ของเขาตอบ
“ เหลวไหลเรื่องที่เจ้าสนใจมีหรือที่จะไม่สำคัญ ”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูยิ่งนัก
“ ท่านวาลานเสียงระฆังดังขึ้นแล้วกำหนดการณ์ก็ใกล้เข้ามาเต็มที ท่านอย่าเสียเวลาเลย รีบไปเสียเถิดท่านก็รู้ดีเหตุการณ์ปีนี้เป็นอย่างไร อย่าทำให้ประชาชนต้องเสียขวัญเพียงเพราะเหตุไร้สาระอันน้อยนิด ”
“ ก็ได้ๆ แต่ข้าคงต้องตำหนิเจ้าเวลานี้ที่ๆ เจ้าควรอยู่คือตามติดขวามือของข้า เหตุใดจึงมาเถลไถลออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ ”
วาลานว่าพลางโอบไหล่ผู้พิทักษ์ของเขาให้ออกเดินไปด้วยกัน
และทหารม้าเกราะดำก็ถูกเมินไปโดยสิ้นเชิง
“ ผิดแล้วท่าน ข้าจำเป็นต้องอยู่ที่สูง เพื่อคอยอารักขาท่านต่างหากล่ะ ”
ผู้พิทักษ์ชุดขาวคนนั้นมีท่าทีขัดขืน
แต่ท่านวาลานก็ลากเขาขึ้นรถไปบนรถม้าด้วยจนได้
เมื่อขบวนของวาลานผ่านไป
ขบวนของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ตามหลังมาติดๆ
และปิดท้ายด้วยทหารธงแดง
ประชาชนต่างโห่ร้องและโปรยดอกไม้ชุดสุดท้ายขึ้นไปในอากาศ
“ กลับกันเถอะ ”
อาเธอร์ว่า
“ คืนนี้ค่อยออกมาเที่ยวกัน ”
“ เราไม่เข้าไปในปราสาทขาวหรือ คนอื่นๆ เขาก็ไปที่นั่น ”
เด็กชายแย้ง
“ กลับบ้านก่อนเถอะจ๊ะพักผ่อนให้มากๆ แล้วเย็นนี้ค่อยออกมาสนุก ”
คาโลไรน์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขณะกำลังแหวกผู้คนออกมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังกระซิบกระซาบ
“ ข้าว่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองคนนั้นต้องเป็นพ่อมดแน่เลย ”
“ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เคยมีผู้ใช้เวทมนตร์ดำรงตำแหน่งนี้ ”
อีกคนว่า
“ แต่ข้าเห็นกับตาเลยนะว่าเขาใช้เวทมนตร์แล้วเขาก็ยังถือคทาด้วย ”
“ เจ้าไม่รู้อะไร ผู้พิทักษ์ของวาลานมักมีของวิเศษติดตัว แต่เขาไม่มีทางเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้หรอก”
มีอีกเสียงค้านขึ้นมา
“ อันที่จริงแล้ว การขวางขบวนเสด็จนั้นมีโทษร้ายแรงนัก แต่เขากลับทำให้เรื่องจบลงอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถสนทนากับท่านจอมวาลานได้โดยไม่สะทกสะท้าน ข้าว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ”
“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองทุกคนก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ”
อาเธอร์พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ พวกเขาต้องฝึกตนอย่างหนักเพื่อมายืนตรงจุดนี้ ”
ในใจของเขาหวนคิดคำนึงถึงแอสเธอลาสแล้วก็ได้แต่เศร้าโศก
“ เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อมดหรือเปล่า ”
ชายชราที่ยืนอยู่ใกล้เอ่ยถาม
อาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้นแม้จะรู้อยู่เต็มอก
แต่มันเป็นไปได้อย่างไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้
“ หายไปไหนมาน่ะพ่อกับแม่เป็นห่วงเราแทบแย่ ”
คาโลไรน์เอ่ยตำหนิ
“ ข้าบอกแล้วไงว่าเขาดูแลตัวเองได้ ”
อาเธอร์บอก
“ ใช่น่ะสิ ก็เขากลับมาแล้วนี่ แต่ถ้าเกิดลูกไม่ได้กลับมาล่ะเกิดมีใครจับตัวเขาไปล่ะ ”
นางเสียงแข็ง
“ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนได้ไหมตอนนี้ข้าหิวแล้ว ”
เด็กชายว่าพลางลูบคลำท้อง
“ ถ้าท้องไม่ร้องคงไม่กลับมาสินะ ”
คาโอเรียได้ทีพูดสอดขึ้น
“ เอาล่ะเด็กดีทั้งสอง อย่าทะเลาะกันเลย เข้าบ้านกันเถิดข้าจะหาของอร่อยให้ทาน ”
ว่าแล้วนางก็จูงมือบุตรทั้งสองเดินเข้าบ้าน
ในระหว่างมืออาหาร
พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
สุดท้ายก็มาจบที่เรื่องของดารีลจนได้
“ จะว่าไปเขาดูมีเสน่ห์ประหลาดๆ อย่างไรไม่รู้ ดูไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ข้าว่าบางทีเขาอาจมีสายเลือดของพวกนิมฟ์อยู่ในตัวก็ได้ ”
อาเธอร์ให้ความเห็น
“ ตามตำนานนิมฟ์ไม่มีผู้ชาย ”
คาโลไรน์แย้ง
“ ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่ทั้งหมดคือเขาเล่าว่าทั้งนั้นซึ่งความจริงอาจไม่ใช่อย่างที่คิดกันก็ได้ แล้วมันจะแปลกตรงไหนหากเขาเป็นทายาทของพวกนิมฟ์จริง ”
“ท่านพ่อเล่าเรื่องของนิมฟ์ให้ข้าฟังบ้างสิ ”
คาโอเรียว่า
“ เจ้าคงไม่อยากฟังเรื่องสยองก่อนนอนหรอกนะ ”
มารดาของนางขัดขึ้น
“ ทำไมล่ะพวกนางเป็นผีหรือ ”
เด็กหญิงยังสงสัย
“ จริงๆ แล้วเป็นแค่สาวชาวป่าน่ะ ”
อาเธอร์แก้
“ เพียงแต่เรื่องเล่าของพวกนางเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับความตายและกลิ่นคาวเลือด ”
คาโลไรน์ต่อให้
คืนนั้นเด็กทั้งสองถูกบังคับอาบน้ำล้างตัวจนสะอาด คาโลไรน์โรยใบเสจแห้งลงในอ่างน้ำอุ่นด้วย ทำให้พวกเขามีกลิ่นกายหอมละมุน หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วคาโอเรียก็โดนจับเปียผมเป็นช่อเล็กๆ เต็มศีรษะและเข้านอนไปทั้งอย่างนั้น ส่วนฟิโลโซเฟอร์อยากออกไปเดินเที่ยวในยามค่ำคืน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บิดาของเขาบอกว่าคืนพรุ่งนี้ต่างหากที่มีงานใหญ่ สำหรับคืนนี้จึงสมควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เด็กชายจึงเข้าห้องไปด้วยอาการหงุดหงิด เสียงอึกทึกที่ดังผ่านหน้าต่างเข้ามาเรื่อยๆ ช่างยั่วยวนยิ่งนัก เขายังไม่ง่วงแต่ก็ต้องเข้านอนตามคำสั่งเช่นกัน
เจ้าตรู่ของวันถัดมาก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คุณปู่น้อยที่เขาพบโดยบังเอิญในวันก่อนๆ โน้นได้มาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับคนแปลกหน้าอีกสามคน อาเธอร์รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ เขาเชิญแขกเข้าบ้านอย่างเสียไม่ได้ ปู่น้อยตัดพ้อว่าความจริงในงานเทศกาลเช่นนี้ก็คือวันรวมญาติ เขารออยู่ตั้งหลายวันอาเธอร์ก็ไม่ไปหา จนเขาต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง ว่าแล้วคุณปู่น้อยก็สั่งให้คนของเขาเอาอาหารเช้าไปวางบนโต๊ะซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นสูง และแน่นอนว่าฟิโลโซเฟอร์ทานไม่ได้สักอย่าง มื้ออาหารนั้นแม้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแต่สำหรับอาเธอร์แล้วกลับผะอืดผะอมไม่น้อย ก่อนกลับคุณปู่น้อยยังมีน้ำใจชวนพวกเขาไปอยู่ด้วยแต่อาเธอร์ก็ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสุภาพ คาโลไรน์แก้เปียให้บุตรสาวแล้วหวีอย่างเรียบร้อย ผมสีทองยาวสลวยของนางก็หยักเป็นคลื่นเล็กๆ ด้วยชุดสีขาวฟูฟ่องพร้อมด้วยมงกุฎดอกไม้สดบนหัว เด็กหญิงก็งดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ เลยทีเดียว
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วต่างก็ออกจากบ้านเดินทางไปยังถนนใหญ่สายหนึ่ง คาโลไรน์หิ้วตะกร้าใบหนึ่งติดมือไปด้วยในนั้นเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้แห้ง ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายยืนเบียดเสียดเต็มสองข้างทาง ตามพื้นและบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้และกระดาษสีชิ้นเล็กๆ มีกระถางไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นระยะ อาเธอร์อุ้มคาโอเรียขึ้นเพื่อให้นางหย่อนเครื่องหอมลงไปในกระถางไฟได้สะดวก กลิ่นประหลาดพร้อมกับไอสีฟ้าก็ฟุ้งออกมา คาโลไรน์ส่งเครื่องหอมชิ้นหนึ่งให้ฟิโลโซเฟอร์
“ อย่าลืมกล่าวคำอธิฐานด้วยนะ ”
นางเตือน
เด็กชายรับมาและหย่อนมันลงในกระถาง เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นในอากาศ เขามองตามควันสีจัดจ้านที่ลอยสูงขึ้นไป แล้วสายตาของเขาก็พบกับบางสิ่งเหนือหลังคาตึก มีคนแต่งกายด้วยชุดขาวยืนประปรายอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่ถือดาบทองคำ แต่มีร่างหนึ่งที่แปลกออกไปเพราะเขาถือคทาสีเงิน ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาดแต่เมื่อพยายามเพ่งดู เจ้าของร่างนั้นกลับเดินหายเข้าไปในมุมที่ลับตา
“ มีอะไรหรือ ”
บิดาของเขาถาม
“ ข้ารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างบนนั้น ”
“ อ้อ นั้นคือเหล่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองน่ะ เอาล่ะเลิกมองได้แล้วขบวนเสด็จกำลังมา วันนี้คือวันที่ทุกคนจะได้ใกล้ชิดท่านจอมวาลานที่สุด ”
“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองคืออะไรหรือครับ ”
เด็กน้อยยังคงสงสัย
“ เป็นองครักษ์ประจำตัวท่านวาลาน ”
อาเธอร์ตอบสั้นๆ
“ ท่านอาของเราก็เคยอยู่ตำแหน่งนี้ใช่หรือไม่ ”
เด็กชายหมายถึงแอสเธอลาส
น้องชายคนเดียวของอาเธอร์
“ เลิกคุยได้แล้ว ขบวนกำลังมา ระวังตัวหน่อย ”
คาโลไรน์ส่งเสียงดุ
สายตามองไปยังเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังแย่งกันหย่อนเครื่องหอมลงในกระถางไฟ
นางดึงคาโอเรียให้ถอยห่างออกมาพลางบ่นอะไรบางอย่าง
ม้ากลุ่มแรกวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นขบวนแห่ธงทิวสีดำทองซึ่งเป็นสีประจำตัวของวาลาน
ตามมาด้วยทหารกองต่างๆ
ฝูงชนสองข้างทางต่างโห่ร้องต้อนรับ
บางคนก็โปรยสิ่งของที่เตรียมมาในตะกร้าลงไปในถนน
เด็กๆ ทั้งหลายพากันตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ที่เห็นตรงหน้า
ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองทหารม้าตาไม่กระพริบ
คิดว่าสักวันต้องขี่ม้าด้วยตัวเองให้ได้
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโคลมขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
เด็กกลุ่มที่เล่นซนกันอยู่ได้ชนกระถางไฟล้มลง
อาเธอร์รีบคว้าบุตรทั้งสองเข้ามากอดเพื่อให้พ้นจากอันตราย
แต่ก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้นคนผู้หนึ่งก็ทิ้งตัวลงมาจากที่สูง
เขาสวมชุดขาวซ่อนใบหน้าไว้ในหน้ากากสีทอง
ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าประหลาด
มือข้างหนึ่งกำปลายคทากวาดผู้คนที่ล้นเข้าไปในถนนให้กลับมายืนในที่ปรอดภัย
ส่วนมืออีกข้างคว้ากระถางโลหะให้ตั้งขึ้น
เศษไฟที่กระจายเกลื่อนก็ม้วนกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม
เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นและจบลงในชั่วพริบตา
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาคนผู้นั้นมากจึงจะเดินเข้าไปหา
แต่อาเธอร์คว้าคอเขาเอาไว้เสียก่อน
“ คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าไปใกล้ได้ ”
คนเป็นพ่อเตือน
“ แต่เขาคว้ากระถางไฟเข้าไปเต็มๆ เลยนะคงมีบาดเจ็บบ้างล่ะ ”
เด็กชายว่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ อย่าห่วงเลย เรื่องแค่นั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้พิทักษ์หน้ากากทองหรอก ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อท่านจอมวาลานแย่ ”
อาเธอร์บอกแต่ในใจเขากลับรู้สึกผิดปรกติกับคนผู้นี้
ทหารเกราะดำนายหนึ่งควบม้าตรงเข้ามาในมือถือแส้หนามมาด้วย
“ ใครบังอาจขวางขบวนเสด็จของท่านจอมวาลาน แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ”
ชายผู้นั้นตวาดเสียงดัง
ชาวบ้านในบริเวณนั้นต่างกลัวหัวหด
เด็กน้อยบางคนถึงกับร้องให้ในอ้อมกอดของผู้ปกครอง
ผู้พิทักษ์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังขวัญผวา
แล้วหันกลับมามองทหารม้าผู้นั้น
เจ้าของร่างบอบบางผู้สวมหน้ากากสีทองเอียงคอน้อยๆ
“ ในความเห็นของข้าคนที่กำลังขวางทางอยู่เวลานี้มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้น ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทว่าเรียบเย็น
“ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่มีคนก่อการรบกวน ”
“ มันเป็นอุบัติเหตุและทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านอย่าสร้างปัญหาเลยกลับไปเสียเถอะ ”
“ เจ้าอย่าถือดีนักนะ ที่นี่คือโอรีเวีย กฎก็คือกฎ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ”
ผู้พิทักษ์คนนั้นถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า
“ เหมือนท่านอยากท้าดวลกับข้านะ แต่รู้หรือไม่ในสถานการณ์ตอนนี้ข้าสามารถสังหารท่านได้ นอกจากไม่มีความผิดแล้วยังจะได้รับบำเหน็จอีกด้วย ดังนั้นแล้วจงกลับไปประจำที่เสีย ขบวนของท่านป่านนี้ไปถึงไหนแล้ว วันนี้เป็นวันมงคล โปรดอย่าทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากเลย ”
ที่กลางถนนขบวนแตรกำลังเคลื่อนผ่านไป
ตามมาด้วยกลุ่มตรีที่แต่งกายสวยงามราวกับเทพธิดา
ทหารเกราะทองนำขบวนรถม้าที่ตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่ากำลังจะผ่านไป
แต่แล้วรถม้าคันนั้นก็หยุดลงชายผู้หนึ่งก้าวลงมาช้าๆ
เขาสวมชุดคลุมขาวใบหน้าดูอ่อนเยาว์แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความแก่ชรา
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหมอบลงต่อหน้าเขา
ทหารม้าเกราะดำกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อทำความเคารพ
เพราะคนผู้นี้คือวาลานเจ้าเหนือโอรีเวีย
“ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ”
เขาถามผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ มีคนก่อความวุ่นวายขอรับเจ้าเหนือหัวส่วนเขาคนนั้นได้ขัดขวางการทำงานของข้า ”
นายทหารที่หมอบอยู่ชิงรายงานขึ้นก่อน
“ หุบปากเสียเจ้าเศษมนุษย์ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า ”
วาลานตวาดด้วยเสียงทรงอำนาจทำให้ทหารม้าเกราะดำถึงกับกลัวลนลาน
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับผู้เป็นนายสูงสุด
จึงไม่เข้าใจอุปนิสัยที่แท้จริงของเจ้านาย
“ ว่าอย่างไรล่ะ ”
วาลานหันมาถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันลิบลับ
“ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้ท่านแม้แต่จะชำเลืองมอง ”
ผู้พิทักษ์ของเขาตอบ
“ เหลวไหลเรื่องที่เจ้าสนใจมีหรือที่จะไม่สำคัญ ”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูยิ่งนัก
“ ท่านวาลานเสียงระฆังดังขึ้นแล้วกำหนดการณ์ก็ใกล้เข้ามาเต็มที ท่านอย่าเสียเวลาเลย รีบไปเสียเถิดท่านก็รู้ดีเหตุการณ์ปีนี้เป็นอย่างไร อย่าทำให้ประชาชนต้องเสียขวัญเพียงเพราะเหตุไร้สาระอันน้อยนิด ”
“ ก็ได้ๆ แต่ข้าคงต้องตำหนิเจ้าเวลานี้ที่ๆ เจ้าควรอยู่คือตามติดขวามือของข้า เหตุใดจึงมาเถลไถลออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ ”
วาลานว่าพลางโอบไหล่ผู้พิทักษ์ของเขาให้ออกเดินไปด้วยกัน
และทหารม้าเกราะดำก็ถูกเมินไปโดยสิ้นเชิง
“ ผิดแล้วท่าน ข้าจำเป็นต้องอยู่ที่สูง เพื่อคอยอารักขาท่านต่างหากล่ะ ”
ผู้พิทักษ์ชุดขาวคนนั้นมีท่าทีขัดขืน
แต่ท่านวาลานก็ลากเขาขึ้นรถไปบนรถม้าด้วยจนได้
เมื่อขบวนของวาลานผ่านไป
ขบวนของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ตามหลังมาติดๆ
และปิดท้ายด้วยทหารธงแดง
ประชาชนต่างโห่ร้องและโปรยดอกไม้ชุดสุดท้ายขึ้นไปในอากาศ
“ กลับกันเถอะ ”
อาเธอร์ว่า
“ คืนนี้ค่อยออกมาเที่ยวกัน ”
“ เราไม่เข้าไปในปราสาทขาวหรือ คนอื่นๆ เขาก็ไปที่นั่น ”
เด็กชายแย้ง
“ กลับบ้านก่อนเถอะจ๊ะพักผ่อนให้มากๆ แล้วเย็นนี้ค่อยออกมาสนุก ”
คาโลไรน์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ขณะกำลังแหวกผู้คนออกมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังกระซิบกระซาบ
“ ข้าว่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองคนนั้นต้องเป็นพ่อมดแน่เลย ”
“ เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่เคยมีผู้ใช้เวทมนตร์ดำรงตำแหน่งนี้ ”
อีกคนว่า
“ แต่ข้าเห็นกับตาเลยนะว่าเขาใช้เวทมนตร์แล้วเขาก็ยังถือคทาด้วย ”
“ เจ้าไม่รู้อะไร ผู้พิทักษ์ของวาลานมักมีของวิเศษติดตัว แต่เขาไม่มีทางเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้หรอก”
มีอีกเสียงค้านขึ้นมา
“ อันที่จริงแล้ว การขวางขบวนเสด็จนั้นมีโทษร้ายแรงนัก แต่เขากลับทำให้เรื่องจบลงอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถสนทนากับท่านจอมวาลานได้โดยไม่สะทกสะท้าน ข้าว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ”
“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองทุกคนก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ”
อาเธอร์พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ พวกเขาต้องฝึกตนอย่างหนักเพื่อมายืนตรงจุดนี้ ”
ในใจของเขาหวนคิดคำนึงถึงแอสเธอลาสแล้วก็ได้แต่เศร้าโศก
“ เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อมดหรือเปล่า ”
ชายชราที่ยืนอยู่ใกล้เอ่ยถาม
อาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้นแม้จะรู้อยู่เต็มอก
แต่มันเป็นไปได้อย่างไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ