โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
38) คนละฟากฝั่งสะพาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความถนนในบริเวณนั้นเงียบสงบ ใบไม้ผลัดใบปลิวตามแรงลมก่อนจะร่วงลงสู่พื้นอย่างอ่อนแรง บรรยากาศรายรอบดูเงียบเหงาเหมือนกำลังมีการไว้อาลัยต่อการจากไปของบางสิ่งบางอย่าง ชั่วขณะหนึ่งฟิโลโซเฟอร์รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในงานศพ เขาอยากจะหันหลังกลับแต่ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าข้างในมีอะไร
เด็กชายคนนั้นเดินมาจนถึงลำธารเล็กๆ เขามองลงไปจึงพบว่าน้ำนั้นใสสะอาดจนมองเห็นก้อนกรวดที่ก้นคลอง ไม้น้ำหลากหลายชนิดออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมละมุน เหล่าผีเสื้อหลากสีบินกระจายราวกับภาพฝัน มีหงส์ดำและหงส์ขาวคู่หนึ่งกำลังเริงระบำกันในสายน้ำโดยไม่สนใจผู้คน
ฟิโลโซเฟอร์ยิ้มให้กับความงามเหล่านั้น ตรงหน้าของเขาคือสะพานโค้งข้ามลำธาร มันสร้างมาจากหินสีเทาอ่อนๆ เด็กชายมองเลยไปกำลังคิดว่าเขาจำเป็นต้องไปต่อหรือไม่ และแล้วเขาก็เห็น ที่ตรงนั้น อีกฟากของสะพาน ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมดำกำลังเดินผ่านไปช้าๆ เด็กชายผู้พลัดหลงจึงยกมือขึ้นป้องปาก
“ ดารีล ”
เขาตะโกนเสียงดัง
แล้ววิ่งข้ามสะพานไปโดยไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดที่จ้องมองมา
เจ้าของร่างนั้นยังเดินหน้าต่อประหนึ่งว่าไม่ได้ยินเสียงเรียก
“ นี่รอข้าด้วยสิ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางคว้าข้อมือเขาไว้
ร่างนั้นจึงหยุดและหันมา
เด็กชายพบว่าคนผู้นั้นสวมหน้ากากกระเบื้องสีขาวแวววาว
ชุดที่เขาสวมก็เป็นผ้าเนื้อดีสีดำเหมือนทุกครั้ง
ดารีลไม่ได้พกคทาเหล็กมาด้วยแต่เขาถือกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ในมือข้างหนึ่ง
“ เจ้าน่ะ จะตะโกนเสียงดังและวิ่งพล่านไปทั่ว เหมือนลูกแกะหลงฝูงในเมืองโอรีเวียแบบนี้ไม่ได้นะ ”
พ่อมดอายุน้อยกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ ข้ารู้ๆ แต่ข้ากลัวเจ้าจะเดินหนีไปก่อนนี่นา ”
ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงกระเง้ากระงอด
“ เพ้อเจ้อเหตุใดข้าต้องทำแบบนั้นด้วย ”
ว่าแล้วเขาก็ออกเดินต่อโดยมีเด็กชายตามไปติดๆ
“ วันนี้ข้าไม่แต่งตัวปอนๆ ให้เจ้าต้องขายหน้าแล้วนะ ”
คนอายุน้อยกว่าชวนคุย
“ ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะไปคลุกโคลนที่ไหน จนกว่าเจ้าจะก่อเรื่องนั่นแหละ ”
“ เหอะ ข้าไม่ใช่คนพาลเสียหน่อย ”
“ จริงสิข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถาม ”
ดารีลว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ ว่ามา ”
“ ทำไมเจ้ารู้ว่าคือข้าทั้งที่ข้าเองก็สวมหน้ากากอยู่ ”
“ อ้อเรื่องนี้ ถ้าเป็นเจ้าแล้วต่อให้เป็นขี้เถ้าข้าเชื่อว่าข้าจำได้นะ ”
“ ทำไมล่ะ เพราะกลิ่นหรือเปล่า ”
เขาถามย้ำ
“ เจ้าน่ะพิเศษจะตาย คลุมมิดทั้งตัวก็ยังรู้ ถ้าจำไม่ได้สิแปลก ”
“ แล้วกัน หมายความว่าข้าหมดสิทธิ์ปลอมตัวน่ะสิ ”
ดารีลว่า
“ แล้วเจ้าจะปลอมตัวไปเพื่อ ”
ฟิโลโซเฟอร์ทำเสียงสูง
“ ปีนเข้าไปขโมยของบ้านเจ้าอย่างไรล่ะ ”
อีกคนตอบหน้าตาเฉย
“ โธ่ ไม่เห็นต้องลำบากเจ้าอยากได้อะไรก็แค่บอกข้า เดี๋ยวข้าจัดการให้ ”
“ ถ้าเป็นขลุ่ยเลานั้นล่ะ ”
ดารีลทำเสียงท้าทาย
เด็กชายจึงเงียบไปนานด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น
“ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าต้องการมันมากแค่ไหน ถ้าจำเป็นแล้ว ไม่มีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้ ตกลงเจ้าอยากได้จริงๆ หรือ ”
“ ช่างมันเถอะข้าถามไปอย่านั้นแหละ ว่าแต่เจ้าตั้งใจออกมาเดินเที่ยวคนเดียวหรือ ”
“ เปล่า จริงๆ ข้ามากับครอบครัวน่ะแต่ไม่รู้ตอนนี้อยู่ไหน ”
“ แล้วกัน ข้าว่าถ้าข้าเป็นบิดาของเจ้า ก่อนออกจากบ้านคงมีการล่ามโซ่กันบ้างล่ะ ”
“ ว่าไปนั่นข้ายังไม่หลงเสียหน่อย ถึงอย่างไรข้าหาทางกลับบ้านเองได้ ”
เด็กชายโต้
พวกเขาเดินมาด้วยกันจนถึงอนุสาวรีย์รูปมือสีขาว ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกประหลาดใจที่เขาวนกลับมาที่เดิม
ที่ๆ เขาเข้ามาในครั้งแรก ผู้คนจำนวนหนึ่งยังคงอยู่ที่นั่นบางคนยืนสงบนิ่ง ใบหน้ามองตรงไปที่อนุสาวรีย์ด้วยท่าทีสำรวม บางคนก็พาร่างกายที่แก่ชราจนลูกหลานต้องพยุง ด้วยความสงสัยว่าที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างไรเด็กชายจึงเดินตรงเข้าไปใกล้ๆ มีดอกไม้มากมายวางรายรอบรูปปั้นวีรชนผู้ล่วงลับ
“ เรามาทำอะไรตรงนี้ ”
“ ข้ามาทำกิจของข้าส่วนเจ้ามาทำอะไรข้าก็ตอบแทนให้ไม่ได้ ”
ดารีลตอบ
“ ถ้าเทียบกับนอกกำแพงตรงนี้ดูคนน้อยไปเลยนะ ”
เด็กชายพูดต่อ
“ รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะเจ้าจะกลับคำพูดแทบไม่ทัน ”
ดารีลในชุดคลุมยาวสีดำยืนนิ่งด้วยท่าทีอันสงบเยือกเย็น เขาจ้องเหนือยอดอนุสาวรีย์นั้นอย่างตั้งใจในมือข้างหนึ่งยังกำกุหลาบขาวดอกใหญ่ ฟิโลโซเฟอร์มองสำรวจเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยความสงสัย เขารู้สึกว่าคนๆ นี้มีอะไรบางอย่างที่คุ้นๆ ตา โดดเด่นและมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
ชายหัวล้านคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ปากก็พล่ามไปเรื่อยแต่ดูเหมือนน้อยคนนักที่จะสนใจเขา ฟิโลโซแฟอร์สังเกตเห็นว่า มีสายตาหลายคู่แอบจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างหลงใหล โดยเฉพาะสาวๆ เด็กชายตัวน้อยผู้เดินทางมาจากซีนาร์ยกำลังสงสัยว่าพ่อมดคนนี้คงจะยืนอยู่อย่างนี้ไปอีกนาน แต่แล้วดารีลก็เริ่มขยับตัวเดินไปรอบๆ เขาอ่านข้อความที่สลักตามแท่งหินที่วางประดับรอบๆ อนุสาวรีย์อย่างละเอียด กิริยาท่วงท่าที่ก้าวเดินนั้นงามสง่านัก เด็กน้อยจ้องมองดูอย่างงุนงงราวกับต้องมนต์สะกด
ชายหัวล้านจอมโอ้อวดคนนั้นหันไปเห็นดารีลเข้า
เขาหยุดพล่ามแล้วเดินเข้าไปหาพลางพูดว่า
“ ท่านผู้ปราดเปรื่อง หากท่านสงสัยตำนานใดหรือประวัติของผู้กล้าท่านใด ข้าสามารถช่วยท่านได้ ”
ดารีลไม่ตอบหรือแม้แต่จะหันมา
บางทีเขาอาจไม่ได้ยินด้วยซ้ำ
แต่ชายหัวล้านก็ยังไม่เลิกพยายาม
กุหลาบสีขาวร่วงหล่นลงบนรูปปั้นรูปหนึ่ง ฟิโลโซเฟอร์กำลังจะเดินเข้าไปดูว่าวีรบุรุษผู้ได้รับการบูชานามว่าอย่างไร แต่ดารีลก็คว้าแขนของเขาลากออกมาอย่างรวดเร็ว
“ เดี๋ยวสิคนนั้นใคร ”
เด็กชายท้วง
“ คนไหนล่ะ เจ้าต้องระบุด้วย ผู้คนในนี้มีไม่น้อย ถามมาแบบนี้ข้าคงตอบลำบาก ”
ดารีลว่าพลางเดินพลางจนพวกเขาพ้นจากสายตาผู้คนเข้าไปในป่าละเมาะ โดยไม่สนใจเสียงของชายหัวล้านที่ตะโกนตามหลัง ฟิโลโซเฟอร์หันกลับไปมอง
“ อย่าสนใจเลยเขามาที่นี่ทุกปีล่ะ ถ้าเผลอไปคุยด้วยเจ้าคงไม่ได้ไปไหน ”
“ ดังนั้นเจ้าจึงหนี ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าเหมือนรู้ทัน
“ ก็ไม่เชิง เพราะถ้าข้าจะไปผู้ใดจะหยุดข้าได้ ”
“ ก็จริง ”
เด็กชายเห็นด้วย
เขาเดินตามหลังดารีลอย่างระมัดระวัง
ต้นไม้ในป่านี้ดูแปลกตา
เพราะรากไม้มากมายเลื้อยขึ้นมาเกะกะเหนือพื้นดิน
“ ข้าถามเจ้าหน่อย เหตุใดจึงมาเดินตามข้าแบบนี้ ”
ดารีลพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ ก็ไม่มีอะไร ถ้าเจ้าไม่ชอบข้าไปก็ได้ ว่าแต่ทำไมทางของเจ้ามันรกอย่างนี้ ”
เด็กชายว่าพลางบ่นอุบอิบ
“ มันเป็นทางลัดคนทั่วไปเขาไม่ใช้กัน แต่การที่เจ้าตามข้ามาย่อมมีเหตุผลสิ ”
“ ก็ได้ๆ จริงๆ ข้าติดคำขอบคุณเจ้าอยู่น่ะ ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันจนถึงวันนี้ ข้ายังไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร ”
ดารีลหันมามองเขาชั่วแวบแล้วหันกลับไป
“ ลืมมันไปซะเถอะ ”
“ ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เจ้าเองก็คงมีเรื่องที่ลืมไม่ลงเหมือนกันใช่ไหม ”
คำพูดนั้นทำให้พ่อมดวัยเยาว์หยุดนิ่ง
“ พ่อข้าสอนเอาไว้ เราต้องระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่คนอื่นมอบให้อยู่เสมอ ”
“ อะไรคือดีงาม อะไรคือความชั่วร้าย สิ่งที่ข้าทำอาจสร้างความซาบซึ้งใจให้พวกเจ้า แต่สักวันหนึ่งพวกเจ้าอาจไม่คิดเช่นนั้น ความถูกต้องดีงามขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลา เปลี่ยนแปลงไปตามสถานที่และเวลาเช่นกัน ”
เด็กชายฟังแล้วก็งุนงง
พวกนักเวทนี่พูดเข้าใจยากกันทุกคนหรือเปล่านะ
“ ว่าแต่เจ้าย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ใช่ไหมหรือว่าแค่ทางผ่าน ”
“ ถูกแล้ว บ้านข้าอยู่บนถนนวิเวียร่า พวกเราตั้งใจจะอยู่ที่นี่สักพักจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ”
“ ก็ดี แต่อนาคตคงไม่เป็นอย่างที่เจ้านึก ทุกอย่างสามารถแปลผันได้ตลอดเวลา ”
“ หมายความว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าสภาพ่อมดไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างนั้นหรือ ”
“ อย่าปากเสียในโอรีเวีย ข้าแค่พูดในส่วนของข้า ”
ดารีลทำเสียงเข้ม
“ ข้ารู้น่า พ่อของข้าเตือนแล้ว ”
“ อ้อจริงสิข้าเตรียมนี่ให้เจ้า ”
ดารีลว่าพลางหยิบห่อกระดาษเล็กๆ ออกมาแกะเอาของด้านใน
เด็กชายยิ้มกริ่มเพราะคิดว่าจะได้ของฝาก
แต่นักเวทน้อยกลับยัดของบางอย่างเข้าไปในปากของเขา
มันมีรสเปรี้ยวจัดจนน่าเหลือเชื่อ
“ นี่มันอะไรกัน ”
เด็กชายส่งเสียงอู้อี้
“ เวลามีของในปากต้องกลืนเสียก่อนแล้วค่อยพูด เรื่องแค่นี้ต้องให้สอนด้วยหรือ ”
ดารีลเตือน
เด็กชายจึงกลืนสิ่งนั้นลงไปอย่างว่าง่าย
“ แล้วตกลงมันคืออะไร ”
“ แอบพริคอตอบแห้ง ข้ากำลังคิดว่าเจ้าคงจะแพ้เครื่องเทศบางอย่าง ”
“ คงจริง เพราะกินทีไรก็แสบร้อนทุรนทุราย ”
ทันใดพวกเขาก็ก้าวผ่านป่าละเมาะออกมาสู่ถนนภายนอก
กำแพงสีขาวและประตูปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ แน่ใจว่ากลับบ้านเองได้ ”
ดารีลถามย้ำ
“ ข้าไม่พลาดเรื่องเดิมซ้ำสองหรอกน่า ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
“ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็แยกกันตรงนี้ ”
“ เดี๋ยวสิ พรุ่งนี้เจ้าจะมาอีกหรือเปล่า ”
เจ้าของร่างสูงยืนนิ่งไปชั่วครู่
“ พรุ่งนี้มีขบวนแห่ของวาลานและข้าก็มีงานยุ่งทั้งวันทั้งคืน ”
เขาตอบ
“ ว้าแย่จัง ”
เด็กชายมีท่าทีเสียดายอย่างเห็นได้ชัด
“ เลิกคิดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว ดูเวลาหน่อย กลับบ้านไปเสีย ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ