โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.55K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

39) ผู้พิทักษ์หน้ากากทอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฟิโลโซเฟอร์กลับถึงบ้านในยามบ่ายแก่ๆ พบว่าคนอื่นๆ นั่งรอเขาที่ประตูหน้าบ้านด้วยอาการกระวนกระวาย   โดยเฉพาะคาโลไรน์นางถึงกับนั่งไม่ติดได้แต่เดินวกไปวนมา   เมื่อเห็นบุตรชายปรากฏตัวขึ้นนางจึงมีท่าทีผ่อนคลายลง

 

“ หายไปไหนมาน่ะพ่อกับแม่เป็นห่วงเราแทบแย่ ”

 

คาโลไรน์เอ่ยตำหนิ

 

“ ข้าบอกแล้วไงว่าเขาดูแลตัวเองได้ ”

 

อาเธอร์บอก

 

“ ใช่น่ะสิ   ก็เขากลับมาแล้วนี่   แต่ถ้าเกิดลูกไม่ได้กลับมาล่ะเกิดมีใครจับตัวเขาไปล่ะ ”

 

นางเสียงแข็ง

 

“ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนได้ไหมตอนนี้ข้าหิวแล้ว ”

 

เด็กชายว่าพลางลูบคลำท้อง

 

“ ถ้าท้องไม่ร้องคงไม่กลับมาสินะ ”

 

คาโอเรียได้ทีพูดสอดขึ้น

 

“ เอาล่ะเด็กดีทั้งสอง   อย่าทะเลาะกันเลย   เข้าบ้านกันเถิดข้าจะหาของอร่อยให้ทาน ”

ว่าแล้วนางก็จูงมือบุตรทั้งสองเดินเข้าบ้าน

 

 

            ในระหว่างมืออาหาร  

พวกเขาต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

สุดท้ายก็มาจบที่เรื่องของดารีลจนได้

 

“ จะว่าไปเขาดูมีเสน่ห์ประหลาดๆ อย่างไรไม่รู้   ดูไม่น่าจะใช่คนธรรมดา   ข้าว่าบางทีเขาอาจมีสายเลือดของพวกนิมฟ์อยู่ในตัวก็ได้ ”

 

อาเธอร์ให้ความเห็น

 

“ ตามตำนานนิมฟ์ไม่มีผู้ชาย ”

 

คาโลไรน์แย้ง

 

“ ใช่   ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน   แต่ทั้งหมดคือเขาเล่าว่าทั้งนั้นซึ่งความจริงอาจไม่ใช่อย่างที่คิดกันก็ได้   แล้วมันจะแปลกตรงไหนหากเขาเป็นทายาทของพวกนิมฟ์จริง ”

 

“ท่านพ่อเล่าเรื่องของนิมฟ์ให้ข้าฟังบ้างสิ ”

 

คาโอเรียว่า

 

“ เจ้าคงไม่อยากฟังเรื่องสยองก่อนนอนหรอกนะ ”

 

มารดาของนางขัดขึ้น

 

“ ทำไมล่ะพวกนางเป็นผีหรือ ”

 

เด็กหญิงยังสงสัย

 

“ จริงๆ แล้วเป็นแค่สาวชาวป่าน่ะ ”

 

อาเธอร์แก้

 

“ เพียงแต่เรื่องเล่าของพวกนางเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับความตายและกลิ่นคาวเลือด ”

 

คาโลไรน์ต่อให้

 

           

            คืนนั้นเด็กทั้งสองถูกบังคับอาบน้ำล้างตัวจนสะอาด   คาโลไรน์โรยใบเสจแห้งลงในอ่างน้ำอุ่นด้วย   ทำให้พวกเขามีกลิ่นกายหอมละมุน   หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยแล้วคาโอเรียก็โดนจับเปียผมเป็นช่อเล็กๆ เต็มศีรษะและเข้านอนไปทั้งอย่างนั้น   ส่วนฟิโลโซเฟอร์อยากออกไปเดินเที่ยวในยามค่ำคืน   แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด   บิดาของเขาบอกว่าคืนพรุ่งนี้ต่างหากที่มีงานใหญ่   สำหรับคืนนี้จึงสมควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่   เด็กชายจึงเข้าห้องไปด้วยอาการหงุดหงิด   เสียงอึกทึกที่ดังผ่านหน้าต่างเข้ามาเรื่อยๆ ช่างยั่วยวนยิ่งนัก   เขายังไม่ง่วงแต่ก็ต้องเข้านอนตามคำสั่งเช่นกัน

 

เจ้าตรู่ของวันถัดมาก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น   คุณปู่น้อยที่เขาพบโดยบังเอิญในวันก่อนๆ โน้นได้มาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับคนแปลกหน้าอีกสามคน   อาเธอร์รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้   เขาเชิญแขกเข้าบ้านอย่างเสียไม่ได้   ปู่น้อยตัดพ้อว่าความจริงในงานเทศกาลเช่นนี้ก็คือวันรวมญาติ   เขารออยู่ตั้งหลายวันอาเธอร์ก็ไม่ไปหา   จนเขาต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง   ว่าแล้วคุณปู่น้อยก็สั่งให้คนของเขาเอาอาหารเช้าไปวางบนโต๊ะซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นสูง   และแน่นอนว่าฟิโลโซเฟอร์ทานไม่ได้สักอย่าง   มื้ออาหารนั้นแม้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแต่สำหรับอาเธอร์แล้วกลับผะอืดผะอมไม่น้อย   ก่อนกลับคุณปู่น้อยยังมีน้ำใจชวนพวกเขาไปอยู่ด้วยแต่อาเธอร์ก็ได้ปฏิเสธอย่างสุภาพ

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสุภาพ   คาโลไรน์แก้เปียให้บุตรสาวแล้วหวีอย่างเรียบร้อย   ผมสีทองยาวสลวยของนางก็หยักเป็นคลื่นเล็กๆ  ด้วยชุดสีขาวฟูฟ่องพร้อมด้วยมงกุฎดอกไม้สดบนหัว   เด็กหญิงก็งดงามราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ เลยทีเดียว

 

เมื่อทุกคนพร้อมแล้วต่างก็ออกจากบ้านเดินทางไปยังถนนใหญ่สายหนึ่ง   คาโลไรน์หิ้วตะกร้าใบหนึ่งติดมือไปด้วยในนั้นเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้แห้ง   ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายยืนเบียดเสียดเต็มสองข้างทาง   ตามพื้นและบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้และกระดาษสีชิ้นเล็กๆ    มีกระถางไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่เป็นระยะ   อาเธอร์อุ้มคาโอเรียขึ้นเพื่อให้นางหย่อนเครื่องหอมลงไปในกระถางไฟได้สะดวก   กลิ่นประหลาดพร้อมกับไอสีฟ้าก็ฟุ้งออกมา   คาโลไรน์ส่งเครื่องหอมชิ้นหนึ่งให้ฟิโลโซเฟอร์

 

“ อย่าลืมกล่าวคำอธิฐานด้วยนะ ” 

 

นางเตือน

 

เด็กชายรับมาและหย่อนมันลงในกระถาง   เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นในอากาศ   เขามองตามควันสีจัดจ้านที่ลอยสูงขึ้นไป   แล้วสายตาของเขาก็พบกับบางสิ่งเหนือหลังคาตึก   มีคนแต่งกายด้วยชุดขาวยืนประปรายอยู่บนนั้น   พวกเขาล้วนแต่ถือดาบทองคำ   แต่มีร่างหนึ่งที่แปลกออกไปเพราะเขาถือคทาสีเงิน   ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาดแต่เมื่อพยายามเพ่งดู   เจ้าของร่างนั้นกลับเดินหายเข้าไปในมุมที่ลับตา

 

“ มีอะไรหรือ ” 

 

บิดาของเขาถาม

 

“ ข้ารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างบนนั้น ” 

 

“ อ้อ   นั้นคือเหล่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองน่ะ   เอาล่ะเลิกมองได้แล้วขบวนเสด็จกำลังมา   วันนี้คือวันที่ทุกคนจะได้ใกล้ชิดท่านจอมวาลานที่สุด ”

 

“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองคืออะไรหรือครับ ” 

 

เด็กน้อยยังคงสงสัย

 

“ เป็นองครักษ์ประจำตัวท่านวาลาน ”

 

อาเธอร์ตอบสั้นๆ

 

“ ท่านอาของเราก็เคยอยู่ตำแหน่งนี้ใช่หรือไม่ ”

 

เด็กชายหมายถึงแอสเธอลาส

น้องชายคนเดียวของอาเธอร์

 

“ เลิกคุยได้แล้ว   ขบวนกำลังมา   ระวังตัวหน่อย ”

 

คาโลไรน์ส่งเสียงดุ

สายตามองไปยังเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังแย่งกันหย่อนเครื่องหอมลงในกระถางไฟ

นางดึงคาโอเรียให้ถอยห่างออกมาพลางบ่นอะไรบางอย่าง

 

ม้ากลุ่มแรกวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มันเป็นขบวนแห่ธงทิวสีดำทองซึ่งเป็นสีประจำตัวของวาลาน

ตามมาด้วยทหารกองต่างๆ

 

ฝูงชนสองข้างทางต่างโห่ร้องต้อนรับ

บางคนก็โปรยสิ่งของที่เตรียมมาในตะกร้าลงไปในถนน

 

เด็กๆ ทั้งหลายพากันตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่ที่เห็นตรงหน้า

ฟิโลโซเฟอร์ยืนมองทหารม้าตาไม่กระพริบ

คิดว่าสักวันต้องขี่ม้าด้วยตัวเองให้ได้

 

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงโคลมขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก

เด็กกลุ่มที่เล่นซนกันอยู่ได้ชนกระถางไฟล้มลง

อาเธอร์รีบคว้าบุตรทั้งสองเข้ามากอดเพื่อให้พ้นจากอันตราย

แต่ก่อนที่ความโกลาหลจะเกิดขึ้นคนผู้หนึ่งก็ทิ้งตัวลงมาจากที่สูง

เขาสวมชุดขาวซ่อนใบหน้าไว้ในหน้ากากสีทอง

ด้วยความรวดเร็วอย่างน่าประหลาด

มือข้างหนึ่งกำปลายคทากวาดผู้คนที่ล้นเข้าไปในถนนให้กลับมายืนในที่ปรอดภัย

ส่วนมืออีกข้างคว้ากระถางโลหะให้ตั้งขึ้น

เศษไฟที่กระจายเกลื่อนก็ม้วนกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม

เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นและจบลงในชั่วพริบตา

 

ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกคุ้นตาคนผู้นั้นมากจึงจะเดินเข้าไปหา

แต่อาเธอร์คว้าคอเขาเอาไว้เสียก่อน

 

“ คนพวกนั้นไม่ใช่คนที่ชาวบ้านธรรมดาจะเข้าไปใกล้ได้ ”

 

คนเป็นพ่อเตือน

 

“ แต่เขาคว้ากระถางไฟเข้าไปเต็มๆ เลยนะคงมีบาดเจ็บบ้างล่ะ ”

 

เด็กชายว่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

 

“ อย่าห่วงเลย   เรื่องแค่นั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้พิทักษ์หน้ากากทองหรอก   ไม่อย่างนั้นก็เสียชื่อท่านจอมวาลานแย่ ”

 

อาเธอร์บอกแต่ในใจเขากลับรู้สึกผิดปรกติกับคนผู้นี้

 

ทหารเกราะดำนายหนึ่งควบม้าตรงเข้ามาในมือถือแส้หนามมาด้วย

 

“ ใครบังอาจขวางขบวนเสด็จของท่านจอมวาลาน   แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ”

 

ชายผู้นั้นตวาดเสียงดัง

 

ชาวบ้านในบริเวณนั้นต่างกลัวหัวหด

เด็กน้อยบางคนถึงกับร้องให้ในอ้อมกอดของผู้ปกครอง

 

ผู้พิทักษ์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังขวัญผวา

แล้วหันกลับมามองทหารม้าผู้นั้น

เจ้าของร่างบอบบางผู้สวมหน้ากากสีทองเอียงคอน้อยๆ

 

“ ในความเห็นของข้าคนที่กำลังขวางทางอยู่เวลานี้มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้น ”

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ทว่าเรียบเย็น

 

“ พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร   ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่มีคนก่อการรบกวน ”

 

“ มันเป็นอุบัติเหตุและทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว   ท่านอย่าสร้างปัญหาเลยกลับไปเสียเถอะ ”

 

“ เจ้าอย่าถือดีนักนะ   ที่นี่คือโอรีเวีย   กฎก็คือกฎ   เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ”

 

ผู้พิทักษ์คนนั้นถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า

 

“ เหมือนท่านอยากท้าดวลกับข้านะ   แต่รู้หรือไม่ในสถานการณ์ตอนนี้ข้าสามารถสังหารท่านได้   นอกจากไม่มีความผิดแล้วยังจะได้รับบำเหน็จอีกด้วย   ดังนั้นแล้วจงกลับไปประจำที่เสีย   ขบวนของท่านป่านนี้ไปถึงไหนแล้ว   วันนี้เป็นวันมงคล   โปรดอย่าทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยากเลย ”

 

ที่กลางถนนขบวนแตรกำลังเคลื่อนผ่านไป

ตามมาด้วยกลุ่มตรีที่แต่งกายสวยงามราวกับเทพธิดา

ทหารเกราะทองนำขบวนรถม้าที่ตกแต่งด้วยอัญมณีล้ำค่ากำลังจะผ่านไป

แต่แล้วรถม้าคันนั้นก็หยุดลงชายผู้หนึ่งก้าวลงมาช้าๆ

เขาสวมชุดคลุมขาวใบหน้าดูอ่อนเยาว์แต่กลับให้ความรู้สึกถึงความแก่ชรา

 

ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหมอบลงต่อหน้าเขา

ทหารม้าเกราะดำกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อทำความเคารพ

เพราะคนผู้นี้คือวาลานเจ้าเหนือโอรีเวีย

 

“ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ”

 

เขาถามผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 

“ มีคนก่อความวุ่นวายขอรับเจ้าเหนือหัวส่วนเขาคนนั้นได้ขัดขวางการทำงานของข้า ”

 

นายทหารที่หมอบอยู่ชิงรายงานขึ้นก่อน

 

“ หุบปากเสียเจ้าเศษมนุษย์ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า ”

 

วาลานตวาดด้วยเสียงทรงอำนาจทำให้ทหารม้าเกราะดำถึงกับกลัวลนลาน

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุยกับผู้เป็นนายสูงสุด

จึงไม่เข้าใจอุปนิสัยที่แท้จริงของเจ้านาย

 

“ ว่าอย่างไรล่ะ ”

 

วาลานหันมาถามอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันลิบลับ

 

“ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้ท่านแม้แต่จะชำเลืองมอง ”

 

ผู้พิทักษ์ของเขาตอบ

 

“ เหลวไหลเรื่องที่เจ้าสนใจมีหรือที่จะไม่สำคัญ ”

 

เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูยิ่งนัก

 

“ ท่านวาลานเสียงระฆังดังขึ้นแล้วกำหนดการณ์ก็ใกล้เข้ามาเต็มที   ท่านอย่าเสียเวลาเลย   รีบไปเสียเถิดท่านก็รู้ดีเหตุการณ์ปีนี้เป็นอย่างไร   อย่าทำให้ประชาชนต้องเสียขวัญเพียงเพราะเหตุไร้สาระอันน้อยนิด ”

 

“ ก็ได้ๆ แต่ข้าคงต้องตำหนิเจ้าเวลานี้ที่ๆ เจ้าควรอยู่คือตามติดขวามือของข้า   เหตุใดจึงมาเถลไถลออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ ”

 

วาลานว่าพลางโอบไหล่ผู้พิทักษ์ของเขาให้ออกเดินไปด้วยกัน

และทหารม้าเกราะดำก็ถูกเมินไปโดยสิ้นเชิง

 

“ ผิดแล้วท่าน   ข้าจำเป็นต้องอยู่ที่สูง   เพื่อคอยอารักขาท่านต่างหากล่ะ ”

 

ผู้พิทักษ์ชุดขาวคนนั้นมีท่าทีขัดขืน

แต่ท่านวาลานก็ลากเขาขึ้นรถไปบนรถม้าด้วยจนได้

เมื่อขบวนของวาลานผ่านไป

ขบวนของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ตามหลังมาติดๆ

และปิดท้ายด้วยทหารธงแดง

 

ประชาชนต่างโห่ร้องและโปรยดอกไม้ชุดสุดท้ายขึ้นไปในอากาศ

 

“ กลับกันเถอะ ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ คืนนี้ค่อยออกมาเที่ยวกัน ”

 

“ เราไม่เข้าไปในปราสาทขาวหรือ   คนอื่นๆ เขาก็ไปที่นั่น ”

 

เด็กชายแย้ง

 

“ กลับบ้านก่อนเถอะจ๊ะพักผ่อนให้มากๆ แล้วเย็นนี้ค่อยออกมาสนุก ”

 

คาโลไรน์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

ขณะกำลังแหวกผู้คนออกมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังกระซิบกระซาบ

 

“ ข้าว่าผู้พิทักษ์หน้ากากทองคนนั้นต้องเป็นพ่อมดแน่เลย ”

 

“ เป็นไปไม่ได้หรอก   ไม่เคยมีผู้ใช้เวทมนตร์ดำรงตำแหน่งนี้ ”

 

อีกคนว่า

 

“ แต่ข้าเห็นกับตาเลยนะว่าเขาใช้เวทมนตร์แล้วเขาก็ยังถือคทาด้วย ”

 

“ เจ้าไม่รู้อะไร   ผู้พิทักษ์ของวาลานมักมีของวิเศษติดตัว   แต่เขาไม่มีทางเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ได้หรอก”

 

มีอีกเสียงค้านขึ้นมา

 

“ อันที่จริงแล้ว   การขวางขบวนเสด็จนั้นมีโทษร้ายแรงนัก   แต่เขากลับทำให้เรื่องจบลงอย่างง่ายดาย   อีกทั้งยังสามารถสนทนากับท่านจอมวาลานได้โดยไม่สะทกสะท้าน   ข้าว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ”

 

“ ผู้พิทักษ์หน้ากากทองทุกคนก็ไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว ”

 

อาเธอร์พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

“ พวกเขาต้องฝึกตนอย่างหนักเพื่อมายืนตรงจุดนี้ ”

 

ในใจของเขาหวนคิดคำนึงถึงแอสเธอลาสแล้วก็ได้แต่เศร้าโศก

 

“ เจ้าคิดว่าคนผู้นั้นเป็นพ่อมดหรือเปล่า ”

 

ชายชราที่ยืนอยู่ใกล้เอ่ยถาม

อาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้นแม้จะรู้อยู่เต็มอก

แต่มันเป็นไปได้อย่างไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา