โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) งานเทศกาลประจำปี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์นอนอยู่ในห้องใต้หลังคา กลางดึกคืนนั้นเขาได้ยินเลียงลมพัดหวีดหวิวผ่านหน้าต่าง นั่นอาจเป็นเพราะฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว เด็กชายตวัดผ้าห่มขึ้นคลุมร่างแต่ก็ยังให้ความอบอุ่นได้ไม่เพียงพอ จนต้องม้วนที่นอนรอบตัวเป็นดักแด้อีกทีหนึ่ง ในตอนเช้าของวันถัดมาเขาพบว่าที่กระจกหน้าต่างมีฝ้าขาวๆ เกาะอยู่เต็ม นั่นเป็นสัญญาณว่าจะมีหิมะตกลงมาในอีกไม่ช้า ถ้าหากฤดูกาลของที่นี่ไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองซีนาร์ย
สองสามวันมานี้มีเสียงอึกทึกดังอยู่ตลอด แต่เด็กชายชาวซีนาร์ยคนนี้ก็ไม่ได้ออกไปสำรวจว่าข้างนอกเขาทำอะไรกัน วันทั้งวันมีงานมากมายรออยู่รวมทั้งต้องอ่านหนังสือด้วย คาโลไรน์ต้องการความแน่ใจว่าบุตรทั้งสองจะสามารถเรียนตามแบบแผนของโอรีเวีย ส่วนคาโอเรียก็ทำหน้ามุ่ยได้ทั้งวัน นางรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้านครั้นจะไปข้างนอกก็อึดอัดกับผู้คนมากมาย
ฟิโลโซเฟอร์เดินตัวห่อลงมายังชั้นล่าง อากาศวันนี้หนาวเย็นมาก เขาตรงดิ่งไปที่อ่างล้างหน้าที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง จัดการกวักน้ำขึ้นล้างหน้าด้วยอาการสั่นสะท้าน น้ำเย็นๆ ทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว แก้มสองข้างกลายเป็นสีชมพูเข้มทันที เด็กชายมองน้ำในอ่างทองเหลืองแล้วคิดว่าสักวันคงได้กลายเป็นน้ำแข็ง
“ ไปนั่งที่โต๊ะสิ วันนี้แม่เลื่อนโต๊ะทานอาหารไปไว้ใกล้เตาในครัว พวกเราจะได้อุ่นขึ้นหน่อย อีกไม่นานคงต้องใช้เตาผิงกันละ ”
ฟิโลโซเฟอร์ก็ปราดเข้าไปนั่งอย่างว่าง่าย คาโอเรียยืนทำตาลอยอยู่ข้างมารดา โดยไม่มีทีท่าว่าจะช่วยงานในครัวแต่อย่างใด กลิ่นขนมปังหอมฉุยลอยมาจากเตา ส่วนหม้อใหญ่ที่ใช้อุ่นนมก็กำลังเดือดปุดๆ เมื่อคาโลไรน์เติมใบโรสแมรี่สดลงไปมันก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว เสียงประทัดและเสียงโห่เกรียวกราวดังมาจากด้านนอก เรียกความสนใจของเด็กๆ ให้หันไปมอง
“ เทศการต้อนรับฤดูหนาว ข้าลืมเสียสะนิด มีใครสนใจจะออกไปเที่ยวนอกบ้านบ้าง ”
อาเธอร์ถาม
เขาเพิ่งกลับมาจากคอกม้า
ชายหนุ่มดูอารมณ์ดีขึ้นมากเมื่อได้ม้าสองตัวกลับคืนมา
และในใจก็นึกขอบคุณท่านชาโคลอยู่ตลอด
“ อากาศหนาวเย็นอย่างนี้หรือคะ จะออกไปข้างนอก เด็กๆ คงได้ป่วยกันพอดี ”
คาโลไรน์ไม่เห็นด้วย
“ มันไม่ร้ายแรงอย่างนั้นหรอก นี่เจ้าจะได้ลูกๆ อุดอู้อยู่บ้านในวันดีๆ อย่างนี้หรือ ในฐานะที่เราเป็นชาวโอรีเวียคนหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นอยู่ในงานรื่นเริงแต่พวกเรากลับทำตัวเหมือนไว้ทุกข์ ข้างนอกน่ะมีคนพลุกพล่านข้าว่าดูอบอุ่นกว่าในนี้เป็นไหนๆ ตอนข้าเป็นเด็กๆ จำได้ว่าเทศการนี้สนุกที่สุด ”
อาเธอร์ว่า
“ แล้วตอนโตเป็นผู้ใหญ่ เทศการนี้ไม่สนุกแล้วหรือ ”
บุตรชายของเขาถาม
“ พออายุมากขึ้นความรับผิดชอบมีมากขึ้น บางทีก็ลืมเลือนบางสิ่งบางอย่างไป เหมือนกับของที่เราคิดว่าสำคัญแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับไม่สำคัญแล้ว ”
คนเป็นพ่อตอบ
“ แล้วเทศการต้อนรับฤดูหนาวนี่คืออะไรหรือคะ ”
คาโอเรียสงสัย
ถ้าอยู่ที่ซีนาร์ยมันเป็นช่วงเวลาที่ชาวไร่ชาวนาจะเลี้ยงฉลอง แต่เป็นการฉลองกันเองในครอบครัว หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตอันแสนเหน็ดเหนื่อยจบลง ชาวเมืองจะทำอาหารอย่างดีเลี้ยงกัน หรือบางทีอาจเชิญเพื่อนบ้านมาเป็นแขก พวกเขาจะดื่มกินกันทั้งวันทั้งคืน พูดคุยกันไม่หยุดหย่อนเดินจับกลุ่มเวียนไปบ้านโน้นที
แต่สำหรับโอรีเวีย เมืองนี้ไม่ได้ทำการเกษตร เด็กหญิงนึกไม่ออกว่าจะฉลองเทศกาลกันด้วยเรื่องอะไร
“ ช่วงเวลานี้ของทุกปี ”
อาเธอร์เล่า
“ ตัวแทนผู้คนจากเมืองต่างๆ จะเดินทางมาที่นี่ พร้อมทั้งส่วนแบ่งของผลผลิตในปีนั้นๆ เพื่อมอบให้แด่เจ้าแห่งโอรีเวีย ”
“ อ้อ เหมือนที่บางเมืองต้องส่งเครื่องบรรณาการ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
อาเธอร์ดีดหน้าผากเข้าให้
“ อย่าพูดแบบนั้นมันไม่ใช่ซะหน่อย และข้าคงต้องเตือนเจ้าอยู่โอรีเวียควรระวังคำพูดด้วย ”
“ แล้วมันต่างจากเครื่องบรรณาการอย่างไรเล่า ”
เด็กชายทำเสียงอู้อี้พลางลูบคลำหน้าผาก
“ บรรณาการนั้นส่งไปเพื่อแสดงความสวามิภักดิ์ หากปีใดไม่ส่งก็คือกระด้างกระเดื่องและปีนั้นอาจมีภัย แต่สิ่งที่ส่งมายังโอรีเวียนั้นคือผลผลิตจากความเต็มใจ และเมืองนั้นก็จะได้รับพรจากผู้ใช้เวทมนตร์ให้ผลผลิตในปีถัดไปอุดมสมบูรณ์ หากเมืองใดไม่สงผลผลิตมาก็ไม่เป็นไร แค่ปีนั้นจะไม่ได้รับพรก็เท่านั้นเอง ”
“ เมืองซีนาร์ยเคยส่งผลผลิตมาที่นี่หรือไม่ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
“ เหมือนจะไม่เคยก็เมืองของเราอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น ตำนานเก่าแก่บอกว่าซีนาร์ยได้รับพรมาตั้งแต่โบราณ และมนต์นั้นไม่เคยเสื่อมไป ”
อาเธอร์ตอบ
“ ท่านพ่อข้ามีอีกเรื่องอยากจะถาม ”
“ ว่ามาสิ ”
“ ท่านเคยเห็นคนที่มีดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ผมสีเหมือนพระจันทร์หรือไม่ พวกเขาดูแปลกมากราวกับไม่ใช่มนุษย์ ”
“ อ้อ นั่นเป็นลักษณะเฉพาะของชาวไอโอเนีย เจ้าคงไม่ได้ทักว่าพวกเขาเหมือนตัวประหลาดนะ ”
อาเธอร์ว่า
“ เปล่าหรอกท่านพ่อ อันที่จริงข้าอยากจะบอกว่า พวกนางงดงามราวกับนางฟ้าต่างหากล่ะ ”
“ รู้สึกว่าลูกชายของเราจะโตเป็นหนุ่มแล้ว ”
คาโลไรน์ล้อ
ทั้งหมดจึงออกจากบ้านในเวลาต่อมา สายลมพัดผ่านตัวตึกส่งเสียงครวญเบาๆ แม้ท้องฟ้าอากาศดูอึมครึม แต่ก็ไม่มีหิมะตกลงมาอย่างที่คาดการเอาไว้ ในยามนี้แม้เป็นเวลาสายมากแล้วอากาศก็ยังหนาวเย็นมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสวมเสื้อคลุมสีเข้มตัวหนา คาโอเรียเกาะแขนมารดาแน่นขณะเดินเบียดไปกับผู้คน กระต่ายลูผู้น่าสงสารถูกขังไว้ในบ้านเพียงลำพัง มันเสี่ยงเกินไปที่จะพามันออกมาด้วย
บนท้องถนนคราคล่ำไปด้วยผู้คน กระดาษสีเงินปลิวฟุ้งอยู่ในอากาศใครบางคนคงโปรยมันลงมาจากหอสูงในที่ใดที่หนึ่ง เทศการนี้จัดขึ้นทุกปีและแต่ละปีก็มีนักท่องเที่ยวจากต่างเมืองเดินทางมาเป็นจำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีคนมากเป็นพิเศษ นั่นอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น ท้องถนนที่เคยดูกว้างขวางกลับดูแคบลง สองข้างทางเต็มไปด้วยพ่อค้าเร่ที่นำของมาวางขายไปตลอดความยาวของถนน ตามลานกว้างและสวนหย่อมใช้เป็นลานแสดงต่างๆ มากมาย
ครอบครัวของอาเธอร์ค่อยๆ เดินฝ่าฝูงชนไปอย่างระมัดระวัง เสียงกลองดังกระหึ่มมาจากทุกทิศทาง ฟิโลโซเฟอร์เดินเบียดผู้คนตามท้องถนน เขาคิดว่าได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาแว่วๆ บางทีด้านหน้าอาจมีเวทีประลอง หญิงชราในชุดสีม่วงเข้มเหลือบมองมาเมื่อเขาเดินผ่าน
พวกเขาเดินชมเมืองไปตามท้องถนนที่คับคั่งนานจนลืมเวลา เด็กชายตัวน้อยผู้เดินทางจากชนบทห่างไกล รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเมืองที่โอ่อ่าแห่งนี้รู้สึกตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่ถนนสายหนึ่ง เบื้องหน้าคือกำแพงสีขาว ถนนที่ทอดผ่านประตูบานใหญ่ก็เป็นสีขาว
“ กำแพงเมือง มีเมืองซ้อนอยู่ในเมืองอีกทีอย่างนั้นหรือ ”
เด็กชายหันมาถามผู้เป็นบิดา
“ ที่นี่คือปราสาทขาว ที่อยู่ของเหล่านักเวทย์ และมีโรงเรียนอยู่ในด้วย ”
“ หมายความว่าพวกเราต้องเข้าไปเรียนหนังสือข้างในนั้น ”
คาโอเรียว่าพลางทำตาโต
“ ถูก พ่อเองก็เคยเรียนที่นั่นด้วยเช่นกัน ”
“ ยอดไปเลย ตอนนี้ข้างในมีอะไรพวกเราเข้าไปได้ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
เขามองผู้คนแต่งกายสวยงามเดินผ่านเข้าออกกันขวักไขว่
คนเหล่านั้นส่วนใหญ่สวมหน้ากาก
และเด็กชายก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“ วันนี้เป็นวันที่สี่ของเทศกาล ตอนนี้คงเป็นพิธีมอบผลผลิต ถ้าเจ้าอยากเข้าไปก็ตามมาสิ ”
อาเธอร์ว่าพลางเดินเข้าร้านขายหน้ากากร้านหนึ่งที่อยู่ข้างทาง
“ เราจำเป็นต้องซื้อด้วยหรือ ข้าเห็นบางคนไม่ได้สวมหน้ากาก ”
คาโลไรน์ถามขึ้น
“ มันเป็นธรรมเนียมน่ะ แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบไม่ต้องสวมก็ได้ ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้น ”
“ ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่ข้าว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ อีกอย่างหน้ากากแบบนั้นข้าทำเองก็ได้ เราอาจต้องอยู่เมืองนี้อีกนานข้าว่าประหยัดไว้ก่อนดีกว่า ”
อาเธอร์ลูบผมนางอย่างเอ็นดู
“ เจ้านี่รอบคอบยิ่งนัก ตกลงเราไม่ซื้อหน้ากาก ”
“ เดี๋ยววันหลังแม่ทำให้นะ ”
คาโลไรน์ก้มลงบอกบุตรสาวเมื่อเห็นนางทำตาละห้อย
ถนนทั้งเส้นเป็นหินอ่อนสีขาวทอดยาวไปสู่ปราสาท สองข้างทางมีแนวไม้ขึ้นเป็นพุ่มมองเห็นปราสาทตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แม้วันนี้อากาศจะหม่นมัวแต่ตัวปราสาทกลับแลดูสว่างเรื่อเรือง อาเธอร์พาพวกเขาเดินไปตามทางที่คดเคี้ยวจนมาถึงอนุสาวรีย์ประจำเมือง มันเป็นปั้นรูปมือสีขาวมากมายงอกขึ้นจากพื้นดินพุ่งทะยานขึ้นสูงเฉียดฟ้า มือที่อยู่เหนือสุดชูกิ่งมะกอกที่มีทั้งดอก ใบและผลส่วนมือที่เหลือช่วยพยุงไว้ บริเวณโดยรอบมีรูปสลักหญิงชายนอนเรียงรายล้อมรอบอนุสาวรีย์ ตรงนี้คือที่ฝังร่างของนักรบโบราณ บริเวณนี้จึงเป็นทั้งสุสานเก่าแก่ ที่ก่อตั้งโรงเรียนและสภาของผู้ใช้เวทมนต์ พวกเขาต่างมองสุสานด้วยความครั่นคร้าม วัตถุก่อสร้างสีขาวบริสุทธิ์ยังงดงามไร้ตำหนิเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไปเมื่อวาน ทั้งที่ความจริงแล้วมันมีอายุนับพันปี มือสีขาวทั้งหลายต่างประสานกันอย่างเป็นมิตร
“ อนุสาวรีย์นี่มีความหมายอย่างไรหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม สายตาจับจ้องที่มือมากมายเหล่านั้น ใจหนึ่งก็คิดว่ามันสวยงามอลังการแต่อีกหนึ่งใจกลับรู้สึกสยองพิกล อาเธอร์ไม่ตอบเขาหยุดนิ่งหน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง ป้ายหินจารึกเผยให้รู้ว่าเจ้าของร่างคือคารีออสราชาแห่งดาบ ชายหนุ่มคุกเข่าลงพลางกล่าวคำอธิฐาน เบื้องหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยกองดอกไม้และเทียนส่องวิญญาณ ชายหัวล้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นประกาศตัวเสียงดังว่าเขาสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากคารีออส อาเธอร์ทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วเดินเลี่ยงออกมา
“ มีคนประเภทนี้มากมายชอบอ้างตัวเป็นลูกหลานคนที่มีชื่อเสียง ”
ชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวเดินตรงเข้ามา
ดวงตาสีเทาของเขามองมาที่เด็กๆ อย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง
“ นี่คืออนุสรแห่งภราดรภาพ สร้างขึ้นมาในยุคที่กองทัพของเหล่าผู้ใช้เวทมนต์และมนุษย์โค่นจอมมารซาเหวจหลอดได้สำเร็จ อนุสรแห่งนี้หาได้สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะไม่ หากแต่สร้างขึ้นเพื่อสัมพันธภาพในหมู่เรา ศพที่รายรอบอยู่นี้คือวีรชนผู้พลีชีพเพื่อแลกกับสันติสุขในยุคสมัยนั้น บุคคลเหล่านี้น่ายกย่องยิ่งนัก ”
ผู้มาใหม่หันไปพูดกับฟิโลโซเฟอร์
อาเธอร์โค้งให้ชายชราด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม
“ จากไปนานเลยนะ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาอีก แต่ก็ดีแล้วที่กลับมา ที่แห่งนี้ยังมีคนต้องการเจ้าอยู่ ”
“ ขอบคุณที่ท่านคิดเช่นนั้น ”
“ เจ้าก็ยังหนุ่มและแข็งแรง เหตุใดจึงปลดระวางตัวเองไปอยู่ในไร่นาเสียล่ะ ”
ชายชราแปลกหน้าถามต่อ
“ ข้าคิดว่าข้าถือดาบมานานเกินไปแล้ว ”
อาเธอร์ตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอวน
“ เจ้านี่ดื้อดึงอย่างที่บิดาของเจ้าว่าไว้เลย แล้วนี่คงเป็นเด็กๆ ที่เจ้าพามาจากซีนาร์ยสินะน่าสนใจๆ ”
ชายชราก้าวเดินอีกครั้ง
ท่าทางอย่างกับกำลังเลื่อนลอยไปบนถนน
คทาเหล็กกำหลวมๆ อยู่ในมือข้างหนึ่ง
“ คนๆ นี้เป็นใครกันฮะ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ถ้าจำไม่ผิดเขาคือที่ปรึกษาของจอมเวทย์วาลานประธานแห่งสภาพ่อมดคนปัจจุบัน แต่เขาไม่เหมือนท่านดีมีนหรอกนะ อยู่ใกล้ผู้ใช้เวทมนต์เจ้าต้องสำรวมเอาไว้ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ก็ตามที ”
“ เราไม่ไปตรงที่เขาทำพิธีมอบผลผลิตกันหรือ ”
คาโลไรน์ถามขึ้นบ้าง
“ ไม่ล่ะ ตรงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเรา อีกอย่างทั้งผู้คนทั้งสิ่งของเบียดเสียดกัน ข้าว่าเจ้าไม่ชอบแน่ ปราสาทขาวนั้นกว้างขวางนัก ยังมีมุมอื่นน่าสนใจกว่า ”
อาเธอร์ตอบ
ตามลานกว้างมีซุ้มจัดแสดงของเมืองต่างๆ เสียงปรบมือเสียงโห่ร้องที่ดังมาเป็นระยะ สร้างความคึกคักให้กับผู้ที่ออกมาเที่ยวชมงาน ทั้งๆ ที่พยายามจับมือกันเดินแล้วแต่สุดท้ายฟิโลโซเฟอร์ก็พลัดหลงจนได้ เขาเดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางคนแปลกหน้า แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเพราะเขาเริ่มคุ้นเคยกับเมืองนี้แล้วอย่างน้อยเขาก็หาทางกลับบ้านเองได้ เด็กชายหยุดดูการแข่งขันยิงธนู ชายร่างยักษ์ผู้มีแผลเป็นกลางใบหน้าขี่ม้าเทศตัวใหญ่เขาควบม้ามาโดยเร็ว ชั่วขณะนั้นเขาเล็งศรไปที่โถแก้วที่เรียงรายกันอยู่แตกกระจายเกลื่อน ผู้คนที่รอชมต่างส่งเสียงเชียร์ด้วยความชื่นชมชายคนนั้นชักม้ากลับ เขาโบกมือให้ผู้คนอย่างเบิกบาน
ฟิโลโซเฟอร์เดินฝ่าฝูงชนมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็มาอยู่ภายในบริเวณหนึ่งของสวนสวย แม้พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความอึกทึก แต่ที่ตรงนี้กลับกลับเงียบสงบ มีผู้คนเดินไปมาค่อนข้างบางตาแนวต้นสนยืนเรียงรายสงบนิ่งอยู่สองข้างทางดูน่าเกรงขาม เขาเดินไปเรื่อยๆ บนถนนที่ปูด้วยหินอ่อน บางครั้งก็มีคนกลุ่มเล็กๆ เดินผ่านเขาไป เด็กน้อยผู้มาจากต่างถิ่นรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมที่แห่งนี้ไม่มีการจัดกิจกรรมใดๆ เลย ในบรรดากลุ่มคนที่เดินผ่านไป มีบางคนหันมองเขาอย่างเป็นกังวลอาจจะเป็นเพราะพวกเขาประหลาดใจที่เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ เดินอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นที่ซีนาร์ยหรืออื่นใดต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือความรักและหวงแหนในเด็กตัวน้อยๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ