โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.71K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
36) ม้าสองตัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพวกเขาเดินมาถึงตึกคูหาหนึ่ง ด้านหน้ามีซุ้มประตูโค้งกว้างขวาง ประดับประดาด้วยดอกไม้สีสวยบานสะพรั่ง ผู้คนแต่งกายสวยงามเดินเข้าออกขวักไขว่ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาเป็นระยะ พอก้าวผ่านซุ้มประตูนั้น ก็พบว่าด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ ปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาวสะอาดตา มีตู้ลิ้นชักขนาดใหญ่กลายตู้เรียงรายกันอยู่
อาเธอร์เข้าไปพูดคุยกับคนที่ดูแลตู้ เขาคิดราคาทั้งหมดเป็นราคาสี่เหรียญเงินนับเป็นราคากลางๆ ไม่ถูกไม่แพง คนดูแลตู้มอบชุดคลุมเนื้อละเอียดสีขาวบางเบาให้กับทุกคน และกุญแจดอกหนึ่งให้อาเธอร์ กุญแจนั้นแขวนไว้ด้วยสายสร้อยสีเงินเส้นเล็กๆ พวกเขาชี้ให้อาเธอร์ไปเปลี่ยนชุดในห้องว่างห้องหนึ่ง
หลังจากสวมชุดของโรงอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว อาเธอร์เอาเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งหมดไปเก็บในลิ้นชัก ที่หน้าตู้มีสัญลักษณ์แบบเดียวกับลูกกุญแจ
“ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิง เจ้าและคาโอเรียเดินตามกลุ่มผู้หญิงไป ทำตามอย่างที่คนอื่นเขาทำนะ ”
อาเธอร์กะซิบบอกคาโลไรน์
แต่นางยังคงประหม่า
“ ไม่เป็นไรหรอกน่าเชื่อข้าสิ ”
เขาให้กำลังใจ
“ ใช่รีบอาบรีบกลับ เว้นแต่ท่านแม่จะติดใจ อยากอยู่ที่นี่นานๆ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง
มารดาของเขาจึงดีดหูเข้าให้ด้วยความหมั่นเขี้ยว
อาเธอร์เดินนำหน้าบุตรชายไปตามอุโมงค์กว้างมาจนถึงโถงอีกแห่งหนึ่ง โถงนี้กว้างกว่าด้านหน้ามากมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง รอบๆ สระเรียงรายไปด้วยเตียงหินสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผู้คนในนี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวเนื้อละเอียดบางเบาแบบเดียวกับที่พวกเขาสวมใส่ คนเหล่านั้นบ้างนั่งอยู่ริมสระบ้างนอนอยู่บนเตียงหินอ่อนและมีสตรีที่สวยงามแต่งกายวาบหวิวคอยนวดน้ำมันหอมให้ แต่ส่วนใหญ่แช่อยู่ในสระน้ำ
“ เราต้องลงไปในสระนี้ใช่ไหม ”
เด็กชายถามบิดา
หลังจากสำรวจรอบบริเวณแล้ว
เขาหวังว่าเรื่องนวดน้ำมันโดยสตรีเหล่านั้น
คงมิใช่กิจกรรมบังคับ
เพราะแค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“ ถูกแล้ว หรือเจ้าอยากไปนอนให้เขานวดน้ำมันก็ย่อมได้ ”
พูดยังไม่ทันจบ
ฟิโลโซเฟิอร์ก็กระโดดตูมลงไปจนน้ำแตกกระจาย
เรียกสายตาคนทั้งสระให้หันมา
“ ลูกข้าเจ้าต้องสุภาพกว่านี้ ”
อาเธอร์ตามลงมากระซิบเตือนเบาๆ
น้ำนั้นอุ่นจัดและมีกลิ่นหอมของสมุนไพร
แม้จะมีสีเขียวอมฟ้าแต่ก็ใสสะอาดจนมองเห็นก้นสระ
ที่กลางบ่อมีรูปสลักเทพีแบกคนโทเทน้ำร้อนลงมาไม่ขาดสายส่งไอคละคลุ้งไปทั่วห้อง
ทำให้ทั่วทั้งบริเวณโถงอุ่นจัดและหอมฟุ้ง
ฟิโลโซเฟอร์นอนแช่น้ำอย่างสบายกายใจ
พลันก็คิดถึงหนุ่มน้อยพ่อมดที่เขาพบเจอเมื่อวันก่อน
กลิ่นหอมชวนลุ่มหลงนั้นยังตราตรึงไม่หาย
เขานึกสงสัยว่าเจ้านั่นคงอาบน้ำในที่แบบนี้ทุกวัน
กลิ่นถึงได้ติดทนนานขนาดนั้น
แต่มั่นใจว่าดารีลคงไม่ได้อาบที่ร้านนี้
เพราะกลิ่นหอมนั้นแตกต่างกันมากเหลือเกิน
หลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเขาก็กลับออกมาพร้อมกับกลิ่นกายหอมกรุ่น
คาโอเรียกับมารดายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งคู่มีสีหน้าแปลกประหลาด
“ เป็นอย่างไรบ้าง ชอบใจกันหรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามพลางเปิดตู้ส่งเสื้อผ้าให้ทุกคน
“ อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ได้อาบน้ำอุ่นสบายตัวก็จริง แต่ให้อาบท่ามกลางคนมากมายข้าว่าไม่สนุกเลย ”
คาโอเรียตอบ
“ ใช่ราคาก็ไม่ได้ถูกๆ แบบนี้ต้มน้ำอาบเองที่บ้านยังจะสบายใจกว่า ”
คาโลไรน์ว่าบ้าง
“ จริงทีเดียว แต่ข้าแค่อยากพาพวกเจ้ามาเปิดหูเปิดตา อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนเมืองนี้เขาทำอะไรที่ไหนกันบ้าง เอาล่ะไปเปลี่ยนชุดกัน ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาก็ดูกลมกลืนกับชาวเมือง
ด้วยเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านกลิ่นกายหอมกรุ่น
และเสื้อผ้าสวยงามประณีต
“ ข้างนอกอากาศหนาวจัง ”
คาโอเรียว่าพลางห่อไหล่
เมื่อพวกเขาเดินออกมาพ้นโรงอาบน้ำ
แม้จะเป็นเวลาบ่ายแต่อากาศวันนี้ก็เย็นยะเยือก
“ อยากกลับเข้าไปข้างในอีกล่ะสิ ”
ฟิโลโซเฟอร์ล้อ
แต่ข้างในโรงอาบน้ำก็อุ่นสบายจริง
“ ไม่ล่ะตอนนี้ข้าหิวแล้ว ”
นางตอบสายตาก็กวาดไปรอบๆ
หวังว่าจะพบกับร้านขายขนมหวานสักร้าน
แล้วสายตาก็พลันปะเข้ากับสิ่งหนึ่ง
“ ดูม้าคู่นั้นสิ ”
เด็กหญิงอุทาน
“ เหมือนม้าของเราเลย ”
อาเธอร์หันไปมองแล้วถึงกับอึ้ง
ไม่ใช่แค่เหมือนแต่มันใช่เลยเกวียนเล่มนั้นด้วย
ทั้งหมดจอดนิ่งอยู่หน้าโรงอาบน้ำราวกับความฝัน
พวกเขาเดินล้อมเข้าไปดูใกล้ๆ
“ เบ็ตตี้ เบ็ตเต้อ ”
อาเธอร์เรียกมันด้วยเสียงสั่นพร่า
ม้าคู่ชีวิตที่เขาได้แต่คิดถึงและเฝ้าวิตกถึงชะตากรรมของมัน
นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งในที่แห่งนี้
ม้าทั้งคู่ผงกหัวรับและกระทืบเท้าเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ สหายทั้งหลาย พวกเจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงเข้าไปวุ่นวายกับทรัพย์สินของผู้อื่น ”
เสียงละมุนหูดูมีเมตตาดังมาจากด้านหลัง
เมื่อพวกเขาหันไปก็พบกับชายชราร่างผอมบางผมหงอกขาวทั้งหัว
ผู้เฒ่าชาโคลนั่นเอง
“ ท่านผู้เฒ่า ”
คาโลไรน์อุทาน
“ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ”
อาเธอร์ถามบ้าง
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ ข้าบอกแล้วว่าข้าตัวตนเดียวเดินทางสะดวก ทางไหนเปิดข้าไปทางนั้นใกล้หรือไกลไม่สำคัญ สุดท้ายก็ถึงเป้าหมายอยู่ดี ”
ว่าแล้วเขาก็เงยหน้าดูท้องฟ้า
“ ดูเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจ ข้ากำลังวิตกอยู่เลยว่าจะหาพวกเจ้าได้อย่างไร ในเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ ”
“ ท่านตามหาพวกเราหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แน่นอนสิ ข้าขี้เกียจเฝ้าสมบัติให้พวกเจ้าจะแย่ จงเอาของพวกเจ้ากลับไปเสีย ”
“ แต่เรายกให้ท่านแล้ว ”
อาเธอร์แย้ง
“ ข้าตัวคนเดียวไร้พันธะ ทรัพย์สินคือภาระที่คอยถ่วง ข้าแก่แล้วแต่ม้าของเจ้ายังหนุ่ม เอาคืนกลับไปน่ะดีแล้วเพราะข้าคงเหลือเวลาดูแลพวกมันได้ไม่นานนัก ”
ผู้เฒ่าชาโคลอธิบายอย่างอารมณ์ดี
“ ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิ ”
คาโลไรน์ทักท้วงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่ผู้เฒ่าชาโคลก็หัวเราะเพราะเขาไม่ได้จริงจังกับคำพูดนั้น
“ ถ้าเช่นนั้นท่านจงมากับเราเสีย ข้าอยากเลี้ยงอาหารดีๆ สักมื้อ ”
อาเธอร์เสนอ
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง
“ ยังมีเวลาอีกมากหรอกน่าก่อนประตูเมืองปิด หรือท่านจะค้างที่บ้านข้าก็ยังได้ ”
คนหนุ่มกว่าพูดขัดขึ้น
“ ข้ายังมีอีกหลายที่ที่จะต้องไปและอยากจะไป เวลามากมายสำหรับเจ้า บางทีก็น้อยเหลือเกินสำหรับข้า ”
“ ท่านก็พูดเกินไปทานข้าวสักมื้อ ใช้เวลาไม่ถึงปีหรอกหรือไม่จริง อีกอย่างถึงอย่างไรท่านก็ต้องทานอาหารอยู่แล้ว มาร่วมวงกับเราเถอะข้าไม่ทำท่านเสียเวลาหรอก ”
“ บอกตามตรงเลยนะ ข้าเพิ่งทานอาหารกลางวันไปเมื่อครู่ เจ้ามาชวนผิดเวลา ”
“ แล้วกัน ท่านนี่จริงๆ เลย ”
อาเธอร์เกาหัวด้วยอาการจนปัญญา
ชายชราหัวเราะชอบใจสายตาจับจ้องคนหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“ จริงสิท่านชาโคล เมืองกัลป์ทีลอทเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากการโจมตีของมังกรไฟ ท่านรู้ข่าวบ้างหรือเปล่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้น
“ สองวันหลังจากพวกเจ้าออกเดินทาง กลุ่มผู้ใช้เวทมนต์และนักล่ามังกรก็มาถึง พวกเขาขับไล่มังกรออกไปแต่ความเสียหายมากมายนัก บ้านเมืองถูกไฟเผาอย่างหนักผู้คนก็กระจัดกระจาย ข้าขออาศัยเดินทางตามหลังเหล่านักล่ามังกรเพื่อผ่านเมืองนั้นออกมาก่อน เลยไม่รู้ว่าคนที่เหลือเขาจัดการปัญหากันอย่างไร ”
ชายชราตอบตามตรง
“ น่าสงสารชาวเมืองเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างนะ ”
คาโลไรน์ว่า
“ ในตอนนี้ความสงสารใช้ได้กับทุกคน พวกเจ้าควรคิดและวางแผนเผื่อตัวเอง วันข้างหน้าอาจไม่สวยงามดังเช่นวันนี้ ”
อาเธอร์เข้าไปพูดคุยกับคนที่ดูแลตู้ เขาคิดราคาทั้งหมดเป็นราคาสี่เหรียญเงินนับเป็นราคากลางๆ ไม่ถูกไม่แพง คนดูแลตู้มอบชุดคลุมเนื้อละเอียดสีขาวบางเบาให้กับทุกคน และกุญแจดอกหนึ่งให้อาเธอร์ กุญแจนั้นแขวนไว้ด้วยสายสร้อยสีเงินเส้นเล็กๆ พวกเขาชี้ให้อาเธอร์ไปเปลี่ยนชุดในห้องว่างห้องหนึ่ง
หลังจากสวมชุดของโรงอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว อาเธอร์เอาเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งหมดไปเก็บในลิ้นชัก ที่หน้าตู้มีสัญลักษณ์แบบเดียวกับลูกกุญแจ
“ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิง เจ้าและคาโอเรียเดินตามกลุ่มผู้หญิงไป ทำตามอย่างที่คนอื่นเขาทำนะ ”
อาเธอร์กะซิบบอกคาโลไรน์
แต่นางยังคงประหม่า
“ ไม่เป็นไรหรอกน่าเชื่อข้าสิ ”
เขาให้กำลังใจ
“ ใช่รีบอาบรีบกลับ เว้นแต่ท่านแม่จะติดใจ อยากอยู่ที่นี่นานๆ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าบ้าง
มารดาของเขาจึงดีดหูเข้าให้ด้วยความหมั่นเขี้ยว
อาเธอร์เดินนำหน้าบุตรชายไปตามอุโมงค์กว้างมาจนถึงโถงอีกแห่งหนึ่ง โถงนี้กว้างกว่าด้านหน้ามากมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง รอบๆ สระเรียงรายไปด้วยเตียงหินสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผู้คนในนี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาวเนื้อละเอียดบางเบาแบบเดียวกับที่พวกเขาสวมใส่ คนเหล่านั้นบ้างนั่งอยู่ริมสระบ้างนอนอยู่บนเตียงหินอ่อนและมีสตรีที่สวยงามแต่งกายวาบหวิวคอยนวดน้ำมันหอมให้ แต่ส่วนใหญ่แช่อยู่ในสระน้ำ
“ เราต้องลงไปในสระนี้ใช่ไหม ”
เด็กชายถามบิดา
หลังจากสำรวจรอบบริเวณแล้ว
เขาหวังว่าเรื่องนวดน้ำมันโดยสตรีเหล่านั้น
คงมิใช่กิจกรรมบังคับ
เพราะแค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“ ถูกแล้ว หรือเจ้าอยากไปนอนให้เขานวดน้ำมันก็ย่อมได้ ”
พูดยังไม่ทันจบ
ฟิโลโซเฟิอร์ก็กระโดดตูมลงไปจนน้ำแตกกระจาย
เรียกสายตาคนทั้งสระให้หันมา
“ ลูกข้าเจ้าต้องสุภาพกว่านี้ ”
อาเธอร์ตามลงมากระซิบเตือนเบาๆ
น้ำนั้นอุ่นจัดและมีกลิ่นหอมของสมุนไพร
แม้จะมีสีเขียวอมฟ้าแต่ก็ใสสะอาดจนมองเห็นก้นสระ
ที่กลางบ่อมีรูปสลักเทพีแบกคนโทเทน้ำร้อนลงมาไม่ขาดสายส่งไอคละคลุ้งไปทั่วห้อง
ทำให้ทั่วทั้งบริเวณโถงอุ่นจัดและหอมฟุ้ง
ฟิโลโซเฟอร์นอนแช่น้ำอย่างสบายกายใจ
พลันก็คิดถึงหนุ่มน้อยพ่อมดที่เขาพบเจอเมื่อวันก่อน
กลิ่นหอมชวนลุ่มหลงนั้นยังตราตรึงไม่หาย
เขานึกสงสัยว่าเจ้านั่นคงอาบน้ำในที่แบบนี้ทุกวัน
กลิ่นถึงได้ติดทนนานขนาดนั้น
แต่มั่นใจว่าดารีลคงไม่ได้อาบที่ร้านนี้
เพราะกลิ่นหอมนั้นแตกต่างกันมากเหลือเกิน
หลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเขาก็กลับออกมาพร้อมกับกลิ่นกายหอมกรุ่น
คาโอเรียกับมารดายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งคู่มีสีหน้าแปลกประหลาด
“ เป็นอย่างไรบ้าง ชอบใจกันหรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามพลางเปิดตู้ส่งเสื้อผ้าให้ทุกคน
“ อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ได้อาบน้ำอุ่นสบายตัวก็จริง แต่ให้อาบท่ามกลางคนมากมายข้าว่าไม่สนุกเลย ”
คาโอเรียตอบ
“ ใช่ราคาก็ไม่ได้ถูกๆ แบบนี้ต้มน้ำอาบเองที่บ้านยังจะสบายใจกว่า ”
คาโลไรน์ว่าบ้าง
“ จริงทีเดียว แต่ข้าแค่อยากพาพวกเจ้ามาเปิดหูเปิดตา อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนเมืองนี้เขาทำอะไรที่ไหนกันบ้าง เอาล่ะไปเปลี่ยนชุดกัน ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาก็ดูกลมกลืนกับชาวเมือง
ด้วยเนื้อตัวที่สะอาดสะอ้านกลิ่นกายหอมกรุ่น
และเสื้อผ้าสวยงามประณีต
“ ข้างนอกอากาศหนาวจัง ”
คาโอเรียว่าพลางห่อไหล่
เมื่อพวกเขาเดินออกมาพ้นโรงอาบน้ำ
แม้จะเป็นเวลาบ่ายแต่อากาศวันนี้ก็เย็นยะเยือก
“ อยากกลับเข้าไปข้างในอีกล่ะสิ ”
ฟิโลโซเฟอร์ล้อ
แต่ข้างในโรงอาบน้ำก็อุ่นสบายจริง
“ ไม่ล่ะตอนนี้ข้าหิวแล้ว ”
นางตอบสายตาก็กวาดไปรอบๆ
หวังว่าจะพบกับร้านขายขนมหวานสักร้าน
แล้วสายตาก็พลันปะเข้ากับสิ่งหนึ่ง
“ ดูม้าคู่นั้นสิ ”
เด็กหญิงอุทาน
“ เหมือนม้าของเราเลย ”
อาเธอร์หันไปมองแล้วถึงกับอึ้ง
ไม่ใช่แค่เหมือนแต่มันใช่เลยเกวียนเล่มนั้นด้วย
ทั้งหมดจอดนิ่งอยู่หน้าโรงอาบน้ำราวกับความฝัน
พวกเขาเดินล้อมเข้าไปดูใกล้ๆ
“ เบ็ตตี้ เบ็ตเต้อ ”
อาเธอร์เรียกมันด้วยเสียงสั่นพร่า
ม้าคู่ชีวิตที่เขาได้แต่คิดถึงและเฝ้าวิตกถึงชะตากรรมของมัน
นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันอีกครั้งในที่แห่งนี้
ม้าทั้งคู่ผงกหัวรับและกระทืบเท้าเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ สหายทั้งหลาย พวกเจ้าปรารถนาสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงเข้าไปวุ่นวายกับทรัพย์สินของผู้อื่น ”
เสียงละมุนหูดูมีเมตตาดังมาจากด้านหลัง
เมื่อพวกเขาหันไปก็พบกับชายชราร่างผอมบางผมหงอกขาวทั้งหัว
ผู้เฒ่าชาโคลนั่นเอง
“ ท่านผู้เฒ่า ”
คาโลไรน์อุทาน
“ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ”
อาเธอร์ถามบ้าง
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ ข้าบอกแล้วว่าข้าตัวตนเดียวเดินทางสะดวก ทางไหนเปิดข้าไปทางนั้นใกล้หรือไกลไม่สำคัญ สุดท้ายก็ถึงเป้าหมายอยู่ดี ”
ว่าแล้วเขาก็เงยหน้าดูท้องฟ้า
“ ดูเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจ ข้ากำลังวิตกอยู่เลยว่าจะหาพวกเจ้าได้อย่างไร ในเมืองกว้างใหญ่แห่งนี้ ”
“ ท่านตามหาพวกเราหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
“ แน่นอนสิ ข้าขี้เกียจเฝ้าสมบัติให้พวกเจ้าจะแย่ จงเอาของพวกเจ้ากลับไปเสีย ”
“ แต่เรายกให้ท่านแล้ว ”
อาเธอร์แย้ง
“ ข้าตัวคนเดียวไร้พันธะ ทรัพย์สินคือภาระที่คอยถ่วง ข้าแก่แล้วแต่ม้าของเจ้ายังหนุ่ม เอาคืนกลับไปน่ะดีแล้วเพราะข้าคงเหลือเวลาดูแลพวกมันได้ไม่นานนัก ”
ผู้เฒ่าชาโคลอธิบายอย่างอารมณ์ดี
“ ท่านอย่าพูดแบบนั้นสิ ”
คาโลไรน์ทักท้วงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
แต่ผู้เฒ่าชาโคลก็หัวเราะเพราะเขาไม่ได้จริงจังกับคำพูดนั้น
“ ถ้าเช่นนั้นท่านจงมากับเราเสีย ข้าอยากเลี้ยงอาหารดีๆ สักมื้อ ”
อาเธอร์เสนอ
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง
“ ยังมีเวลาอีกมากหรอกน่าก่อนประตูเมืองปิด หรือท่านจะค้างที่บ้านข้าก็ยังได้ ”
คนหนุ่มกว่าพูดขัดขึ้น
“ ข้ายังมีอีกหลายที่ที่จะต้องไปและอยากจะไป เวลามากมายสำหรับเจ้า บางทีก็น้อยเหลือเกินสำหรับข้า ”
“ ท่านก็พูดเกินไปทานข้าวสักมื้อ ใช้เวลาไม่ถึงปีหรอกหรือไม่จริง อีกอย่างถึงอย่างไรท่านก็ต้องทานอาหารอยู่แล้ว มาร่วมวงกับเราเถอะข้าไม่ทำท่านเสียเวลาหรอก ”
“ บอกตามตรงเลยนะ ข้าเพิ่งทานอาหารกลางวันไปเมื่อครู่ เจ้ามาชวนผิดเวลา ”
“ แล้วกัน ท่านนี่จริงๆ เลย ”
อาเธอร์เกาหัวด้วยอาการจนปัญญา
ชายชราหัวเราะชอบใจสายตาจับจ้องคนหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“ จริงสิท่านชาโคล เมืองกัลป์ทีลอทเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากการโจมตีของมังกรไฟ ท่านรู้ข่าวบ้างหรือเปล่า ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้น
“ สองวันหลังจากพวกเจ้าออกเดินทาง กลุ่มผู้ใช้เวทมนต์และนักล่ามังกรก็มาถึง พวกเขาขับไล่มังกรออกไปแต่ความเสียหายมากมายนัก บ้านเมืองถูกไฟเผาอย่างหนักผู้คนก็กระจัดกระจาย ข้าขออาศัยเดินทางตามหลังเหล่านักล่ามังกรเพื่อผ่านเมืองนั้นออกมาก่อน เลยไม่รู้ว่าคนที่เหลือเขาจัดการปัญหากันอย่างไร ”
ชายชราตอบตามตรง
“ น่าสงสารชาวเมืองเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้างนะ ”
คาโลไรน์ว่า
“ ในตอนนี้ความสงสารใช้ได้กับทุกคน พวกเจ้าควรคิดและวางแผนเผื่อตัวเอง วันข้างหน้าอาจไม่สวยงามดังเช่นวันนี้ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ