โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) กลับถึงบ้าน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทั้งสองขึ้นรถม้าโดยสารคันหนึ่ง ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของพวกเขาจะสร้างความตกตะลึงให้กับผู้โดยสารคนอื่นๆ บนรถม้าคันนั้น ทั้งตกเป็นเป้าสายตาและเสียงกระซิบกระซาบ ดารีลถอดเสื้อคลุมนอกออกแล้วสวมใส่ให้กับเด็กชายผู้หลงทางกลับบ้าน เด็กหนุ่มรูปงามให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้ผู้คนจ้องมองมาที่เขาเพราะการแต่งกายของฟิโลโซเฟอร์เป็นเหตุ เด็กน้อยพ่นลมหายใจพรืดเหลือบตาขึ้นมองบน สาบานได้ว่าเขาไม่ใช่ต้นเหตุอย่างแน่นอน
พวกเขาเปลี่ยนรถม้าสามคัน ดารีลหาทางให้เด็กชายได้นั่งชิดหน้าต่าง เพื่อที่จะสามารถมองออกไปนอกรถม้าได้สะดวก ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงถนนที่ฟิโลโซเฟอร์คุ้นเคย เด็กชายลงมายืนสูดอากาศที่ข้างถนน จากนี้ไปไม่กี่ช่วงตึกก็ถึงที่พักของเขาแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแต่ตามท้องถนนผู้คนยังพลุกพล่าน ชายชราคนหนึ่งขี่ม้าสีน้ำตาลผ่านหน้าพวกเขาไป คนผู้นั้นหยุดม้าที่เสาตะเกียงโคมริมทางแล้วจุดไฟตะเกียงก็สว่างไสว ดารีลจ้องตามหลังชายชราผู้นั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ ข้าสงสัยมาตลอดว่าตะเกียงพวกนี้ส่องสว่างได้อย่างไร ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
“ ตอนเช้าคงเป็นเขาอีกสินะที่คอยดับตะเกียง ”
ดารีลไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นกอดอกเอียงคอน้อยๆ เหมือนกำลังรอคอยบางสิ่ง
เสียงระฆังดังกังวานลอยมาจากที่ไกลๆ ฟังดูอบอุ่นละมุนหู
“ หกโมงเย็นจนได้สินะ ”
เขาว่า
“ ข้าคงไม่ได้ทำให้เจ้าพลาดอะไรไปนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์หน้าเสีย
“ ช่างเถิดพรุ่งนี้ยังมี ข้าไม่ได้มีเรื่องเดือดร้อน แต่ตอนนี้เจ้าคืนเสื้อคลุมมาเถอะข้าต้องไปแล้ว ”
“ อ้อ จริงด้วย ”
เด็กชายถอดเสื้อคลุมออกแล้วยื่นให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ
แต่แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ นี่ดารีล ไหนๆ เจ้าก็มาถึงนี่แล้วไม่เข้าไปข้างในก่อนล่ะ ให้ข้าได้เลี้ยงข้าวสักมื้อ ”
“ เด็กเพ้อเจ้อ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อครู่เราเพิ่งทานอาหารเย็นด้วยกัน เจ้าลืมแล้วหรือ ”
“ แต่ ”
“ ไม่มีแต่ ข้าบอกไม่รีบไม่ได้หมายถึงไม่มีธุระ ”
ว่าแล้วเขาก็สวมเสื้อคลุม
หมวกฮู้ดถูกดึงลงต่ำเพื่อปิดบังใบหน้าให้แผงอยู่ในเงามืด
“ เอาล่ะเลิกซุกซนแล้วกลับเข้าบ้านไปเสีย และจำไว้ว่าถ้ายังไม่เข้าใจแผนที่ถนนของโอรีเวีย คราวหลังอย่าคิดก้าวขาออกจากบ้าน ”
เขาว่าเท่านั้นแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นจนหนุ่มน้อยพ่อมดหายลับไปกับฝูงชน
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าไปไหนมา พ่อของเจ้ากำลังจะออกไปตาม ”
คาโลไรน์พูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
เมื่อเห็นบุตรชายคนโตเดินเข้ามาในบ้าน
เด็กชายไม่ตอบเขาเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ
“ เจ้าคงหิวแล้วสินะ ข้าอุ่นน้ำซุบไว้รอ กินกับมันฝรั่งเผาอร่อยทีเดียว ”
“ ไม่ต้องหรอกท่านแม่ข้าไม่หิว ”
“ หืม ”
คาโลไรน์ทำตาโต
“ เกิดอะไรขึ้น เจ้าไม่เคยปฏิเสธมื้อเย็นนี่นา ”
“ ความจริงคือวันนี้ข้าไปพบคนผู้หนึ่งมา ”
“ ใคร ”
อาเธอร์ถามทันควัน
เขานึกไม่ออกว่าบุตรชายจะไปรู้จักใครที่ไหนในเมืองใหญ่แห่งนี้
“ ดารีล ”
คำตอบนั้นทำเอาทุกคนตกตะลึง
แม้แต่คาโอเรียก็ยังวางไหมพรมที่กำลังถักอยู่ในมือลง
“ เดี๋ยว เจ้าพบเขาได้อย่าง เขาพูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า แล้วเหตุใดเจ้าไม่ชวนเขามาที่บ้าน ”
คาโลไรน์ถามเสียงเร็วด้วยความตื่นเต้น
“ ชวนแล้วแต่เขาไม่มา ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เราคุยกันอยู่นานสองนาน ”
“ เขาถามอะไรเจ้าหรือไม่ ”
อาเธอร์ว่าพลางเดินมานั่งลงข้างๆ
“ เขาอยากได้คำยืนยันว่าเราเข้าไปทำอะไรในหุบเขานั่น ”
เด็กชายตอบบิดาตามจริง
“ เรื่องดาบล่ะเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร ”
“ ก็ไม่นะ เขาไม่ได้เอ่ยถึงข้าก็ลืมไปเลย ดูเหมือนสิ่งที่เขาสนใจคือเพราะอะไรพวกเราจึงเข้าไปในนั้น ทำไมล่ะท่านพ่อกังวลหรือ ”
“ ข้าเพิ่งรู้ว่าเขาเองก็เป็นคนในสภาและเป็นคนโปรดของวาลานเจ้าแห่งโอรีเวีย ”
อาเธอร์ตอบ
“ ท่านวาลานนี่เป็นคนไม่ดีหรือคะ ”
เสียงของคาโอเรียถามขึ้นบ้าง
“ ไม่ใช่ไม่ดี แต่เขาเป็นคนที่เราไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย ผู้ใช้เวทมนต์ไม่ได้เป็นเหมือนท่านดีมีนหรอกนะ ”
“ แต่หนุ่มน้อยคนนี้ก็น่าคบไม่ใช่หรือ อย่างน้อยวันนี้ฟิโลโซเฟอร์ของเราก็ไปเที่ยวเล่นกับเขา ”
คาโลไรน์ว่า
“ เขาเป็นคนในสภาแล้วยังไงครับ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี เอาอย่างนี้เรายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของดารีล อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาลานก็ไม่แน่ชัด สำหรับวาลานนั้นแนวคิดของเขาอาจนำความวุ่นวายมาสู่พวกเราทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ดารีลรู้อาจเป็นสิ่งเดียวกับที่จอมเวทวาลานรู้ก็ได้ เพราะว่าเขาทำงานในสภาก็ย่อมหมายถึงเขาทำงานให้วาลานนั่นเอง ”
อาเธอร์อธิบาย
“ การที่เราข้ามหุบเขาเงาปีศาจนั่นมันร้ายแรงนักหรือ ”
เด็กชายยังไม่หายข้องใจ
“ สิ่งที่เราทำไม่ใช่ความผิด แต่เป็นสิ่งที่หลายต่อหลายคนพยายามทำมาแล้ว เมื่อเราทำสำเร็จย่อมมีคนอยากรู้ พวกเขาอาจใช้เรานำทาง และเจ้าคงไม่อยากกลับเข้าไปอีก ”
“ อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนี้ข้าเข้าใจ ดารีลเองก็กังวลเรื่องเดียวกับท่านพ่อ เพราะเขาถามหยั่งเชิงข้าเช่นกัน ถ้าเขาติดใจเรื่องนี้แล้วแจ้งแก่วาลาน ป่านนี้คงมีคนมาพบพวกเราแล้ว หมอนั่นชมท่านพ่อเรื่องที่พยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าว่าเขาคงไม่คิดอะไรแปลกๆ กับพวกเราหรอก ”
“ อย่างนั้นรึ ”
อาเธอร์พูดเบาๆ พลางพยักหน้า
“ เห็นหรือไม่ว่าท่านคิดมากไปเอง เขาก็ดีกับพวกเราเหมือนท่านดีมีนนั่นแหละ ลืมเรื่องในทุ่งหญ้าแล้วหรือ ”
คาโลไรน์ได้ทีรีบว่าขึ้น
“ ไม่ลืมอยู่แล้ว ข้าก็แค่รู้สึกว่าเขาแปลกๆ เท่านั้นเอง ”
“ ผู้ใช้เวทมนต์คนไหนไม่แปลกบ้างล่ะ ”
“ ก็ได้ๆ ข้ายอม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังใหม่สำหรับเรา ”
อาเธอร์ยกมือยอมแพ้
ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั่นยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าหนุ่มน้อยคนนั้นจะไม่เป็นภัย
คืนนั้นเขากลับขึ้นห้องไปนอนโดยไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
กลิ่นหอมจางๆ ยังลอยอ้อยอิงตามเนื้อตัวที่สัมผัสกับชุดคลุมของหนุ่มน้อยคนนั้น
เป็นกลิ่นที่อบอุ่นน่าไว้วางใจ
เขาได้แต่สงสัยว่านี่คือกลิ่นของอะไร
เด็กน้อยหลับไปอย่างเป็นสุข
และไม่ฝันอะไรเลย
พวกเขาเปลี่ยนรถม้าสามคัน ดารีลหาทางให้เด็กชายได้นั่งชิดหน้าต่าง เพื่อที่จะสามารถมองออกไปนอกรถม้าได้สะดวก ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงถนนที่ฟิโลโซเฟอร์คุ้นเคย เด็กชายลงมายืนสูดอากาศที่ข้างถนน จากนี้ไปไม่กี่ช่วงตึกก็ถึงที่พักของเขาแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวแต่ตามท้องถนนผู้คนยังพลุกพล่าน ชายชราคนหนึ่งขี่ม้าสีน้ำตาลผ่านหน้าพวกเขาไป คนผู้นั้นหยุดม้าที่เสาตะเกียงโคมริมทางแล้วจุดไฟตะเกียงก็สว่างไสว ดารีลจ้องตามหลังชายชราผู้นั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ ข้าสงสัยมาตลอดว่าตะเกียงพวกนี้ส่องสว่างได้อย่างไร ”
เด็กชายตัวน้อยว่า
“ ตอนเช้าคงเป็นเขาอีกสินะที่คอยดับตะเกียง ”
ดารีลไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นกอดอกเอียงคอน้อยๆ เหมือนกำลังรอคอยบางสิ่ง
เสียงระฆังดังกังวานลอยมาจากที่ไกลๆ ฟังดูอบอุ่นละมุนหู
“ หกโมงเย็นจนได้สินะ ”
เขาว่า
“ ข้าคงไม่ได้ทำให้เจ้าพลาดอะไรไปนะ ”
ฟิโลโซเฟอร์หน้าเสีย
“ ช่างเถิดพรุ่งนี้ยังมี ข้าไม่ได้มีเรื่องเดือดร้อน แต่ตอนนี้เจ้าคืนเสื้อคลุมมาเถอะข้าต้องไปแล้ว ”
“ อ้อ จริงด้วย ”
เด็กชายถอดเสื้อคลุมออกแล้วยื่นให้แบบไม่ค่อยเต็มใจ
แต่แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ นี่ดารีล ไหนๆ เจ้าก็มาถึงนี่แล้วไม่เข้าไปข้างในก่อนล่ะ ให้ข้าได้เลี้ยงข้าวสักมื้อ ”
“ เด็กเพ้อเจ้อ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อครู่เราเพิ่งทานอาหารเย็นด้วยกัน เจ้าลืมแล้วหรือ ”
“ แต่ ”
“ ไม่มีแต่ ข้าบอกไม่รีบไม่ได้หมายถึงไม่มีธุระ ”
ว่าแล้วเขาก็สวมเสื้อคลุม
หมวกฮู้ดถูกดึงลงต่ำเพื่อปิดบังใบหน้าให้แผงอยู่ในเงามืด
“ เอาล่ะเลิกซุกซนแล้วกลับเข้าบ้านไปเสีย และจำไว้ว่าถ้ายังไม่เข้าใจแผนที่ถนนของโอรีเวีย คราวหลังอย่าคิดก้าวขาออกจากบ้าน ”
เขาว่าเท่านั้นแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นจนหนุ่มน้อยพ่อมดหายลับไปกับฝูงชน
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าไปไหนมา พ่อของเจ้ากำลังจะออกไปตาม ”
คาโลไรน์พูดด้วยสีหน้าโล่งใจ
เมื่อเห็นบุตรชายคนโตเดินเข้ามาในบ้าน
เด็กชายไม่ตอบเขาเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ
“ เจ้าคงหิวแล้วสินะ ข้าอุ่นน้ำซุบไว้รอ กินกับมันฝรั่งเผาอร่อยทีเดียว ”
“ ไม่ต้องหรอกท่านแม่ข้าไม่หิว ”
“ หืม ”
คาโลไรน์ทำตาโต
“ เกิดอะไรขึ้น เจ้าไม่เคยปฏิเสธมื้อเย็นนี่นา ”
“ ความจริงคือวันนี้ข้าไปพบคนผู้หนึ่งมา ”
“ ใคร ”
อาเธอร์ถามทันควัน
เขานึกไม่ออกว่าบุตรชายจะไปรู้จักใครที่ไหนในเมืองใหญ่แห่งนี้
“ ดารีล ”
คำตอบนั้นทำเอาทุกคนตกตะลึง
แม้แต่คาโอเรียก็ยังวางไหมพรมที่กำลังถักอยู่ในมือลง
“ เดี๋ยว เจ้าพบเขาได้อย่าง เขาพูดอะไรกับเจ้าหรือเปล่า แล้วเหตุใดเจ้าไม่ชวนเขามาที่บ้าน ”
คาโลไรน์ถามเสียงเร็วด้วยความตื่นเต้น
“ ชวนแล้วแต่เขาไม่มา ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เราคุยกันอยู่นานสองนาน ”
“ เขาถามอะไรเจ้าหรือไม่ ”
อาเธอร์ว่าพลางเดินมานั่งลงข้างๆ
“ เขาอยากได้คำยืนยันว่าเราเข้าไปทำอะไรในหุบเขานั่น ”
เด็กชายตอบบิดาตามจริง
“ เรื่องดาบล่ะเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร ”
“ ก็ไม่นะ เขาไม่ได้เอ่ยถึงข้าก็ลืมไปเลย ดูเหมือนสิ่งที่เขาสนใจคือเพราะอะไรพวกเราจึงเข้าไปในนั้น ทำไมล่ะท่านพ่อกังวลหรือ ”
“ ข้าเพิ่งรู้ว่าเขาเองก็เป็นคนในสภาและเป็นคนโปรดของวาลานเจ้าแห่งโอรีเวีย ”
อาเธอร์ตอบ
“ ท่านวาลานนี่เป็นคนไม่ดีหรือคะ ”
เสียงของคาโอเรียถามขึ้นบ้าง
“ ไม่ใช่ไม่ดี แต่เขาเป็นคนที่เราไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย ผู้ใช้เวทมนต์ไม่ได้เป็นเหมือนท่านดีมีนหรอกนะ ”
“ แต่หนุ่มน้อยคนนี้ก็น่าคบไม่ใช่หรือ อย่างน้อยวันนี้ฟิโลโซเฟอร์ของเราก็ไปเที่ยวเล่นกับเขา ”
คาโลไรน์ว่า
“ เขาเป็นคนในสภาแล้วยังไงครับ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี เอาอย่างนี้เรายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของดารีล อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวาลานก็ไม่แน่ชัด สำหรับวาลานนั้นแนวคิดของเขาอาจนำความวุ่นวายมาสู่พวกเราทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ดารีลรู้อาจเป็นสิ่งเดียวกับที่จอมเวทวาลานรู้ก็ได้ เพราะว่าเขาทำงานในสภาก็ย่อมหมายถึงเขาทำงานให้วาลานนั่นเอง ”
อาเธอร์อธิบาย
“ การที่เราข้ามหุบเขาเงาปีศาจนั่นมันร้ายแรงนักหรือ ”
เด็กชายยังไม่หายข้องใจ
“ สิ่งที่เราทำไม่ใช่ความผิด แต่เป็นสิ่งที่หลายต่อหลายคนพยายามทำมาแล้ว เมื่อเราทำสำเร็จย่อมมีคนอยากรู้ พวกเขาอาจใช้เรานำทาง และเจ้าคงไม่อยากกลับเข้าไปอีก ”
“ อ้อ ถ้าเป็นเรื่องนี้ข้าเข้าใจ ดารีลเองก็กังวลเรื่องเดียวกับท่านพ่อ เพราะเขาถามหยั่งเชิงข้าเช่นกัน ถ้าเขาติดใจเรื่องนี้แล้วแจ้งแก่วาลาน ป่านนี้คงมีคนมาพบพวกเราแล้ว หมอนั่นชมท่านพ่อเรื่องที่พยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าว่าเขาคงไม่คิดอะไรแปลกๆ กับพวกเราหรอก ”
“ อย่างนั้นรึ ”
อาเธอร์พูดเบาๆ พลางพยักหน้า
“ เห็นหรือไม่ว่าท่านคิดมากไปเอง เขาก็ดีกับพวกเราเหมือนท่านดีมีนนั่นแหละ ลืมเรื่องในทุ่งหญ้าแล้วหรือ ”
คาโลไรน์ได้ทีรีบว่าขึ้น
“ ไม่ลืมอยู่แล้ว ข้าก็แค่รู้สึกว่าเขาแปลกๆ เท่านั้นเอง ”
“ ผู้ใช้เวทมนต์คนไหนไม่แปลกบ้างล่ะ ”
“ ก็ได้ๆ ข้ายอม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังใหม่สำหรับเรา ”
อาเธอร์ยกมือยอมแพ้
ส่วนฟิโลโซเฟอร์นั่นยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าหนุ่มน้อยคนนั้นจะไม่เป็นภัย
คืนนั้นเขากลับขึ้นห้องไปนอนโดยไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
กลิ่นหอมจางๆ ยังลอยอ้อยอิงตามเนื้อตัวที่สัมผัสกับชุดคลุมของหนุ่มน้อยคนนั้น
เป็นกลิ่นที่อบอุ่นน่าไว้วางใจ
เขาได้แต่สงสัยว่านี่คือกลิ่นของอะไร
เด็กน้อยหลับไปอย่างเป็นสุข
และไม่ฝันอะไรเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ