โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

33) สองเหรียญทอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ดารีลหันไปมองหน้าเขาทำท่าเหมือนจะยิ้มแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยิ้ม

 

“ อาหารสามจานของเจ้าไม่พร่องสักนิด   ไม่ไหวเลยนะ   ร้านนี้เป็นร้านชื่อดัง   ทำแบบนี้เจ้าของร้านจะคิดอย่างไร ”

 

อยู่ๆ ดารีลก็พูดขึ้น

 

“ มันช่วยไม่ได้นี่นา   แต่ขนมหวานหมดเกลี้ยงนะ   น้ำชาก็เกือบหมด   หรือข้าต้องกินกากชาเข้าไปด้วย   เจ้าของร้านจึงจะพอใจ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ว่า

 

“ และข้าก็แอบเอาชาจากข้างนอกเข้ามา   ทั้งที่ชาของทางร้านเป็นชาชั้นสูง   ดูชั่วร้ายเหมือนกัน   มาเก็บหลักฐาน ”

 

เขาชี้ไปที่ถ้วยชาของฟิโลโซเฟอร์

เด็กชายจึงเลื่อนไปให้เขา

ดารีลตักกากชาลงในเตา

วนนิ้วรอบเตาหนึ่งรอบก็เกิดไฟสีฟ้าเผากากชาหายไปในพริบตา

 

“ เก็บสามจานนี้ด้วยไหม ”

 

ฟิโลโซเฟอร์นึกสนุก

 

“ ไม่ดีกว่า   มันเป็นของแห้งนี่นะ   เจ้าอยากห่อกลับบ้านหรือไม่ ”

 

พูดถึงบ้านเด็กชายก็สะดุ้ง

 

“ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว   ท่านแม่ของข้าเป็นห่วงหรือยังนี่ ”

 

“ สงสัยเจ้าไม่ได้ออกจากบ้านอีกแน่นอน ”

 

ดารีลทำเสียงขู่

แล้วหันไปสั่นกระดิ่งทองเหลืองเพื่อเรียกบริกร

แต่คนที่เข้ามาในห้องกลับเป็นถึงเจ้าของร้าน

เขาเป็นชายสูงอายุที่ยังดูแข็งแรง

สวมเสื้อผ้าหรูหรา   ผมยาวสีเทาหวีเรียบสะอาดสะอ้าน

 

“ นึกไม่ถึงวันนี้ทางร้านของเราจะได้มีโอกาสต้อนรับแขกคนสำคัญ ”

 

เขากล่าวกับดารีลพลางปรายหางตามาทางฟิโลโซเฟอร์เล็กน้อย

หนุ่มน้อยพ่อมดยื่นมือให้อีกฝ่ายจับแบบมึนๆ อึนๆ

แต่ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร

หลังจากปล่อยมือแล้วจึงนิ่งเฉย

 

“ ต้องขออภัย   ถ้าหากข้าทราบล่วงหน้าว่าท่านจะมา   ก็จัดอาหารชุดพิเศษไว้ต้อนรับ ”

 

เขาว่าพลางมองจานอาหารที่เหลืออย่างผิดหวัง

 

“ น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งมารู้ตอนได้ยินเสียงท่านเป่าขลุ่ย   เด็กในร้านก็ไม่เตือนข้าเลย ”

 

“ อะไรนะ   แค่ได้ยินเสียงขลุ่ยท่านก็รู้แล้วหรือว่าเป็นใคร   ท่านนี่สุดยอดจริงๆ ”

 

เด็กชายว่า

 

“ เจ้าไม่รู้อะไร   คนผู้นี้มีลักษณะเฉพาะ   ส่วนเจ้าได้นั่งตามลำพังกับเขาเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายนัก   เจ้าเป็นใครกัน ” 

 

“ เขาเป็นเด็กชายคนหนึ่ง   ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองมา   และข้ามีเรื่องต้องเตือนเขา   อย่างเช่นการแต่งตัว ”

 

ดารีลตอบแทน

 

“ ก็ข้ามัวแต่สับสน   เลยลืมเปลี่ยนชุด   ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาทั้งอย่างนี้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เถียง

 

“ เดี๋ยวนี้ท่านวิตกเรื่องการแต่งกายของชาวเมืองแล้วหรือ ”

 

ชายเจ้าของร้านอาหารถาม

 

“ ส่วนเรื่องอาหารที่เหลือ   เป็นเพราะพวกเราอิ่มกันมาก   แต่อย่างน้อยขนมหวานก็หมด ”

 

อยู่ๆ ดารีลก็เปลี่ยนเรื่อง

 

“ ข้าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ”

 

“ ถ้าท่านไม่มีเรื่องใดต้องกังวลแล้ว   ก็คิดราคาอาหารมาเถอะ ”

 

“ เพียงท่านก้าวเท้าเข้ามาก็เป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว   ข้าหวังเพียงจะมีโอกาสต้อนรับท่านอีก   เรื่องราคาอาหารโปรดอย่าใส่ใจ ”

 

ดารีลชำเลืองมองสมุดเมนูอาหาร

เขาวางเหรียญทองคำลงบนโต๊ะสองเหรียญ

จากนั้นคว้าข้อมือฟิโลโซเฟอร์ลากออกไปจากที่นั่น

โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

 

“ อาหารทั้งหมดตั้งสองเหรียญทองเลยหรือ ”

 

เด็กชายถามขึ้นเมื่อออกมาถึงหน้าร้าน

 

เขารู้สึกสะพรึงกับราคานั้น

 

“ ข้าจ่ายเกินราคาไปต่างหากล่ะ”

 

ดารีลตอบด้วยสีหน้าไม่เดือดร้อน

 

“ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ”

 

เขาสงสัย

 

“ ก็ไม่ทำไมหรอก   ข้าแค่อยากตัดปัญหา   นี่เจ้าอย่าสงสัยเรื่องเล็กน้อยได้หรือไม่ ”

 

“ สองเหรียญทองมันไม่น้อยเลยนะ   และข้าไม่เห็นว่าเราจะมีปัญหากับทางร้าน   อีกอย่างคนผู้นั้นที่คุยกับเจ้าน่ะ   ดูเหมือนเขาจะชอบเจ้าเสียด้วย ”

 

“ เอาเป็นว่าข้าเต็มใจจ่ายเจ้าอย่ากังวลไป   ตอนนี้มองท้องฟ้าสิเย็นมากแล้ว   เจ้าก็ควรกลับบ้านเสียก่อนที่จะมีใครเป็นห่วง   ข้าเองก็ได้เวลากลับแล้วเช่นกัน ”

 

ดารีลว่าแล้วออกเดิน

 

“ แยกกันตรงนี้นะ   เดินทางกลับดีๆ ล่ะ   แล้วอย่าแอบไปซุกซนที่ไหนอีก ”

 

หนุ่มน้อยนักเวทเดินไปโบกมือไปโดยไม่หันกลับมามอง

 

“ เดียวก่อน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์วิ่งตามไปคว้าชายเสื้อคลุมของเขาไว้

 

“ มีอะไรอีกล่ะ ”

 

ดารีลหันกลับมา

 

“ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก ”

 

เด็กชายว่า

 

“ สำคัญมากหรือเปล่าล่ะ ”

 

“ ใช่   มากถึงมากที่สุด ”

 

“ ก็ได้   ว่ามา ”

 

“ คือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เอาสองมือไขว้หลังบิดไปมาท่าทางเก้อเขิน

 

“ ยังไงล่ะ   ข้ามีเวลาไม่มากนะ ”

 

“ คือว่า   เวลาที่เดินออกจากบ้าน   ข้าจะมีวิธีจำเส้นทางในแบบของข้าเอง   แต่ถ้าหากมีใครบางคนพาออกนอกเส้นทางแล้วล่ะก็   ข้าจะหลงทันที ”

 

“ หา ”

 

คนตัวโตกว่าลากเสียงต่ำ

 

“ ดารีลเจ้าต้องรับผิดชอบข้าแล้วล่ะ ”

 

เด็กชายทำตาละห้อยพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

 

“ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกชื่อถนนมา ”

 

“ อะไรคือชื่อถนน ”

 

คราวนี้ดารีลมีท่าทีตกตะลึงจริงๆ

 

“ เดี๋ยวนะ   จริงอยู่ว่าเจ้าเพิ่งย้ายมาใหม่   แต่ชื่นถนนหน้าบ้านก็ควรรู้มิใช่หรือ   อย่าบอกนะว่าไม่มีใครสอนเจ้าเรื่องนี้ ”

 

“ ก็จะทำไมล่ะ   ตอนอยู่ที่ซีนาร์ยข้าไม่สนใจถนนสักนิด   เดินไปได้ทุกที่จำแค่ทิศทาง   มีแนวป่า   หุบเขา   และลำธารเป็นเครื่องหมาย   ข้าไม่เคยหลง   แม้ตอนกลางคืนอาศัยแสงดาวข้าก็หาทางกลับบ้านได้   แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน   มีถนนมากมายวุ่นวายสับสน   มองไปทางไหนก็เหมือนๆ กัน   นี่ต่อให้ตะวันตกดินข้าก็ไม่แน่ใจว่าดวงดาวจะสามารถพาข้ากลับถึงบ้าน ”

 

“ ถนนที่โอรีเวียมีแบบแผน   ถนนสายหลักเป็นเส้นตรงเจ็ดเส้นเชื่อมระหว่างประตูเมืองกับปราสาทขาว   สายรองหมุนเป็นวงกลมสิบสามวง   เจ้าต้องเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ถนนเส้นใดและจุดหมายอยู่ที่ใดแน่   เพียงเท่านี้ก็ยากแก่การหลงแล้ว   การเดินทางโดยอาศัยจำทิศทางนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะพบทางตัน ”

 

ดารีลว่า

 

“ ดูเหมือนตอนนี้จะสายเกินไปที่จะเรียนรู้แล้ว ”

 

เด็กชายว่าเสียงละห้อย

ดารีลหลับตาสีหน้าเคร่งขรึม

 

“ เอาล่ะบอกมาสิว่าจำอะไรได้บ้าง   รอบๆ บ้านของเจ้ามีสิ่งใดเป็นจุดน่าสนใจ ”

 

“ ข้าจำได้ทั้งหมดแหละ   ถ้าไปถึงถนนเส้นนั้นให้หลับตาเดินยังได้   แต่มันก็ไม่มีอะไรเด่นเป็นแค่บ้านตึกสามสี่ชั้นเบียดเสียดกัน   ถนนเส้นถัดไปเป็นตลาด   อ้อตอนนั้นข้าเดินผ่านร้านขายหนังสือที่เต็มไปด้วยเด็กๆ นักเรียนด้วยล่ะ ”   

 

“ ชื่อร้าน ” 

 

“ ข้าไม่ได้อ่าน ”

 

ดารีลถอนหายใจเฮือก

สีหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยของความกลัดกลุ้ม

 

“ เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ   ในเมืองใหญ่ที่สับสนวุ่นวาย   เจ้าต้องหัดสังเกตให้มากกว่านี้ ”

 

“ ก็ข้าไม่รู้นี่   แต่ก่อนก็เคยเดินทางคนเดียว   แม้บ้านเดิมข้าจะอยู่ชนบทแต่ตัวเมืองซีนาร์ยก็เดินจนรอบไม่เคยหลง   นึกไม่ถึงที่โอรีเวียมีถนนมากมายผู้คนคับคั่งราวกับเขาวงกต ” 

 

ฟิโลโซเฟอร์แก้ตัว

 

“ นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง   และการที่เจ้าหลงทางก็ไม่ได้เป็นความผิดของถนน ”

 

“ แบบนี้แล้วข้าควรทำอย่างไรล่ะ ”

 

เด็กชายนั่งลงกับพื้นถนน

ยกมือกุมขมับรู้สึกหมดหนทางอย่างจริงจัง

 

“ มีอยู่ทางหนึ่ง   ชายชราสองคนนั้น   ที่เข้ามาหาเรื่องเจ้า   พวกเขาอาจช่วยได้ ”

 

“ ไม่มีทาง   ตาแก่ใจร้าย   ต่อให้ต้องนอนข้างถนนข้าก็ไม่ไปขอร้องพวกเขา ”

 

“ ถ้าเจ้าไม่อยากข้าทำให้แทนก็ได้ ”

 

เด็กชายลุกพรวดขึ้นคว้าข้อมือเขาไว้

 

“ อย่านะ   พวกเขาเป็นคนไม่ดี   เจ้าเข้าไปหามีแต่จะพาเรื่องปวดหัวมาให้ ”

 

“ เจ้านี่ตัดสินคนไวจริง   เพิ่งคุยกันครั้งเดียวก็คิดไปไกลแล้ว   เอาเถอะนั่นจะเป็นทางเลือกสุดท้าย   ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองคิดดีๆ   มีอะไรบ้างที่จำได้อย่างสถานที่หรือคนที่มีชื่อเสียง ”

 

“ ท่านดีมีน ”

 

เด็กชายตอบอย่างไว

ดารีลเลิกคิ้ว

 

“ พ่อมดดีมีนอย่างนั้นหรือ ”

 

“ ใช่เขานั่นแหละเจ้ารู้จักหรือไม่ ”

 

“ ก็ย่อมรู้   นี่เป็นตัวเลือกที่ดี   พ่อมดดีมีนเดินทางบ่อยอยู่ไม่เป็นที่   ให้ตามหาเขาข้าว่าคงงานหนักเอาการ   ว่าแต่พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา   ข้ายังต้องเชื่ออีกหรือไม่ ”

 

“ ท่านพ่อเคยมีตำแหน่งในโอรีเวียแต่มันเป็นอดีตไปแล้ว ”

 

“ ถ้าอย่างนั้นเขาคงรู้เรื่องที่พวกเจ้าฝ่าหุบเขามรณะใช่ใหม ”

 

แม้น้ำเสียงจะราบเรียบแต่สายตาที่จ้องเด็กน้อยนั้นคมกริบ

 

“ เขาคือคนในสภา   และเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย   เรื่องนี้จึงปิดเป็นความลับ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตอบตามจริง

 

“ อ้อ   ความคิดของบิดาเจ้าน่าสนใจ   เอาล่ะมีรายชื่ออื่นที่น่าสนใจหรือเปล่า ”

 

“ วอลค่อน   เขามีโรงแรมเล็กๆ บนถนนสายหนึ่ง ”

 

ดารีลก้มหน้ามองพื้น

 

“ แล้วกัน   เจ้านี่เป็นคนสุดโต่งจริงๆ พอถามหาคนมีชื่อเสียงก็เรียกเสียระดับสูงมา   แต่อีกคนกลับไร้ที่มาที่ไปเหลือเชื่อเลย ”

 

“ มันช่วยไม่ได้นี่นาพวกเราเพิ่งมาถึงที่รู้จักก็แค่มิตรสหายเดิมเท่านั้น ”

 

หนุ่มน้อยหันไปมองพระอาทิตย์อีกครั้ง

กิริยานั้นทำเอาฟิโลโซเฟอร์ใจเสีย

 

“ เจ้ากลับไปเถอะข้าไม่เป็นไรหรอก ”

 

เด็กชายว่า

 

“ ทำไมล่ะ ”

 

“ ข้ารู้   เจ้าคงมีใครบางคนรอพบอยู่   ไปหาพวกเขาเถอะ   ธุระของเจ้าข้าไม่รบกวนแล้ว ”

 

เด็กน้อยเอ่ยเสียงเศร้า

 

“ ก็จริง   แต่ถึงแม้ข้าไม่ไปก็ไม่มีใครตาย   ดังนั้นแล้วข้าจึงเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุด ” 

 

คำพูดนั้นทำเอาเด็กชายตัวน้อยหันขวับไปจ้องหน้าเขา

ฟิโลโซเฟอร์ยิ้มหวานด้วยหัวใจพองโต

คำว่าสำคัญที่สุดเปี่ยมความหมายยิ่งนัก

แต่เด็กชายอาจเข้าใจเนื้อความผิดไป

 

“ ทำไมข้าพูดอะไรผิดหรืออย่างไร   เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วมาคิดหาทางกันต่อ   มีสถานที่ใดที่เจ้าเคยไปเอาที่เด่นๆ และอยู่ใกล้บ้าน ”

 

“ จริงสิข้าเคยไปสุสาน   พวกเราไปเคารพหลุมศพคุณปู่   ข้าจำสีธงประจำรถม้าและจำถนนที่ต้องลงได้   แต่จากนี่ไปสุสานอย่างไรข้าไม่รู้ ”

 

“ อย่างนี้ค่อยน่าฟังหน่อย ”

 

ดารีลยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

เป็นรอยยิ้มที่ลึกลับและชวนให้ลุ่มหลง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา