โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) ท้องถนนเมืองโอรีเวีย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมื่อความมืดโรยตัวเข้ามาอากาศก็เริ่มเย็นเยือก   ประตูเหล็กถูกปิดไปนานแล้ว   และจะไม่ฟังเสียงหรือคำวิงวอนใดจากด้านนอกจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า

 

“ แล้วพวกเจ้าล่ะ   จะอยู่ที่นี่เป็นการถาวรเลยหรือเปล่า ”

 

เนเมนสงสัย

เขาเริ่มแจกจ่ายอาหารให้ลูกน้องทุกๆ คน

และแบ่งให้อาเธอร์ด้วย

 

“ ข้ายังไม่แน่ใจเลยท่านเนเมน  จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น   แต่ถ้าคิดถึงการเล่าเรียนของลูกๆ ข้าคงต้องอยู่ที่นี่นานหน่อย ”

 

“ เป็นความคิดที่ดี   พวกเจ้าหาโรงเรียนที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว   แม้แต่ทายาทของกษัตริย์ห่างไกล   ยังถูกส่งตัวมาที่นี่   จะว่าไปเจ้านั่นก็เรียนอยู่ในปราสาทแห่งโอรีเวียเช่นกัน ”

 

“ ใครหรือ ”

 

อาเธอร์สงสัย

 

“ ก็ดารีลไง   เห็นว่าวิ่งพล่านเรียนไปทุกแขนง   หมอนั่นความใฝ่รู้สูงมาก

 

เขาพูดกับอาเธอร์

 

“ ข้าจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกับเขาจริงๆ น่ะหรือ ”

 

 ฟิโลโซเฟอร์ตื่นเต้น  

เขาเริ่มมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง 

นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกประทับใจดารีลตั้งแต่แรกเห็น

 

“ เตือนไว้ก่อนนา   คนอย่างเขาไม่ยินดีคบหากับใครหรอก   แต่จะว่าไปพวกผู้ใช้เวทมนต์ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น   เข้าถึงยาก ”

 

“ ดารีลยังเป็นนักเวทฝึกหัดสินะ   ตามหลักแล้วเขาต้องเลือกพ่อมดอาวุโสสักคนเป็นอาจารย์   และคอยติดตามคนผู้นั้นไปตลอดจนกว่าจะแข็งแกร่งพอ   แต่ท่านพูดเหมือนกับว่าเขาเข้าเรียนในชั้นปรกติ   ใครคืออาจารย์ของเขากัน   เหตุใดจึงไม่ดูแลให้ดี   หรือข้าเข้าใจอะไรผิด ”

 

อาเธอร์ถาม

 

“ ถูกอย่างเจ้าว่า   หมอนั่นถือตัวเป็นอย่างมาก   เขาไม่ยอมรับใครเป็นอาจารย์เลย   เชื่อหรือไม่แม้แต่ท่านจอมเวทวาลานยังเสนอตัวเอง   คิดดูสิจอมเวทวาลานเจ้าแห่งเมืองโอรีเวียที่ทุกคนต่างยำเกรงเชียวนะ   ผู้ใช้เวทย์มนต์มากมายต่างหมายตาอยากได้เป็นอาจารย์   แต่เขากลับเขาปฏิเสธหน้าตาเฉย      เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว ” 

 

“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วเขาเรียนการใช้คาถาได้อย่างไร ”

 

คาโลไรน์สงสัย

 

“ ข้าก็ไม่รู้แต่ได้ยินเขาว่ากันว่าเจ้านั่นเรียนด้วยตัวเอง   สภาผู้ใช้เวทย์มนต์วิตกเรื่องนี้มากแต่ท่านวาลานไม่เห็นว่าเป็นปัญหา   คนอื่นจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ”

 

 

เสียงกระพรวนรถม้าดังกรุ๊งกริ๊งมาจากนอกเต็นท์

เด็กๆต่างหันไปมองด้วยความสนใจ

 

“ รถม้าเที่ยวสุดท้ายของวัน   พวกเขามาส่งทหารยามผลัดกลางคืนน่ะ ”

 

เนเมนว่า

 

“ ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องกล่าวลาแล้ว   ข้าจะขึ้นรถม้าเที่ยวนี้เข้าในเมือง ” 

 

อาเธอร์กล่าว

 

“ แล้วกัน   ข้านึกว่าพวกเจ้าจะพักอยู่กับข้าเสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อก็ได้   ไม่เห็นต้องรีบร้อน ”  

 

“ อย่าเลยลำบากท่านเปล่าๆ ข้าตั้งใจจะไปพักโรงแรมตั้งแต่แรกแล้ว   ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกนักบางทีอาจแวะบ้านของวอลค่อนก่อน   จากกันนานมากแล้วกะจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ”

 

“ ดีๆ เห็นหมอนั่นนั่นบ่นถึงเจ้าบ่อยๆ อยู่ๆ โผล่พรวดพราดไปคงตกใจน่าดู   อ้อมีอีกเรื่องที่เจ้าคงไม่รู้   ตอนนี้วอลค่อนเปิดกิจการโรงแรม   พวกเจ้าก็ถือโอกาสพักที่นั่นเลยสิ ”

           

 

บนถนนสายหลักของเมือง   อาเธอร์เดินย่ำไปบนพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกทรวดทรงโอ่อ่า   แม้เวลาจะล่วงเลยไปมากแล้วแต่ท้องถนนก็ยังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน   

 

พวกเขาเดินเกาะกลุ่มกันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลัดหลง   แสงไฟจากตะเกียงโคมทำให้ถนนยังคงสว่างไสวห้างร้านต่างจุดโคมแสงสีเพื่อจะเรียกความสนใจ   ผู้คนที่เดินตามท้องถนนล้วนแต่งกายด้วยชุดสวยงามมีบางคนที่หิ้วโคมไฟอันเล็กๆ ติดมือมาด้วย   

 

อาเธอร์เดินปะปนไปกับคนเหล่านั้น   บางครั้งต้องคอยหลบรถเข็นที่จอดเกะกะ   บางครั้งต้องคอยระวังม้าที่จะวิ่งผ่านมา   มีหลายคนที่เดินผ่านไปแล้วเหลียวมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจ   คงเป็นเพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น   เนื้อตัวมอมแมม   คาโอเรียต้องกอดกระต่ายลูเอาไว้การที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนมากมายทำให้มันตื่นกลัว

 

 

บางครั้งอาเธอร์ต้องคอยระวังดึงคาโอเรียให้พ้นทาง   เมื่อขบวนม้านับสิบตัวลากรถม้าที่เชื่อมต่อกันหลายๆ คันลากผ่านไป   เสียงกระพรวนที่ห้อยรอบคอม้าดังกรุ๊งกริ๊งสดใสในอากาศ

 

“ ท่านพ่อนั่นใช่เกวียนหรือเปล่า ”

 

คาโอเรียชี้ไปที่ขบวนรถม้าดังกล่าว

 

“ นั่นเป็นรถม้าโดยสารมันรับจ้างขนส่งผู้คนตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้   ที่ซีนาร์ยของเราก็มีแบบนี้เหมือนกัน   แต่เราใช้รถม้าคันเล็กหรือไม่ก็เกวียน ”

 

อาเธอร์ตอบ

เขารีบจูงมือคาโอเรียให้เดินเร็วขึ้น

 

           

ตึกแถวแห่งหนึ่ง   ภายในสว่างจ้าด้วยตะเกียงโคมขนาดใหญ่และมีเสียงจอแจดังออกมาเป็นระยะ   ประตูหน้าเปิดกว้างเหมือนรอยยิ้มยินดีและพร้อมให้การต้อนรับ   อาเธอร์มองเลยขึ้นไปตรงป้ายเหนือประตูตัวหนังสือสีทองนูนเขียนว่า   วอลค่อนยินดีต้อนรับ

 

เขาพาร่างก้าวเข้าไปหาแสงสว่างและความอบอุ่นภายในนั้น   กลิ่นเหล้ากลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง   ผู้คนแต่งกายแปลกประหลาดมากมายอัดแน่นอยู่ตามโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งเรียงราย   ชายร่างอ้วนที่นั่งโต๊ะตัวในสุดยกซุบร้อนๆ ขึ้นซดโดยไม่ใช้ช้อน   เขาหันไปหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ 

 

อาเธอร์กวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดเขาก็พบในสิ่งที่เขาต้องการ   ชายกลางคนรูปร่างกำยำยืนอยู่กลางห้องผมสีทองเข้มรวบตึงไว้ด้านหลัง     ชายคนนั้นกำลังบอกอะไรบางอย่างกับบริกรด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ เฮ้ ! ”

 

อาเธอร์ร้องขึ้น

 

คนในบริเวณนั้นหันขวับมามอง   แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของอาเธอร์มิได้จับจ้องอยู่ที่ตนพวกเขาต่างก็หันหลับไปคุยกันต่อ   ในขณะที่บางคนยังจับจ้องพวกเขาด้วยความสนใจ

 

“ เฮ๊ย! พ่อหนุ่มผมทองคนนั้นน่ะ ”

 

คราวนี้สำเร็จชายคนนั้นหันมามองด้วยความสงสัย   เมื่อเห็นว่าเป็นอาเธอร์ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นแล้วในพลันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร่า   เขาอ้าแขนพลางเดินเข้ามาทั้งสองสวมกอดกันด้วยความยินดี

 

“ สบายดีหรือวอลค่อน ”

 

อาเธอร์ถาม

เขาตบหลังเพื่อนอย่างรักใคร่

 

“ ก็ดี   ให้ตายสินึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว   เป็นไงมาไงล่ะสารรูปถึงได้ดูไม่จืดเอาเสียเลย   ว่าแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร   มาเมื่อไหร่   มาทำอะไรหรือว่ากลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไป   แล้วข้างหลังนั่นใคร ”

 

“ ใจเย็นๆ ข้าตอบคำถามเจ้าไม่ทันแล้ว ”

 

อาเธอร์ท้วงขึ้น

 

“ แล้วตกลงมันยังไง   ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว ”

 

“ เรื่องมันยาวน่ะ   แต่อย่าห่วงเลยข้ายังอยู่ที่นี่อีกนานมีเวลาเล่าแน่นอน   ดูท่ากิจการของเจ้าจะไปได้สวยเลยนะ   ว่าอย่างไรตัดสินใจวางดาบเป็นการถาวรแล้วใช่ไหม   แล้วตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวหรือยัง ”

 

“ ฮ่า  ตอนนี้มีสงครามเสียที่ไหนเล่าไม่อยากวางก็ต้องวาง   ข้าเป็นแค่ทหารรับจ้างยามสงบเราก็พัก   แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสงบนักหรอก   ข่าวลือเกี่ยวกับสงครามดูจะหนาหูขึ้นทุกวัน   อ้อแล้วนั่นจะไม่แนะนำญาติๆ ที่เจ้าพามาจากซีนาร์ยให้รู้จักหน่อยหรือ ”

           

เมื่อได้รับการแนะนำแล้วเขาก็ไล่จับมือทีละคน  

โดยเฉพาะฟิโลโซเฟอร์เขาบีบมือแน่นเป็นพิเศษ

 

“ เด็กคนนี้ท่าทางเอาเรื่อง   โตขึ้นต้องเก่งพอๆ กับข้าเลยทีเดียว ”

 

“ งั้นสิทำไมเจ้าไม่หาลูกเป็นของตัวเองสักที   ข้าเชื่อว่าลูกชายของเจ้าก็คงจะเก่งพอๆ กับข้านี่แหละ ”

 

อาเธอร์แหย่ตอบ

 

“ ก็คิดอยู่เหมือนกัน   แต่คงช้าไปสิบปี   โอรีเวียเองก็ไม่สามารถหนีคำสาปวิปริตนั้นพ้น ”

 

วอลค่อนมีสีหน้าสลดลง

 

“ โทษทีข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น   แต่เชื่อเถอะไม่ช้าก็เร็วคำสาปนี้ต้องสลายไป   ตราบใดที่สภาพ่อมดยังตั้งมั่นอยู่   ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ”

 

อาเธอร์ปลอบเขาบีบไหล่เพื่อนเบาๆ

 

“ วอลค่อนพวกข้าเดินทางมาไกลเหลือเกิน   ใจจริงข้าอยากจะดื่มกินกับเจ้าจนถึงเช้าเหมือนที่เคยทำในอดีต   แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ไหวเสียแล้ว   ว่าแต่เจ้าพอจะมีห้องว่างไห้เราสักห้องไหม ”

 

“ มันต้องมีอยู่แล้ว   ต่อให้ไม่มีนะแขกห้องใดห้องหนึ่งต้องมีอันกระเด็นออกจากห้องแน่ ”

 

“ โอ   อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ”

 

คาโลไรน์ท้วง

 

“ ข้าล้อเล่นน่าห้องส่วนตัวข้าก็มี   มาทางนี้สิข้าจะพาไป   ชาร์กีรอลดูลูกค้าด้วย ”

 

ประโยคสุดท้ายเขาหันไปบอกบริกรที่ยืนอยู่หน้าประตู

           

วอลค่อนเดินนำขึ้นบันใดจนถึงชั้นสาม

ระเบียงแคบๆ ทาสีเขียวอ่อนทำให้บรรยากาศดูทึมๆ

 

“ ห้องนี้ท่าจะเหมาะ   ช่วงนี้ห้องพักเต็มเกือบทุกห้อง   คงจะเสียงดังไปบ้าง   อดทนหน่อยก็แล้วกัน ”

 

เขาไขกุญแจแล้วส่งตะเกียงให้อาเธอร์

 

“ ตามสบายนะข้าจะให้เด็กเอาอาหารขึ้นมาส่ง ”

 

“ อย่าลำบากเลยเรากินกันมาบ้างแล้ว ”

 

อาเธอร์บอก

วอลค่อนพยักหน้าแสดงท่าทีว่าเข้าใจ  

เขายิ้มให้ทุกคนก่อนจะปิดประตูเบาๆ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา