โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.79K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) ท้องถนนเมืองโอรีเวีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อความมืดโรยตัวเข้ามาอากาศก็เริ่มเย็นเยือก ประตูเหล็กถูกปิดไปนานแล้ว และจะไม่ฟังเสียงหรือคำวิงวอนใดจากด้านนอกจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า
“ แล้วพวกเจ้าล่ะ จะอยู่ที่นี่เป็นการถาวรเลยหรือเปล่า ”
เนเมนสงสัย
เขาเริ่มแจกจ่ายอาหารให้ลูกน้องทุกๆ คน
และแบ่งให้อาเธอร์ด้วย
“ ข้ายังไม่แน่ใจเลยท่านเนเมน จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น แต่ถ้าคิดถึงการเล่าเรียนของลูกๆ ข้าคงต้องอยู่ที่นี่นานหน่อย ”
“ เป็นความคิดที่ดี พวกเจ้าหาโรงเรียนที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แม้แต่ทายาทของกษัตริย์ห่างไกล ยังถูกส่งตัวมาที่นี่ จะว่าไปเจ้านั่นก็เรียนอยู่ในปราสาทแห่งโอรีเวียเช่นกัน ”
“ ใครหรือ ”
อาเธอร์สงสัย
“ ก็ดารีลไง เห็นว่าวิ่งพล่านเรียนไปทุกแขนง หมอนั่นความใฝ่รู้สูงมาก
เขาพูดกับอาเธอร์
“ ข้าจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกับเขาจริงๆ น่ะหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตื่นเต้น
เขาเริ่มมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกประทับใจดารีลตั้งแต่แรกเห็น
“ เตือนไว้ก่อนนา คนอย่างเขาไม่ยินดีคบหากับใครหรอก แต่จะว่าไปพวกผู้ใช้เวทมนต์ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เข้าถึงยาก ”
“ ดารีลยังเป็นนักเวทฝึกหัดสินะ ตามหลักแล้วเขาต้องเลือกพ่อมดอาวุโสสักคนเป็นอาจารย์ และคอยติดตามคนผู้นั้นไปตลอดจนกว่าจะแข็งแกร่งพอ แต่ท่านพูดเหมือนกับว่าเขาเข้าเรียนในชั้นปรกติ ใครคืออาจารย์ของเขากัน เหตุใดจึงไม่ดูแลให้ดี หรือข้าเข้าใจอะไรผิด ”
อาเธอร์ถาม
“ ถูกอย่างเจ้าว่า หมอนั่นถือตัวเป็นอย่างมาก เขาไม่ยอมรับใครเป็นอาจารย์เลย เชื่อหรือไม่แม้แต่ท่านจอมเวทวาลานยังเสนอตัวเอง คิดดูสิจอมเวทวาลานเจ้าแห่งเมืองโอรีเวียที่ทุกคนต่างยำเกรงเชียวนะ ผู้ใช้เวทย์มนต์มากมายต่างหมายตาอยากได้เป็นอาจารย์ แต่เขากลับเขาปฏิเสธหน้าตาเฉย เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว ”
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วเขาเรียนการใช้คาถาได้อย่างไร ”
คาโลไรน์สงสัย
“ ข้าก็ไม่รู้แต่ได้ยินเขาว่ากันว่าเจ้านั่นเรียนด้วยตัวเอง สภาผู้ใช้เวทย์มนต์วิตกเรื่องนี้มากแต่ท่านวาลานไม่เห็นว่าเป็นปัญหา คนอื่นจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ”
เสียงกระพรวนรถม้าดังกรุ๊งกริ๊งมาจากนอกเต็นท์
เด็กๆต่างหันไปมองด้วยความสนใจ
“ รถม้าเที่ยวสุดท้ายของวัน พวกเขามาส่งทหารยามผลัดกลางคืนน่ะ ”
เนเมนว่า
“ ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องกล่าวลาแล้ว ข้าจะขึ้นรถม้าเที่ยวนี้เข้าในเมือง ”
อาเธอร์กล่าว
“ แล้วกัน ข้านึกว่าพวกเจ้าจะพักอยู่กับข้าเสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อน ”
“ อย่าเลยลำบากท่านเปล่าๆ ข้าตั้งใจจะไปพักโรงแรมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกนักบางทีอาจแวะบ้านของวอลค่อนก่อน จากกันนานมากแล้วกะจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ”
“ ดีๆ เห็นหมอนั่นนั่นบ่นถึงเจ้าบ่อยๆ อยู่ๆ โผล่พรวดพราดไปคงตกใจน่าดู อ้อมีอีกเรื่องที่เจ้าคงไม่รู้ ตอนนี้วอลค่อนเปิดกิจการโรงแรม พวกเจ้าก็ถือโอกาสพักที่นั่นเลยสิ ”
บนถนนสายหลักของเมือง อาเธอร์เดินย่ำไปบนพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกทรวดทรงโอ่อ่า แม้เวลาจะล่วงเลยไปมากแล้วแต่ท้องถนนก็ยังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
พวกเขาเดินเกาะกลุ่มกันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลัดหลง แสงไฟจากตะเกียงโคมทำให้ถนนยังคงสว่างไสวห้างร้านต่างจุดโคมแสงสีเพื่อจะเรียกความสนใจ ผู้คนที่เดินตามท้องถนนล้วนแต่งกายด้วยชุดสวยงามมีบางคนที่หิ้วโคมไฟอันเล็กๆ ติดมือมาด้วย
อาเธอร์เดินปะปนไปกับคนเหล่านั้น บางครั้งต้องคอยหลบรถเข็นที่จอดเกะกะ บางครั้งต้องคอยระวังม้าที่จะวิ่งผ่านมา มีหลายคนที่เดินผ่านไปแล้วเหลียวมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจ คงเป็นเพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม คาโอเรียต้องกอดกระต่ายลูเอาไว้การที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนมากมายทำให้มันตื่นกลัว
บางครั้งอาเธอร์ต้องคอยระวังดึงคาโอเรียให้พ้นทาง เมื่อขบวนม้านับสิบตัวลากรถม้าที่เชื่อมต่อกันหลายๆ คันลากผ่านไป เสียงกระพรวนที่ห้อยรอบคอม้าดังกรุ๊งกริ๊งสดใสในอากาศ
“ ท่านพ่อนั่นใช่เกวียนหรือเปล่า ”
คาโอเรียชี้ไปที่ขบวนรถม้าดังกล่าว
“ นั่นเป็นรถม้าโดยสารมันรับจ้างขนส่งผู้คนตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ ที่ซีนาร์ยของเราก็มีแบบนี้เหมือนกัน แต่เราใช้รถม้าคันเล็กหรือไม่ก็เกวียน ”
อาเธอร์ตอบ
เขารีบจูงมือคาโอเรียให้เดินเร็วขึ้น
ตึกแถวแห่งหนึ่ง ภายในสว่างจ้าด้วยตะเกียงโคมขนาดใหญ่และมีเสียงจอแจดังออกมาเป็นระยะ ประตูหน้าเปิดกว้างเหมือนรอยยิ้มยินดีและพร้อมให้การต้อนรับ อาเธอร์มองเลยขึ้นไปตรงป้ายเหนือประตูตัวหนังสือสีทองนูนเขียนว่า วอลค่อนยินดีต้อนรับ
เขาพาร่างก้าวเข้าไปหาแสงสว่างและความอบอุ่นภายในนั้น กลิ่นเหล้ากลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง ผู้คนแต่งกายแปลกประหลาดมากมายอัดแน่นอยู่ตามโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งเรียงราย ชายร่างอ้วนที่นั่งโต๊ะตัวในสุดยกซุบร้อนๆ ขึ้นซดโดยไม่ใช้ช้อน เขาหันไปหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ
อาเธอร์กวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดเขาก็พบในสิ่งที่เขาต้องการ ชายกลางคนรูปร่างกำยำยืนอยู่กลางห้องผมสีทองเข้มรวบตึงไว้ด้านหลัง ชายคนนั้นกำลังบอกอะไรบางอย่างกับบริกรด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เฮ้ ! ”
อาเธอร์ร้องขึ้น
คนในบริเวณนั้นหันขวับมามอง แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของอาเธอร์มิได้จับจ้องอยู่ที่ตนพวกเขาต่างก็หันหลับไปคุยกันต่อ ในขณะที่บางคนยังจับจ้องพวกเขาด้วยความสนใจ
“ เฮ๊ย! พ่อหนุ่มผมทองคนนั้นน่ะ ”
คราวนี้สำเร็จชายคนนั้นหันมามองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าเป็นอาเธอร์ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นแล้วในพลันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร่า เขาอ้าแขนพลางเดินเข้ามาทั้งสองสวมกอดกันด้วยความยินดี
“ สบายดีหรือวอลค่อน ”
อาเธอร์ถาม
เขาตบหลังเพื่อนอย่างรักใคร่
“ ก็ดี ให้ตายสินึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว เป็นไงมาไงล่ะสารรูปถึงได้ดูไม่จืดเอาเสียเลย ว่าแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มาเมื่อไหร่ มาทำอะไรหรือว่ากลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไป แล้วข้างหลังนั่นใคร ”
“ ใจเย็นๆ ข้าตอบคำถามเจ้าไม่ทันแล้ว ”
อาเธอร์ท้วงขึ้น
“ แล้วตกลงมันยังไง ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว ”
“ เรื่องมันยาวน่ะ แต่อย่าห่วงเลยข้ายังอยู่ที่นี่อีกนานมีเวลาเล่าแน่นอน ดูท่ากิจการของเจ้าจะไปได้สวยเลยนะ ว่าอย่างไรตัดสินใจวางดาบเป็นการถาวรแล้วใช่ไหม แล้วตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวหรือยัง ”
“ ฮ่า ตอนนี้มีสงครามเสียที่ไหนเล่าไม่อยากวางก็ต้องวาง ข้าเป็นแค่ทหารรับจ้างยามสงบเราก็พัก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสงบนักหรอก ข่าวลือเกี่ยวกับสงครามดูจะหนาหูขึ้นทุกวัน อ้อแล้วนั่นจะไม่แนะนำญาติๆ ที่เจ้าพามาจากซีนาร์ยให้รู้จักหน่อยหรือ ”
เมื่อได้รับการแนะนำแล้วเขาก็ไล่จับมือทีละคน
โดยเฉพาะฟิโลโซเฟอร์เขาบีบมือแน่นเป็นพิเศษ
“ เด็กคนนี้ท่าทางเอาเรื่อง โตขึ้นต้องเก่งพอๆ กับข้าเลยทีเดียว ”
“ งั้นสิทำไมเจ้าไม่หาลูกเป็นของตัวเองสักที ข้าเชื่อว่าลูกชายของเจ้าก็คงจะเก่งพอๆ กับข้านี่แหละ ”
อาเธอร์แหย่ตอบ
“ ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่คงช้าไปสิบปี โอรีเวียเองก็ไม่สามารถหนีคำสาปวิปริตนั้นพ้น ”
วอลค่อนมีสีหน้าสลดลง
“ โทษทีข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น แต่เชื่อเถอะไม่ช้าก็เร็วคำสาปนี้ต้องสลายไป ตราบใดที่สภาพ่อมดยังตั้งมั่นอยู่ ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ”
อาเธอร์ปลอบเขาบีบไหล่เพื่อนเบาๆ
“ วอลค่อนพวกข้าเดินทางมาไกลเหลือเกิน ใจจริงข้าอยากจะดื่มกินกับเจ้าจนถึงเช้าเหมือนที่เคยทำในอดีต แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ไหวเสียแล้ว ว่าแต่เจ้าพอจะมีห้องว่างไห้เราสักห้องไหม ”
“ มันต้องมีอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีนะแขกห้องใดห้องหนึ่งต้องมีอันกระเด็นออกจากห้องแน่ ”
“ โอ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ”
คาโลไรน์ท้วง
“ ข้าล้อเล่นน่าห้องส่วนตัวข้าก็มี มาทางนี้สิข้าจะพาไป ชาร์กีรอลดูลูกค้าด้วย ”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปบอกบริกรที่ยืนอยู่หน้าประตู
วอลค่อนเดินนำขึ้นบันใดจนถึงชั้นสาม
ระเบียงแคบๆ ทาสีเขียวอ่อนทำให้บรรยากาศดูทึมๆ
“ ห้องนี้ท่าจะเหมาะ ช่วงนี้ห้องพักเต็มเกือบทุกห้อง คงจะเสียงดังไปบ้าง อดทนหน่อยก็แล้วกัน ”
เขาไขกุญแจแล้วส่งตะเกียงให้อาเธอร์
“ ตามสบายนะข้าจะให้เด็กเอาอาหารขึ้นมาส่ง ”
“ อย่าลำบากเลยเรากินกันมาบ้างแล้ว ”
อาเธอร์บอก
วอลค่อนพยักหน้าแสดงท่าทีว่าเข้าใจ
เขายิ้มให้ทุกคนก่อนจะปิดประตูเบาๆ
“ แล้วพวกเจ้าล่ะ จะอยู่ที่นี่เป็นการถาวรเลยหรือเปล่า ”
เนเมนสงสัย
เขาเริ่มแจกจ่ายอาหารให้ลูกน้องทุกๆ คน
และแบ่งให้อาเธอร์ด้วย
“ ข้ายังไม่แน่ใจเลยท่านเนเมน จนกว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น แต่ถ้าคิดถึงการเล่าเรียนของลูกๆ ข้าคงต้องอยู่ที่นี่นานหน่อย ”
“ เป็นความคิดที่ดี พวกเจ้าหาโรงเรียนที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แม้แต่ทายาทของกษัตริย์ห่างไกล ยังถูกส่งตัวมาที่นี่ จะว่าไปเจ้านั่นก็เรียนอยู่ในปราสาทแห่งโอรีเวียเช่นกัน ”
“ ใครหรือ ”
อาเธอร์สงสัย
“ ก็ดารีลไง เห็นว่าวิ่งพล่านเรียนไปทุกแขนง หมอนั่นความใฝ่รู้สูงมาก
เขาพูดกับอาเธอร์
“ ข้าจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกับเขาจริงๆ น่ะหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตื่นเต้น
เขาเริ่มมีความคาดหวังอย่างหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกประทับใจดารีลตั้งแต่แรกเห็น
“ เตือนไว้ก่อนนา คนอย่างเขาไม่ยินดีคบหากับใครหรอก แต่จะว่าไปพวกผู้ใช้เวทมนต์ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เข้าถึงยาก ”
“ ดารีลยังเป็นนักเวทฝึกหัดสินะ ตามหลักแล้วเขาต้องเลือกพ่อมดอาวุโสสักคนเป็นอาจารย์ และคอยติดตามคนผู้นั้นไปตลอดจนกว่าจะแข็งแกร่งพอ แต่ท่านพูดเหมือนกับว่าเขาเข้าเรียนในชั้นปรกติ ใครคืออาจารย์ของเขากัน เหตุใดจึงไม่ดูแลให้ดี หรือข้าเข้าใจอะไรผิด ”
อาเธอร์ถาม
“ ถูกอย่างเจ้าว่า หมอนั่นถือตัวเป็นอย่างมาก เขาไม่ยอมรับใครเป็นอาจารย์เลย เชื่อหรือไม่แม้แต่ท่านจอมเวทวาลานยังเสนอตัวเอง คิดดูสิจอมเวทวาลานเจ้าแห่งเมืองโอรีเวียที่ทุกคนต่างยำเกรงเชียวนะ ผู้ใช้เวทย์มนต์มากมายต่างหมายตาอยากได้เป็นอาจารย์ แต่เขากลับเขาปฏิเสธหน้าตาเฉย เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว ”
“ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วเขาเรียนการใช้คาถาได้อย่างไร ”
คาโลไรน์สงสัย
“ ข้าก็ไม่รู้แต่ได้ยินเขาว่ากันว่าเจ้านั่นเรียนด้วยตัวเอง สภาผู้ใช้เวทย์มนต์วิตกเรื่องนี้มากแต่ท่านวาลานไม่เห็นว่าเป็นปัญหา คนอื่นจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ”
เสียงกระพรวนรถม้าดังกรุ๊งกริ๊งมาจากนอกเต็นท์
เด็กๆต่างหันไปมองด้วยความสนใจ
“ รถม้าเที่ยวสุดท้ายของวัน พวกเขามาส่งทหารยามผลัดกลางคืนน่ะ ”
เนเมนว่า
“ ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องกล่าวลาแล้ว ข้าจะขึ้นรถม้าเที่ยวนี้เข้าในเมือง ”
อาเธอร์กล่าว
“ แล้วกัน ข้านึกว่าพวกเจ้าจะพักอยู่กับข้าเสียก่อนพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อก็ได้ ไม่เห็นต้องรีบร้อน ”
“ อย่าเลยลำบากท่านเปล่าๆ ข้าตั้งใจจะไปพักโรงแรมตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่ดึกนักบางทีอาจแวะบ้านของวอลค่อนก่อน จากกันนานมากแล้วกะจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย ”
“ ดีๆ เห็นหมอนั่นนั่นบ่นถึงเจ้าบ่อยๆ อยู่ๆ โผล่พรวดพราดไปคงตกใจน่าดู อ้อมีอีกเรื่องที่เจ้าคงไม่รู้ ตอนนี้วอลค่อนเปิดกิจการโรงแรม พวกเจ้าก็ถือโอกาสพักที่นั่นเลยสิ ”
บนถนนสายหลักของเมือง อาเธอร์เดินย่ำไปบนพื้นที่ปูด้วยหินอ่อนสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกทรวดทรงโอ่อ่า แม้เวลาจะล่วงเลยไปมากแล้วแต่ท้องถนนก็ยังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
พวกเขาเดินเกาะกลุ่มกันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลัดหลง แสงไฟจากตะเกียงโคมทำให้ถนนยังคงสว่างไสวห้างร้านต่างจุดโคมแสงสีเพื่อจะเรียกความสนใจ ผู้คนที่เดินตามท้องถนนล้วนแต่งกายด้วยชุดสวยงามมีบางคนที่หิ้วโคมไฟอันเล็กๆ ติดมือมาด้วย
อาเธอร์เดินปะปนไปกับคนเหล่านั้น บางครั้งต้องคอยหลบรถเข็นที่จอดเกะกะ บางครั้งต้องคอยระวังม้าที่จะวิ่งผ่านมา มีหลายคนที่เดินผ่านไปแล้วเหลียวมองพวกเขาด้วยสายตารังเกียจ คงเป็นเพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม คาโอเรียต้องกอดกระต่ายลูเอาไว้การที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนมากมายทำให้มันตื่นกลัว
บางครั้งอาเธอร์ต้องคอยระวังดึงคาโอเรียให้พ้นทาง เมื่อขบวนม้านับสิบตัวลากรถม้าที่เชื่อมต่อกันหลายๆ คันลากผ่านไป เสียงกระพรวนที่ห้อยรอบคอม้าดังกรุ๊งกริ๊งสดใสในอากาศ
“ ท่านพ่อนั่นใช่เกวียนหรือเปล่า ”
คาโอเรียชี้ไปที่ขบวนรถม้าดังกล่าว
“ นั่นเป็นรถม้าโดยสารมันรับจ้างขนส่งผู้คนตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ ที่ซีนาร์ยของเราก็มีแบบนี้เหมือนกัน แต่เราใช้รถม้าคันเล็กหรือไม่ก็เกวียน ”
อาเธอร์ตอบ
เขารีบจูงมือคาโอเรียให้เดินเร็วขึ้น
ตึกแถวแห่งหนึ่ง ภายในสว่างจ้าด้วยตะเกียงโคมขนาดใหญ่และมีเสียงจอแจดังออกมาเป็นระยะ ประตูหน้าเปิดกว้างเหมือนรอยยิ้มยินดีและพร้อมให้การต้อนรับ อาเธอร์มองเลยขึ้นไปตรงป้ายเหนือประตูตัวหนังสือสีทองนูนเขียนว่า วอลค่อนยินดีต้อนรับ
เขาพาร่างก้าวเข้าไปหาแสงสว่างและความอบอุ่นภายในนั้น กลิ่นเหล้ากลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง ผู้คนแต่งกายแปลกประหลาดมากมายอัดแน่นอยู่ตามโต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งเรียงราย ชายร่างอ้วนที่นั่งโต๊ะตัวในสุดยกซุบร้อนๆ ขึ้นซดโดยไม่ใช้ช้อน เขาหันไปหัวเราะเสียงดังกับเพื่อนที่นั่งข้างๆ
อาเธอร์กวาดตามองไปรอบๆ ในที่สุดเขาก็พบในสิ่งที่เขาต้องการ ชายกลางคนรูปร่างกำยำยืนอยู่กลางห้องผมสีทองเข้มรวบตึงไว้ด้านหลัง ชายคนนั้นกำลังบอกอะไรบางอย่างกับบริกรด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เฮ้ ! ”
อาเธอร์ร้องขึ้น
คนในบริเวณนั้นหันขวับมามอง แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของอาเธอร์มิได้จับจ้องอยู่ที่ตนพวกเขาต่างก็หันหลับไปคุยกันต่อ ในขณะที่บางคนยังจับจ้องพวกเขาด้วยความสนใจ
“ เฮ๊ย! พ่อหนุ่มผมทองคนนั้นน่ะ ”
คราวนี้สำเร็จชายคนนั้นหันมามองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าเป็นอาเธอร์ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นแล้วในพลันก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร่า เขาอ้าแขนพลางเดินเข้ามาทั้งสองสวมกอดกันด้วยความยินดี
“ สบายดีหรือวอลค่อน ”
อาเธอร์ถาม
เขาตบหลังเพื่อนอย่างรักใคร่
“ ก็ดี ให้ตายสินึกว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว เป็นไงมาไงล่ะสารรูปถึงได้ดูไม่จืดเอาเสียเลย ว่าแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มาเมื่อไหร่ มาทำอะไรหรือว่ากลับมาอยู่ที่นี่ตลอดไป แล้วข้างหลังนั่นใคร ”
“ ใจเย็นๆ ข้าตอบคำถามเจ้าไม่ทันแล้ว ”
อาเธอร์ท้วงขึ้น
“ แล้วตกลงมันยังไง ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว ”
“ เรื่องมันยาวน่ะ แต่อย่าห่วงเลยข้ายังอยู่ที่นี่อีกนานมีเวลาเล่าแน่นอน ดูท่ากิจการของเจ้าจะไปได้สวยเลยนะ ว่าอย่างไรตัดสินใจวางดาบเป็นการถาวรแล้วใช่ไหม แล้วตอนนี้แต่งงานมีครอบครัวหรือยัง ”
“ ฮ่า ตอนนี้มีสงครามเสียที่ไหนเล่าไม่อยากวางก็ต้องวาง ข้าเป็นแค่ทหารรับจ้างยามสงบเราก็พัก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสงบนักหรอก ข่าวลือเกี่ยวกับสงครามดูจะหนาหูขึ้นทุกวัน อ้อแล้วนั่นจะไม่แนะนำญาติๆ ที่เจ้าพามาจากซีนาร์ยให้รู้จักหน่อยหรือ ”
เมื่อได้รับการแนะนำแล้วเขาก็ไล่จับมือทีละคน
โดยเฉพาะฟิโลโซเฟอร์เขาบีบมือแน่นเป็นพิเศษ
“ เด็กคนนี้ท่าทางเอาเรื่อง โตขึ้นต้องเก่งพอๆ กับข้าเลยทีเดียว ”
“ งั้นสิทำไมเจ้าไม่หาลูกเป็นของตัวเองสักที ข้าเชื่อว่าลูกชายของเจ้าก็คงจะเก่งพอๆ กับข้านี่แหละ ”
อาเธอร์แหย่ตอบ
“ ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่คงช้าไปสิบปี โอรีเวียเองก็ไม่สามารถหนีคำสาปวิปริตนั้นพ้น ”
วอลค่อนมีสีหน้าสลดลง
“ โทษทีข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น แต่เชื่อเถอะไม่ช้าก็เร็วคำสาปนี้ต้องสลายไป ตราบใดที่สภาพ่อมดยังตั้งมั่นอยู่ ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ”
อาเธอร์ปลอบเขาบีบไหล่เพื่อนเบาๆ
“ วอลค่อนพวกข้าเดินทางมาไกลเหลือเกิน ใจจริงข้าอยากจะดื่มกินกับเจ้าจนถึงเช้าเหมือนที่เคยทำในอดีต แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ไหวเสียแล้ว ว่าแต่เจ้าพอจะมีห้องว่างไห้เราสักห้องไหม ”
“ มันต้องมีอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีนะแขกห้องใดห้องหนึ่งต้องมีอันกระเด็นออกจากห้องแน่ ”
“ โอ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ”
คาโลไรน์ท้วง
“ ข้าล้อเล่นน่าห้องส่วนตัวข้าก็มี มาทางนี้สิข้าจะพาไป ชาร์กีรอลดูลูกค้าด้วย ”
ประโยคสุดท้ายเขาหันไปบอกบริกรที่ยืนอยู่หน้าประตู
วอลค่อนเดินนำขึ้นบันใดจนถึงชั้นสาม
ระเบียงแคบๆ ทาสีเขียวอ่อนทำให้บรรยากาศดูทึมๆ
“ ห้องนี้ท่าจะเหมาะ ช่วงนี้ห้องพักเต็มเกือบทุกห้อง คงจะเสียงดังไปบ้าง อดทนหน่อยก็แล้วกัน ”
เขาไขกุญแจแล้วส่งตะเกียงให้อาเธอร์
“ ตามสบายนะข้าจะให้เด็กเอาอาหารขึ้นมาส่ง ”
“ อย่าลำบากเลยเรากินกันมาบ้างแล้ว ”
อาเธอร์บอก
วอลค่อนพยักหน้าแสดงท่าทีว่าเข้าใจ
เขายิ้มให้ทุกคนก่อนจะปิดประตูเบาๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ