โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.55K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
20) แรกพบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อย น้ำก็ดื่มจนอิ่มดีแล้วพวกเขาก็เติมน้ำใส่ในกระติกจนเต็ม ลูระริกระรี้อยากกระโดดเข้าพงหญ้าแต่คาโอเรียคว้าเอาไว้เพราะเกรงว่ามันจะหลง
อาเธอร์เดินบุกไปก่อน เขาเอื้อมมือสัมผัสยอดหญ้าอ่อนนุ่มที่สูงระเอว มันเป็นหญ้าชั้นดีเหมาะในการใช้เลี้ยงสัตว์ เขาอยากจะมีวัวสักฝูงใหญ่ๆ ปล่อยให้วิ่งพล่านกลางทุ่งแห่งนี้
ฟิโลโซเฟอร์พยายามเดินให้เร็วหาใช่ว่าเขาจดจ่ออยากไปให้ถึงโอรีเวีย หากแต่เขารู้สึกว่าทุกคนอิดโรยและหิวโหยมาก ดังนั้นยิ่งไปถึงโอรีเวียเร็วเท่าไหร่ก็หมายถึงพวกเขาจะได้พักเต็มที่เร็วเท่านั้น
พระอาทิตย์เอียงไปมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเร่งรีบกันเท่าใด สิ่งที่รายรอบก็ยังคงเป็นทุ่งหญ้าและท้องฟ้าเวิ้งว้าง บางทีคืนนี้พวกเขาอาจต้องนอนหนาวเหน็บกันกลางทุ่งก็ได้
“ ยังอีกไกลไหม ”
เสียงคาโอเรียดังขึ้นอย่างโรยแรง
เหมือนทุกคนจะลืมสังเกตไปว่านางเริ่มทิ้งห่างออกไปข้างหลัง
อาเธอร์มองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วเดินย้อนกลับไปหาบุตรสาว
“ เจ้าคงเหนื่อยมากสินะมานี่สิข้าจะอุ้มเจ้าเอง ”
เบื้องของหลังคาโอเรียเงาสีดำขนาดใหญ่ทาบทับพื้นหญ้าสีเขียว
มันเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
เสียงร้องอย่างอำมหิตดังขึ้นเหนือหัว
ต้นหญ้าบริเวณนั้นเอนลู่ไปเพราะแรงลม
“ หมอบลง ”
อาเธอร์ตะโกนก้อง
เขาคว้าคาโอเรียให้ล้มลงใต้ร่างของเขา
นางรอดพ้นจากกรงเล็บของมังกรดำไปได้อย่างเฉียดฉิว
ปลายเล็บแหลมคมฉีกเสื้อของอาเธอร์ขาดเป็นทางยาว
ฟิโลโซเฟอร์ดีดตัวลุกขึ้นมังกรดำสองตัวพุ่งตรงมาทางเขา ปีกสีดำที่เต็มไปด้วยพังผืดกางออกอย่างสง่างาม การเผชิญหน้ากับมังกรในทุ่งโล่งนั้นเป็นฝันร้ายของนักรบทุกคน
เด็กน้อยดึงดาบออกจากฝัก จ้องมองมังกรดำทั้งสอง ร่างของพวกมันขยายใหญ่ขึ้นๆ เมื่อใกล้เข้ามาทุกขณะ สมาธิของเขาตั้งมั่นอยู่กับสัตว์ร้ายที่ปรากฏตรงหน้า น่าแปลกที่เขารู้สึกสงบ ไม่ใยดีดับเสียงตะโกนของบิดารวมทั้งเสียงกรีดร้องของมารดาและน้องสาว ภาพที่เห็นนั้นชัดเจนและเชื่องช้าราวกับความฝัน
สายลมแรงพัดกระชากมาจากทางทิศตะวันตก ทูตมรณะแห่งเวหาทั้งสองเชิดหัวขึ้น ปีกที่แผ่กว้างถูกลมหมุนปะทะจนเสียหลัก เจ้าสัตว์ร้ายต้องกระพือปีกอย่างแรงเพื่อพาร่างให้หลุดพ้นแรงลม กลับไปยังยอดเขาพร้อมกับส่งเสียงคำรามเกรียวกราดส่งท้าย
เมื่อทุกอย่างสงบลง เหล่านักเดินทางที่เพิ่งรอดพ้นจากอันตรายอย่างเฉียดฉิวต่างมองไปรอบกาย เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตัดกับท้องฟ้าสีแดงอำหิตเด็กหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว มือข้างหนึ่งชูไม้เท้าสีเงินไว้เหนือหัว ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้นเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกอื่นใด อาการที่เขาสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงเพลิงมองเผินๆ แล้วชวนให้คิดถึงยมทูตขี่ม้าขาวอย่างไรอย่างนั้น
เด็กหนุ่มคนนั้นลดมือลงช้าๆ สายตาจับจ้องตามหลังมังกรดำที่เพิ่งจะหายลับไปในขุนเขา ม้าสีขาวดุจหิมะตัวงามยืนสงบนิ่งราวกับรูปสลัก ครั้นแล้วมันก็ถูกกระตุ้นให้มันออกเดินช้าๆ ไม้เท้าเหล็กสะท้อนวาววับกับแสงตะวันชายเสื้อคลุมยาวสะบัดพลิ้วไปข้างหลัง กิริยาท่าทางบนหลังม้าของเขางามสง่ายิ่งนัก ไม่กี่อึดใจทั้งม้าและนายก็ปรากฏตรงหน้าคณะผู้อพยพจากซีนาร์ยทั้งสี่
“ คนแปลกหน้าต่างถิ่นทั้งหลาย ช่วยตอบคำถามข้าที พวกท่านมาทำกิจอันใดในทุ่งหญ้าแห่งนี้ ”
หนุ่มน้อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะชวนลุ่มหลง
“ พวกเรากำลังเดินทางไปโอรีเวีย แล้วเกิดพลัดหลงมาที่นี่ หาได้มีกิจอันใดไม่ ”
อาเธอร์ตอบตามจริง
คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันทันทีกับสิ่งที่ได้ยิน
“ ใช่แล้ว พวกเราเดินทางจากซีนาร์ย เพื่อหวังจะลี้ภัยในเมืองที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุด ”
คาโลไรน์ยืนยันอีกเสียง
“ นี่คือคำตอบในสิ่งประหลาดที่ข้ากำลังเผชิญอยู่อย่างนั้นหรือ ผู้กล้าหนึ่งคนกับเด็กและสตรีเดินออกมาจากหุบเขาเดนตายพร้อมกับคำอธิบายว่าหลงทาง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายคนหนึ่งในคณะถือดาบโบราณล้ำค่าในมือ โลกทุกวันนี้เข้าใจยากเหลือเกิน ”
เขาคนนั้นพูดพลางมือก็ลูบแผงคอม้าไปพลาง
“ เป็นดังเช่นที่ว่ามาจริงๆ พวกเราเป็นชาวซีนาร์ย ความตั้งใจครั้งแรกคือต้องผ่านไปทางเมืองกัลป์ทีลอท ตามเส้นทางปรกติที่คนอื่นๆ ใช้กัน แต่การปรากฏตัวของมังกรไฟบีบให้เราหันมาใช้เส้นทางนี้ ”
อาเธอร์อธิบาย
“ ซีร์นายอย่างนั้นหรือ ”
มีร่องรอยของอารมณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่สีหน้าของเขา
ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ ก็ฟังเข้าใจยากอยู่ดี แม้พวกท่านผ่านเมืองกัลป์ทีลอทไม่ได้ก็ยังมีอีกลายเส้นทางให้เลือก แต่นี่กลับเลือกเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดซ้ำยังพาเด็กและสตรีมาด้วย หรือท่านจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทือกเขานั่น อย่างไรก็ตามท่านสามารถพาคณะเดินทางข้ามผ่านมาอย่างปรอดภัย คงไม่ใช่เรื่องปรกติธรรมดา เอาเถิดถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้า เรื่องของพวกท่านก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถอะนะข้าคงไม่ยุ่งด้วยแล้ว ”
พูดจบเขาก็กระตุกบังเหียนม้าทำท่าจะจากไป
“ รอก่อนท่านพ่อมดน้อย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าดาบในมือบุตรชายข้านี้เก่าแก่ล้ำค่า ท่านพอจะทราบประวัติของมันหรือไม่ ”
หนุ่มน้อยบนหลังอาชาสีขาวเอียงคอจ้องมองอาเธอร์อย่างพินิจพิเคราะห์
ครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยปาก
“ ทราบหรือไม่สำคัญด้วยหรือ ”
“ บุตรชายของข้าเก็บมันได้จากที่แห่งหนึ่งในถ้ำ ข้าเองก็รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ประหลาดแต่ไม่รู้ว่าดีหรือชั่ว ถ้าท่านพอจะชี้แนะอะไรได้บ้าง ข้าจะได้จัดการอย่างเหมาะสมต่อไป ”
หนุ่มน้อยคนนั้นทิ้งตัวลงจากหลังม้า
ร่างของเขายามยืนบนพื้นดูสูงโปร่งบางระหง
เขายื่นมือออกมารับดาบจากฟิโลโซเฟอร์
ชักมันออกจากฝักดวงตาสีดำลึกลับส่องประกายวูบ
“ มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับของล้ำค่าในหุบเขานั่น นักล่าสมบัติมากหน้าหลายตาต้องทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับความหวังอันว่างเปล่า แม้แต่วาลานเองก็ยังส่งผู้กล้าหรือแม้แต่นักเวทเข้าไปในนั้นแต่ก็ยังไม่พบอะไร ถ้าท่านอยากรู้ว่าแท้จริงสิ่งนี้คืออะไร ก็จงนำพาไปพบวาลานสิบางทีท่านอาจจะได้คำตอบที่ต้องการ หรือบางทีอาจจะได้เป็นทองคำกองโตจนต้องตะลึง ”
“ ข้ารู้จักจอมเวทวาลานแต่ไม่เคยคิดจะขอคำปรึกษาจากเขา ในเวลานี้แค่อยากรู้จากปากท่านสิ่งนี้ปรอดภัยหรือไม่ และข้าควรทำอย่างไรกับมัน ”
อาเธอร์ว่า
เขารู้สึกเชื่อใจพ่อมดน้อยคนนี้อย่างน่าประหลาด
เชื่อใจพอๆ กับพ่อมดดีมีน
“ ในความเห็นของข้าดาบก็คือดาบ ”
เขาว่าพลางเก็บมันเข้าฝัก
“ ตราบใดที่ยังไม่ชักออกมาก็นับว่าปลอดภัยดีแล้ว พวกท่านถือออกมาจากหุบเขาจนถึงที่นี่โดยไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นนั่นช่วยยืนยันความจริงข้อนี้ ความเป็นมาของมันข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ดาบแบบนี้เด่นสะดุดตามากโดยเฉพาะกับนักเวท พูดให้ถูกคือมันเป็นวัตถุมนตราเหมาะเป็นอาวุธของเหล่าผู้วิเศษ หากท่านอยากเก็บไว้กับตัวก็ควรจะซ่อนให้มิด ไม่อย่างนั้นถ้าวาลานรู้เรื่องเข้า ท่านคงได้ไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแบบนานสองนาน ”
เขาคืนดาบให้เด็กชาย
อาเธอร์ถอดเสื้อคลุมขาดวิ่นของตนคลุมดาบเอาไว้ตามคำแนะนำนั้น
อาเธอร์เดินบุกไปก่อน เขาเอื้อมมือสัมผัสยอดหญ้าอ่อนนุ่มที่สูงระเอว มันเป็นหญ้าชั้นดีเหมาะในการใช้เลี้ยงสัตว์ เขาอยากจะมีวัวสักฝูงใหญ่ๆ ปล่อยให้วิ่งพล่านกลางทุ่งแห่งนี้
ฟิโลโซเฟอร์พยายามเดินให้เร็วหาใช่ว่าเขาจดจ่ออยากไปให้ถึงโอรีเวีย หากแต่เขารู้สึกว่าทุกคนอิดโรยและหิวโหยมาก ดังนั้นยิ่งไปถึงโอรีเวียเร็วเท่าไหร่ก็หมายถึงพวกเขาจะได้พักเต็มที่เร็วเท่านั้น
พระอาทิตย์เอียงไปมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเร่งรีบกันเท่าใด สิ่งที่รายรอบก็ยังคงเป็นทุ่งหญ้าและท้องฟ้าเวิ้งว้าง บางทีคืนนี้พวกเขาอาจต้องนอนหนาวเหน็บกันกลางทุ่งก็ได้
“ ยังอีกไกลไหม ”
เสียงคาโอเรียดังขึ้นอย่างโรยแรง
เหมือนทุกคนจะลืมสังเกตไปว่านางเริ่มทิ้งห่างออกไปข้างหลัง
อาเธอร์มองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วเดินย้อนกลับไปหาบุตรสาว
“ เจ้าคงเหนื่อยมากสินะมานี่สิข้าจะอุ้มเจ้าเอง ”
เบื้องของหลังคาโอเรียเงาสีดำขนาดใหญ่ทาบทับพื้นหญ้าสีเขียว
มันเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุ
เสียงร้องอย่างอำมหิตดังขึ้นเหนือหัว
ต้นหญ้าบริเวณนั้นเอนลู่ไปเพราะแรงลม
“ หมอบลง ”
อาเธอร์ตะโกนก้อง
เขาคว้าคาโอเรียให้ล้มลงใต้ร่างของเขา
นางรอดพ้นจากกรงเล็บของมังกรดำไปได้อย่างเฉียดฉิว
ปลายเล็บแหลมคมฉีกเสื้อของอาเธอร์ขาดเป็นทางยาว
ฟิโลโซเฟอร์ดีดตัวลุกขึ้นมังกรดำสองตัวพุ่งตรงมาทางเขา ปีกสีดำที่เต็มไปด้วยพังผืดกางออกอย่างสง่างาม การเผชิญหน้ากับมังกรในทุ่งโล่งนั้นเป็นฝันร้ายของนักรบทุกคน
เด็กน้อยดึงดาบออกจากฝัก จ้องมองมังกรดำทั้งสอง ร่างของพวกมันขยายใหญ่ขึ้นๆ เมื่อใกล้เข้ามาทุกขณะ สมาธิของเขาตั้งมั่นอยู่กับสัตว์ร้ายที่ปรากฏตรงหน้า น่าแปลกที่เขารู้สึกสงบ ไม่ใยดีดับเสียงตะโกนของบิดารวมทั้งเสียงกรีดร้องของมารดาและน้องสาว ภาพที่เห็นนั้นชัดเจนและเชื่องช้าราวกับความฝัน
สายลมแรงพัดกระชากมาจากทางทิศตะวันตก ทูตมรณะแห่งเวหาทั้งสองเชิดหัวขึ้น ปีกที่แผ่กว้างถูกลมหมุนปะทะจนเสียหลัก เจ้าสัตว์ร้ายต้องกระพือปีกอย่างแรงเพื่อพาร่างให้หลุดพ้นแรงลม กลับไปยังยอดเขาพร้อมกับส่งเสียงคำรามเกรียวกราดส่งท้าย
เมื่อทุกอย่างสงบลง เหล่านักเดินทางที่เพิ่งรอดพ้นจากอันตรายอย่างเฉียดฉิวต่างมองไปรอบกาย เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตัดกับท้องฟ้าสีแดงอำหิตเด็กหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว มือข้างหนึ่งชูไม้เท้าสีเงินไว้เหนือหัว ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้นเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกอื่นใด อาการที่เขาสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงเพลิงมองเผินๆ แล้วชวนให้คิดถึงยมทูตขี่ม้าขาวอย่างไรอย่างนั้น
เด็กหนุ่มคนนั้นลดมือลงช้าๆ สายตาจับจ้องตามหลังมังกรดำที่เพิ่งจะหายลับไปในขุนเขา ม้าสีขาวดุจหิมะตัวงามยืนสงบนิ่งราวกับรูปสลัก ครั้นแล้วมันก็ถูกกระตุ้นให้มันออกเดินช้าๆ ไม้เท้าเหล็กสะท้อนวาววับกับแสงตะวันชายเสื้อคลุมยาวสะบัดพลิ้วไปข้างหลัง กิริยาท่าทางบนหลังม้าของเขางามสง่ายิ่งนัก ไม่กี่อึดใจทั้งม้าและนายก็ปรากฏตรงหน้าคณะผู้อพยพจากซีนาร์ยทั้งสี่
“ คนแปลกหน้าต่างถิ่นทั้งหลาย ช่วยตอบคำถามข้าที พวกท่านมาทำกิจอันใดในทุ่งหญ้าแห่งนี้ ”
หนุ่มน้อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะชวนลุ่มหลง
“ พวกเรากำลังเดินทางไปโอรีเวีย แล้วเกิดพลัดหลงมาที่นี่ หาได้มีกิจอันใดไม่ ”
อาเธอร์ตอบตามจริง
คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันทันทีกับสิ่งที่ได้ยิน
“ ใช่แล้ว พวกเราเดินทางจากซีนาร์ย เพื่อหวังจะลี้ภัยในเมืองที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุด ”
คาโลไรน์ยืนยันอีกเสียง
“ นี่คือคำตอบในสิ่งประหลาดที่ข้ากำลังเผชิญอยู่อย่างนั้นหรือ ผู้กล้าหนึ่งคนกับเด็กและสตรีเดินออกมาจากหุบเขาเดนตายพร้อมกับคำอธิบายว่าหลงทาง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายคนหนึ่งในคณะถือดาบโบราณล้ำค่าในมือ โลกทุกวันนี้เข้าใจยากเหลือเกิน ”
เขาคนนั้นพูดพลางมือก็ลูบแผงคอม้าไปพลาง
“ เป็นดังเช่นที่ว่ามาจริงๆ พวกเราเป็นชาวซีนาร์ย ความตั้งใจครั้งแรกคือต้องผ่านไปทางเมืองกัลป์ทีลอท ตามเส้นทางปรกติที่คนอื่นๆ ใช้กัน แต่การปรากฏตัวของมังกรไฟบีบให้เราหันมาใช้เส้นทางนี้ ”
อาเธอร์อธิบาย
“ ซีร์นายอย่างนั้นหรือ ”
มีร่องรอยของอารมณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่สีหน้าของเขา
ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ ก็ฟังเข้าใจยากอยู่ดี แม้พวกท่านผ่านเมืองกัลป์ทีลอทไม่ได้ก็ยังมีอีกลายเส้นทางให้เลือก แต่นี่กลับเลือกเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดซ้ำยังพาเด็กและสตรีมาด้วย หรือท่านจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทือกเขานั่น อย่างไรก็ตามท่านสามารถพาคณะเดินทางข้ามผ่านมาอย่างปรอดภัย คงไม่ใช่เรื่องปรกติธรรมดา เอาเถิดถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้า เรื่องของพวกท่านก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถอะนะข้าคงไม่ยุ่งด้วยแล้ว ”
พูดจบเขาก็กระตุกบังเหียนม้าทำท่าจะจากไป
“ รอก่อนท่านพ่อมดน้อย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าดาบในมือบุตรชายข้านี้เก่าแก่ล้ำค่า ท่านพอจะทราบประวัติของมันหรือไม่ ”
หนุ่มน้อยบนหลังอาชาสีขาวเอียงคอจ้องมองอาเธอร์อย่างพินิจพิเคราะห์
ครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยปาก
“ ทราบหรือไม่สำคัญด้วยหรือ ”
“ บุตรชายของข้าเก็บมันได้จากที่แห่งหนึ่งในถ้ำ ข้าเองก็รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ประหลาดแต่ไม่รู้ว่าดีหรือชั่ว ถ้าท่านพอจะชี้แนะอะไรได้บ้าง ข้าจะได้จัดการอย่างเหมาะสมต่อไป ”
หนุ่มน้อยคนนั้นทิ้งตัวลงจากหลังม้า
ร่างของเขายามยืนบนพื้นดูสูงโปร่งบางระหง
เขายื่นมือออกมารับดาบจากฟิโลโซเฟอร์
ชักมันออกจากฝักดวงตาสีดำลึกลับส่องประกายวูบ
“ มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับของล้ำค่าในหุบเขานั่น นักล่าสมบัติมากหน้าหลายตาต้องทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับความหวังอันว่างเปล่า แม้แต่วาลานเองก็ยังส่งผู้กล้าหรือแม้แต่นักเวทเข้าไปในนั้นแต่ก็ยังไม่พบอะไร ถ้าท่านอยากรู้ว่าแท้จริงสิ่งนี้คืออะไร ก็จงนำพาไปพบวาลานสิบางทีท่านอาจจะได้คำตอบที่ต้องการ หรือบางทีอาจจะได้เป็นทองคำกองโตจนต้องตะลึง ”
“ ข้ารู้จักจอมเวทวาลานแต่ไม่เคยคิดจะขอคำปรึกษาจากเขา ในเวลานี้แค่อยากรู้จากปากท่านสิ่งนี้ปรอดภัยหรือไม่ และข้าควรทำอย่างไรกับมัน ”
อาเธอร์ว่า
เขารู้สึกเชื่อใจพ่อมดน้อยคนนี้อย่างน่าประหลาด
เชื่อใจพอๆ กับพ่อมดดีมีน
“ ในความเห็นของข้าดาบก็คือดาบ ”
เขาว่าพลางเก็บมันเข้าฝัก
“ ตราบใดที่ยังไม่ชักออกมาก็นับว่าปลอดภัยดีแล้ว พวกท่านถือออกมาจากหุบเขาจนถึงที่นี่โดยไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นนั่นช่วยยืนยันความจริงข้อนี้ ความเป็นมาของมันข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ดาบแบบนี้เด่นสะดุดตามากโดยเฉพาะกับนักเวท พูดให้ถูกคือมันเป็นวัตถุมนตราเหมาะเป็นอาวุธของเหล่าผู้วิเศษ หากท่านอยากเก็บไว้กับตัวก็ควรจะซ่อนให้มิด ไม่อย่างนั้นถ้าวาลานรู้เรื่องเข้า ท่านคงได้ไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแบบนานสองนาน ”
เขาคืนดาบให้เด็กชาย
อาเธอร์ถอดเสื้อคลุมขาดวิ่นของตนคลุมดาบเอาไว้ตามคำแนะนำนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ