โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) ทางออก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในความมืดของถ้ำพวกเขาไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้ว
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและหิวโหย
อาเธอร์ที่นั่งเฝ้ายามอยู่ก็เผลอหลับไปเช่นกัน
ฟิโลโซเฟอร์นอนกระสับกระส่ายในการหลับใหล
เขาฝันถึงอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยแสงสีแดงมันถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนที่เห็นเป็นเพียงเงาสีดำ
และแล้วแสงสีแดงก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
เงาดำร่างหนึ่งหันมาพบเขาที่กำลังแอบดูอยู่ด้านหลัง
ร่างนั้นจึงหันอาวุธปลายแหลมมาทางเขา
เด็กชายผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจครู่ต่อมาเขาก็หลับสนิทและไม่ฝันอีกเลย
ในห้วงหนึ่งของความฝันอาเธอร์ห้อยอยู่เหนือหน้าผาด้วยเชือกเส้นหนึ่ง
ด้านล่างลึกลงไปคือเปลวเพลิงที่ร้อนแดง
เขาพยายามสาวเชือกเพื่อปีนกลับขึ้นไปบนขอบผา
“ อย่าขยับ ”
เสียงหนึ่งเตือนขึ้นใกล้ๆ
เขาหันไปมองก็พบกับบุรุษผู้สวมหน้ากากสีทอง
คนผู้นั้นแขวนตัวเองอยู่กับเชือกสีเงินเส้นเล็กๆ แต่ทว่าเหนียวทนทาน
ทันใดความขุ่นเคืองก็ทวีขึ้นเหนือความกลัว
“ ถ้าไม่ปีนแล้วจะให้ทำอย่างไร ห้อยอยู่อย่างนี้จนกว่าจะร่วงลงไปเองอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ใช่ข้าต่อให้สุดท้ายต้องตายอย่างน้อยก็ขอให้ได้ลอง ”
“ สมกับเป็นพี่ชายข้า เป็นแต่ใช้กำลังส่วนสมองลืมไว้ที่บ้าน ”
“ เจ้านี่ เวลาอย่างนี้ยังแขวะข้าได้ ถ้าอย่างนั้นพ่อคนเก่งบอกข้าทีเราต้องทำอย่างไร ”
อาเธอร์พูดอย่างมีอารมณ์
“ อันดับแรกเลยคือหินที่เราคล้องเชือกไว้ตอนนี้แตกร้าวแล้ว เพราะฉะนั้นการปีนป่ายของท่านเท่ากับไปเร่งให้หินพังเร็วขึ้น ”
แอสเธอลาสว่าพลางชำเลืองมองด้านล่างด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
“ เรื่องนั้นข้ารู้แล้วน่าพยายามปีนขึ้นก็ตาย แต่ห้อยอยู่แบบนี้ก็เท่ากับรอความตาย ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้าคิดได้ก็ช่วยหุบปากไปเลย ความเห็นของเจ้าไร้ประโยชน์สิ้นดี ”
“ อ้อ ดูเหมือนท่านจะเข้าใจเสียทีว่าเราติดกับดัก ”
น้องชายของเขากล่าวด้วยน้ำเสียงยังคงสดใสร่าเริง
ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาเป็นอย่างมาก
“ จะตายอยู่แล้วยังไม่สลดเจ้านี่มันคนบ้าชัดๆ ”
“ พี่ชาย ”
คราวนี้คนน้องพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ท่านรู้จักเคอร์คารอลหรือไม่ ”
“ รู้สิ ข้าเห็นชื่อมันในตำราออกบ่อยแล้วยังไงล่ะ ”
“ ในตำราของท่านบอกว่ามันเป็นอย่างไร ”
“ มันก็แค่สัตว์เลี้ยงของซาเหวจหลอดและก็ตายในกองเพลิงเมื่อนานมาแล้ว เจ้าจะพูดถึงมันทำไม ”
แอสเธอลาสไม่ตอบแต่ชี้นิ้วลงเบื้องล่าง
เหนือเปลวเพลิงที่ก้นเหวลึกมีสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว
ร่างกำยำขนาดใหญ่สีแดงฉานกำลังปีนป่ายขึ้นมาช้าๆ
ดูเผินๆ เขานึกว่ามันคือมังกรแต่เมื่อเพ่งดูให้ชัดก็แน่ใจว่าไม่ใช่
“ นั่นมันอะไรกัน ”
“ คือทางรอดเดียวของเราคนใดคนหนึ่ง ”
คนน้องตอบเสียงราบเรียบ
“ หมายความว่าอย่างไร ”
“ ถ้าท่านรู้จักเคอร์คารอลท่านจะเข้าใจ มันชอบทำแบบนี้เมื่อมีคนติดกับ พวกเราต้องสู้กันจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว ผู้ชนะสามารถกลับบ้านไปได้อย่างปรอดภัย ”
“พร้อมกับตราบาปที่จะติดตัวไปชั่วชีวิต ”
อาเธอร์ต่อให้
“ เจ้าตัวประหลาดนั่นชอบเล่นกับจิตใจของคน แต่ถ้าเราไม่เดินตามเกมส์ของมัน เคอร์คารอลก็จะลงมือฆ่าพวกเราเอง และแน่นอนเป็นความตายที่สุดสยอง ”
แอสเธอลาสว่าพลางชักมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อ
คมมีดส่องประกายแวววาวเมื่อเขาหมุนมันไปมาระหว่างนิ้ว
“ อ้อ เข้าใจแล้ว ”
เขามองดูภาพตรงหน้า
แอสเธอร์ลาสตัวเล็กแลดูบอบบางก็จริงแต่รวดเร็วและแข็งแกร่งกว่า
น้องชายของเขาสามารถห้อยตัวด้วยมือข้างเดียว
ขณะที่เขาต้องใช้สองมือยึด
ชายหนุ่มนึกเหตุการณ์ต่อได้เลย
ลองทบทวนดูแล้วตายๆไปเสียก็ดี
ตัวเขาพยายามอย่างหนักเพื่อขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
แต่น้องชายคนเดียวคนนี้ก็แซงหน้าเขาได้ทุกครั้ง
ตอนนี้เขาเป็นได้แค่ผู้ช่วยนายทหารกองหนึ่ง
ส่วนแอสเธอร์ลาสคือผู้พิทักษ์หน้ากากทอง
เป็นตำแหน่งในฝันของเหล่าผู้กล้า
คอยรับใช้ใกล้ชิดท่านวาลานจอมเวทย์แห่งโอรีเวีย
แน่นอนน้องชายของเขาคือหน้าตาของตระกูล
ส่วนตัวเขาพยายามไปก็เท่านั้น
อาเธอร์คิดอย่างขมขื่น
“ พี่ชาย ”
เสียงเรียกนั้นปลุกเขาขึ้นมาจากภวังค์
“ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านมากมายแต่ตอนนี้มีเวลาไม่มาก ”
คนน้องเว้นจังหวะ
“ เกี่ยวกับเจ้าเคอร์คารอล ข้าว่ามันมองเห็นท่านมาสักระยะแล้ว หากได้หมายตาใครไว้แล้วมันจะตามติดจนกว่าคนๆนั้นมีอันพังทลายลง ปีศาจตัวนี้ล่อลวงเก่งยิ่งนัก ”
“ เจ้าจะบอกข้าว่ามันลวงข้ามาที่นี่หรือ ”
อาเธอร์ถาม
“ ข้าพยายามเตือนท่านเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ท่านก็ไม่เคยฟัง เพราะเหตุนี้นี่คือชะตากรรมของเรา ”
“ อ้อใช่ เจ้าเก่งนี่ ที่จะพูดมีเท่านี้หรือ ”
เจ้าของร่างในหน้ากากสีทองทอดถอนหายใจ
“ มีอีกเรื่องที่ท่านต้องฟังข้า ทางที่ท่านจะหนีจากมันพ้นคือท่านต้องหลบไป ไม่ฟังคำยั่วยุทั้งปวงกบดานอยู่อย่างสงบ และจงระวังทุกย่างก้าวของท่านมันจับจ้องมองอยู่อย่าได้ติดกับดักอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นชีวิตของท่านจะไม่เหลืออะไร ”
“ ก็ใช่ไง ตอนนี้ข้ามีอะไรทุกอย่างเจ้าก็แย่งเอาไปหมดแล้ว มาพล่ามเอาตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมาอยากทำสิ่งใดก็ทำให้จบๆ ไป ข้าเบื่อเต็มทีแล้ว ”
ใบมีดที่หมุนไปหมุนมาระหว่างนิ้วเรียวงามนั้นหยุดกึก
“ ถ้าอย่างนั้นข้ามีเรื่องสุดท้ายที่จะพูด ”
“ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าไม่เคยไม่รักท่าน ”
พูดจบมีดเล่มนั้นก็ตวัดตัดเชือกเส้นสีเงินขาด
ร่างในชุดคลุมดำร่วงลงไป
ก่อนตกลงในเปลวเพลิงเขายังกระชากปีศาจร้ายตัวนั้นหล่นตามไปด้วย
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่มีเวลาให้คิดหรือพูดอะไร
อาเธอร์ตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนก
ความหวาดกลัวและความเสียใจโถมทับเข้ามาในคราวเดียว
เขาจะกลับบ้านได้อย่างไร
แล้วเขาจะบอกท่านพ่ออย่างไรเกี่ยวกับการจากไปของแอสเธอลาส
เกียรติของตระกูลใครจะเป็นคนแบกรับ
คงจะจริงอย่างที่ญาติๆ หลายคนว่าไว้
เขามันโง่เง่านัก
อาเธอร์ตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงน้ำเคลื่อนไหว
คาโอเรียปล่อยให้หินของพ่อมดวีดาเรืองแสงอีกครั้ง
คาโลไรน์ซึ่งกำลังกวักน้ำล้างหน้าหันมามองดวงตาของนางมีแววครุ่นคิดและกังวล
“ ข้าทำให้พวกเจ้าตื่นหรือ ”
นางรู้สึกผิดที่รบกวนเวลานอน
“ เปล่าแต่ข้าคิดว่าเราน่าจะเดินทางต่อกันได้แล้ว ”
อาเธอร์บอก
ฟิโลโซเฟอร์เดินลงไปในน้ำ
มันลึกแค่เข่าน้ำเย็นๆ ไหลผ่านเท้าของเขาไปช่วยบรรเทาความเมื่อยขบลงได้
เด็กชายยังยืนแช่อยู่อย่างนั้นเมื่อคนอื่นเก็บข้าวของเสร็จแล้ว
อาเธอร์ตัดสินใจเดินทวนน้ำขึ้นไปเขานึกชื่นชมซาเหวจหลอดอย่างมาก
ดูเหมือนว่าทุกส่วนภายใต้หุบเขานี้จะได้มีการจัดสรรน้ำไว้อย่างพอเพียง
ฟิโลโซเฟอร์เดินย่ำไปตามลำธารบางแห่งน้ำก็ไหลวกวนบางแห่งก็เต็มไปด้วยโขดหิน
พวกเขายังเดินต่อไปแม้ทางข้างหน้าจะแคบลงเรื่อยๆ
บางทีพวกเขาอาจต้องเดินย้อนกลับอีกครั้งแต่แล้วก็ใจชื้นขึ้น
เมื่อภายในถ้ำเริ่มมีแสงสลัวๆ ปรากฏ
ลมเย็นพัดเอื่อยๆ เข้ามาเป็นระยะ
ทั้งหมดรีบตรงดิ่งเข้าไปแสงสว่างลอดเข้ามาทางปากปล่องเป็นลำสีขาว
เสียงน้ำตกสะท้อนมาจากด้านนอกน้ำใสๆ ไหลเข้ามาตามรอยแยกของหิน
อาเธอร์นั่งลงสำรวจช่องหินนั้นเขากวาดเอาเศษหินออกไปพ้นทาง ช่
องแตกตรงนี้กว้างใหญ่พอที่คนๆ หนึ่งจะลอดออกไปได้
อาเธอร์มุดรอยแตกของหินเป็นคนแรกขอบหินที่เปียกลื่นทำให้เขาผ่านออกไปได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มหันกลับไปดึงคนที่เหลือออกมาทีละคน
หลังจากหลุดออกมาจากหุบเขาต้องสาปนั้นได้
พวกเขานั่งพักตรงลานหินใกล้ๆ น้ำตกสายเล็กๆ ด้วยสภาพเปียกปอนและอ่อนล้า
เบื้องหลังเทือกเขาสีดำตั้งตระหง่านค้ำอยู่เหนือหัว
แสงแดดยามบ่ายยังพอให้ความอบอุ่นได้บ้าง
ด้านหน้าทุ่งหญ้าสีเขียวขจีทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ในที่สุดคณะเดินทางเล็กๆ นี้ก็ข้ามเขามาจนได้
แม้ยังไม่ออกจากเขตหุบเขาก็ตาม
แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะรู้สึกโล่งใจ
อาเธอร์จ้องมองพระอาทิตย์เขาพบว่ามันงดงามที่สุดนับตั้งแต่เคยเห็นมา
ตลอดเวลาที่อยู่ในหุบเขานั้นเขาอดหวั่นวิตกไม่ได้
ว่าอาจจะต้องติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล
“ ตอนที่ท่านพ่อเดินทางจากโอรีเวียมาสู่ซีนาร์ย ท่านต้องข้ามเขามาอย่างนี้หรือเปล่า ”
คาโอเรียสงสัย
“ เปล่าหรอก ข้าเดินทางอ้อมเขาโดยใช้เส้นทางของกัลป์ทีลอท ทางที่เราตั้งใจจะใช้ในครั้งแรก ”
เขาชี้มือไปทางทิศตะวันตกทางที่เทือกเขาสีดำทอดยาวไกลสิ้นสุดลง
มันเป็นเส้นทางที่เขาควรจะได้ใช้ในขณะนี้
ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน
“ หากเราเร่งฝีเท้ากันหน่อยคงไปถึงในเมืองได้ไม่เกินสามทุ่ม ”
อาเธอร์ว่า
“ แต่ลูกๆ ของเราคงไปไม่ถึง หากว่าพวกเขาต้องเดินทางไกลทั้งที่ยังหิวโหยกันอยู่ อาเธอร์ท่านพอจะหาอะไรให้ลูกของเราได้ประทังหิวบ้างไหม ”
คาโลไรน์ประคองบุตรสาวไว้ด้วยความกังวล
อาเธอร์ก้มมองนางอย่างห่วงใยเช่นกัน
“ ดื่มน้ำให้อิ่มเถิดเรายังต้องเดินทางอีกไกล บางทีในระหว่างเดินทางข้าอาจจะจับกระต่ายป่าได้บ้าง แน่นอนเราต้องละเว้นลูไว้ตัวหนึ่ง ”
อาเธอร์บอกเสียงราบเรียบ
แม้ลึกๆ จะไม่อยากทำแบบนั้น
การก่อไฟในทุ่งหญ้านี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
แม้โอรีเวียจะอยู่ด้านหน้านี่เอง
แต่ด้านหลังใกล้แค่เอื้อมก็คือเทือกเขาเงาปีศาจ
ถิ่นที่เป็นดังรังของมังกรดำ
“ ท่านพ่อดูท่านไม่กังวลใจเลยทั้งที่เรายังอยู่ใกล้เทือกเขาเงาปีศาจแค่นี้ท่านลืมฝูงมังกรดำไปแล้วหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ท้วงขึ้นด้วยความสงสัย
เขาไม่เห็นว่าจะมีที่ให้หลบภัยได้เลยในทุ่งหญ้าที่เวิ้งว้างหากต้องเจอกับมังกรดำ
“ ดินแดนฝั่งนี้เป็นอาณาเขตของโอรีเวีย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการปกป้องอย่างแข็งขัน พวกมังกรดำจะไม่บินข้ามมาฝั่งนี้ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ