โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ทางออก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ในความมืดของถ้ำพวกเขาไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้ว   

แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและหิวโหย  

อาเธอร์ที่นั่งเฝ้ายามอยู่ก็เผลอหลับไปเช่นกัน

 

ฟิโลโซเฟอร์นอนกระสับกระส่ายในการหลับใหล  

เขาฝันถึงอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยแสงสีแดงมันถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนที่เห็นเป็นเพียงเงาสีดำ   

และแล้วแสงสีแดงก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

เงาดำร่างหนึ่งหันมาพบเขาที่กำลังแอบดูอยู่ด้านหลัง

ร่างนั้นจึงหันอาวุธปลายแหลมมาทางเขา  

เด็กชายผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจครู่ต่อมาเขาก็หลับสนิทและไม่ฝันอีกเลย

 

ในห้วงหนึ่งของความฝันอาเธอร์ห้อยอยู่เหนือหน้าผาด้วยเชือกเส้นหนึ่ง

ด้านล่างลึกลงไปคือเปลวเพลิงที่ร้อนแดง  

เขาพยายามสาวเชือกเพื่อปีนกลับขึ้นไปบนขอบผา

 

“ อย่าขยับ ”

 

เสียงหนึ่งเตือนขึ้นใกล้ๆ

เขาหันไปมองก็พบกับบุรุษผู้สวมหน้ากากสีทอง

คนผู้นั้นแขวนตัวเองอยู่กับเชือกสีเงินเส้นเล็กๆ แต่ทว่าเหนียวทนทาน

ทันใดความขุ่นเคืองก็ทวีขึ้นเหนือความกลัว

 

“ ถ้าไม่ปีนแล้วจะให้ทำอย่างไร   ห้อยอยู่อย่างนี้จนกว่าจะร่วงลงไปเองอย่างนั้นหรือ   นั่นไม่ใช่ข้าต่อให้สุดท้ายต้องตายอย่างน้อยก็ขอให้ได้ลอง ”

 

“ สมกับเป็นพี่ชายข้า   เป็นแต่ใช้กำลังส่วนสมองลืมไว้ที่บ้าน ”

 

“ เจ้านี่   เวลาอย่างนี้ยังแขวะข้าได้   ถ้าอย่างนั้นพ่อคนเก่งบอกข้าทีเราต้องทำอย่างไร ”

 

อาเธอร์พูดอย่างมีอารมณ์

 

“ อันดับแรกเลยคือหินที่เราคล้องเชือกไว้ตอนนี้แตกร้าวแล้ว   เพราะฉะนั้นการปีนป่ายของท่านเท่ากับไปเร่งให้หินพังเร็วขึ้น ”

 

แอสเธอลาสว่าพลางชำเลืองมองด้านล่างด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น

 

“ เรื่องนั้นข้ารู้แล้วน่าพยายามปีนขึ้นก็ตาย   แต่ห้อยอยู่แบบนี้ก็เท่ากับรอความตาย   ถ้านี่คือทั้งหมดที่เจ้าคิดได้ก็ช่วยหุบปากไปเลย   ความเห็นของเจ้าไร้ประโยชน์สิ้นดี ”

 

“ อ้อ   ดูเหมือนท่านจะเข้าใจเสียทีว่าเราติดกับดัก ”

 

น้องชายของเขากล่าวด้วยน้ำเสียงยังคงสดใสร่าเริง

ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาเป็นอย่างมาก

 

“ จะตายอยู่แล้วยังไม่สลดเจ้านี่มันคนบ้าชัดๆ ”

 

“ พี่ชาย ”

 

คราวนี้คนน้องพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“ ท่านรู้จักเคอร์คารอลหรือไม่ ”

 

“ รู้สิ   ข้าเห็นชื่อมันในตำราออกบ่อยแล้วยังไงล่ะ ”

 

“ ในตำราของท่านบอกว่ามันเป็นอย่างไร ”

 

“ มันก็แค่สัตว์เลี้ยงของซาเหวจหลอดและก็ตายในกองเพลิงเมื่อนานมาแล้ว   เจ้าจะพูดถึงมันทำไม ”

 

แอสเธอลาสไม่ตอบแต่ชี้นิ้วลงเบื้องล่าง

เหนือเปลวเพลิงที่ก้นเหวลึกมีสิ่งหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว

ร่างกำยำขนาดใหญ่สีแดงฉานกำลังปีนป่ายขึ้นมาช้าๆ

ดูเผินๆ เขานึกว่ามันคือมังกรแต่เมื่อเพ่งดูให้ชัดก็แน่ใจว่าไม่ใช่

 

“ นั่นมันอะไรกัน ”

 

“ คือทางรอดเดียวของเราคนใดคนหนึ่ง ”

 

คนน้องตอบเสียงราบเรียบ

 

“ หมายความว่าอย่างไร ”

 

“ ถ้าท่านรู้จักเคอร์คารอลท่านจะเข้าใจ   มันชอบทำแบบนี้เมื่อมีคนติดกับ   พวกเราต้องสู้กันจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว   ผู้ชนะสามารถกลับบ้านไปได้อย่างปรอดภัย ”

 

“พร้อมกับตราบาปที่จะติดตัวไปชั่วชีวิต ”

 

อาเธอร์ต่อให้

 

“ เจ้าตัวประหลาดนั่นชอบเล่นกับจิตใจของคน   แต่ถ้าเราไม่เดินตามเกมส์ของมัน   เคอร์คารอลก็จะลงมือฆ่าพวกเราเอง   และแน่นอนเป็นความตายที่สุดสยอง ”

 

แอสเธอลาสว่าพลางชักมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อ

คมมีดส่องประกายแวววาวเมื่อเขาหมุนมันไปมาระหว่างนิ้ว

 

“ อ้อ   เข้าใจแล้ว ”

 

เขามองดูภาพตรงหน้า

แอสเธอร์ลาสตัวเล็กแลดูบอบบางก็จริงแต่รวดเร็วและแข็งแกร่งกว่า

น้องชายของเขาสามารถห้อยตัวด้วยมือข้างเดียว

ขณะที่เขาต้องใช้สองมือยึด

ชายหนุ่มนึกเหตุการณ์ต่อได้เลย

ลองทบทวนดูแล้วตายๆไปเสียก็ดี

ตัวเขาพยายามอย่างหนักเพื่อขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง

แต่น้องชายคนเดียวคนนี้ก็แซงหน้าเขาได้ทุกครั้ง

ตอนนี้เขาเป็นได้แค่ผู้ช่วยนายทหารกองหนึ่ง

ส่วนแอสเธอร์ลาสคือผู้พิทักษ์หน้ากากทอง

เป็นตำแหน่งในฝันของเหล่าผู้กล้า

คอยรับใช้ใกล้ชิดท่านวาลานจอมเวทย์แห่งโอรีเวีย

แน่นอนน้องชายของเขาคือหน้าตาของตระกูล

ส่วนตัวเขาพยายามไปก็เท่านั้น

อาเธอร์คิดอย่างขมขื่น

 

“ พี่ชาย ”

 

เสียงเรียกนั้นปลุกเขาขึ้นมาจากภวังค์

 

“ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านมากมายแต่ตอนนี้มีเวลาไม่มาก ”

 

คนน้องเว้นจังหวะ

 

“ เกี่ยวกับเจ้าเคอร์คารอล   ข้าว่ามันมองเห็นท่านมาสักระยะแล้ว   หากได้หมายตาใครไว้แล้วมันจะตามติดจนกว่าคนๆนั้นมีอันพังทลายลง   ปีศาจตัวนี้ล่อลวงเก่งยิ่งนัก ”

 

“ เจ้าจะบอกข้าว่ามันลวงข้ามาที่นี่หรือ ”

 

อาเธอร์ถาม

 

“ ข้าพยายามเตือนท่านเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ท่านก็ไม่เคยฟัง   เพราะเหตุนี้นี่คือชะตากรรมของเรา ”

 

“ อ้อใช่   เจ้าเก่งนี่   ที่จะพูดมีเท่านี้หรือ ”

 

เจ้าของร่างในหน้ากากสีทองทอดถอนหายใจ

 

“ มีอีกเรื่องที่ท่านต้องฟังข้า   ทางที่ท่านจะหนีจากมันพ้นคือท่านต้องหลบไป   ไม่ฟังคำยั่วยุทั้งปวงกบดานอยู่อย่างสงบ   และจงระวังทุกย่างก้าวของท่านมันจับจ้องมองอยู่อย่าได้ติดกับดักอีกครั้ง   ไม่อย่างนั้นชีวิตของท่านจะไม่เหลืออะไร ”

 

“ ก็ใช่ไง   ตอนนี้ข้ามีอะไรทุกอย่างเจ้าก็แย่งเอาไปหมดแล้ว   มาพล่ามเอาตอนนี้ให้ได้อะไรขึ้นมาอยากทำสิ่งใดก็ทำให้จบๆ ไป   ข้าเบื่อเต็มทีแล้ว ”

 

ใบมีดที่หมุนไปหมุนมาระหว่างนิ้วเรียวงามนั้นหยุดกึก

 

“ ถ้าอย่างนั้นข้ามีเรื่องสุดท้ายที่จะพูด ”

 

“ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าไม่เคยไม่รักท่าน ”

 

พูดจบมีดเล่มนั้นก็ตวัดตัดเชือกเส้นสีเงินขาด

ร่างในชุดคลุมดำร่วงลงไป

ก่อนตกลงในเปลวเพลิงเขายังกระชากปีศาจร้ายตัวนั้นหล่นตามไปด้วย

ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่มีเวลาให้คิดหรือพูดอะไร

อาเธอร์ตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนก

ความหวาดกลัวและความเสียใจโถมทับเข้ามาในคราวเดียว

เขาจะกลับบ้านได้อย่างไร

แล้วเขาจะบอกท่านพ่ออย่างไรเกี่ยวกับการจากไปของแอสเธอลาส

เกียรติของตระกูลใครจะเป็นคนแบกรับ

คงจะจริงอย่างที่ญาติๆ หลายคนว่าไว้

เขามันโง่เง่านัก

 

 

อาเธอร์ตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงน้ำเคลื่อนไหว   

คาโอเรียปล่อยให้หินของพ่อมดวีดาเรืองแสงอีกครั้ง

คาโลไรน์ซึ่งกำลังกวักน้ำล้างหน้าหันมามองดวงตาของนางมีแววครุ่นคิดและกังวล

 

“ ข้าทำให้พวกเจ้าตื่นหรือ ”

 

นางรู้สึกผิดที่รบกวนเวลานอน

 

“ เปล่าแต่ข้าคิดว่าเราน่าจะเดินทางต่อกันได้แล้ว ”

 

อาเธอร์บอก

 

 

ฟิโลโซเฟอร์เดินลงไปในน้ำ   

มันลึกแค่เข่าน้ำเย็นๆ ไหลผ่านเท้าของเขาไปช่วยบรรเทาความเมื่อยขบลงได้  

เด็กชายยังยืนแช่อยู่อย่างนั้นเมื่อคนอื่นเก็บข้าวของเสร็จแล้ว

 

อาเธอร์ตัดสินใจเดินทวนน้ำขึ้นไปเขานึกชื่นชมซาเหวจหลอดอย่างมาก  

ดูเหมือนว่าทุกส่วนภายใต้หุบเขานี้จะได้มีการจัดสรรน้ำไว้อย่างพอเพียง   

ฟิโลโซเฟอร์เดินย่ำไปตามลำธารบางแห่งน้ำก็ไหลวกวนบางแห่งก็เต็มไปด้วยโขดหิน

พวกเขายังเดินต่อไปแม้ทางข้างหน้าจะแคบลงเรื่อยๆ 

บางทีพวกเขาอาจต้องเดินย้อนกลับอีกครั้งแต่แล้วก็ใจชื้นขึ้น

เมื่อภายในถ้ำเริ่มมีแสงสลัวๆ ปรากฏ  

ลมเย็นพัดเอื่อยๆ เข้ามาเป็นระยะ   

ทั้งหมดรีบตรงดิ่งเข้าไปแสงสว่างลอดเข้ามาทางปากปล่องเป็นลำสีขาว   

เสียงน้ำตกสะท้อนมาจากด้านนอกน้ำใสๆ ไหลเข้ามาตามรอยแยกของหิน

อาเธอร์นั่งลงสำรวจช่องหินนั้นเขากวาดเอาเศษหินออกไปพ้นทาง   ช่

องแตกตรงนี้กว้างใหญ่พอที่คนๆ หนึ่งจะลอดออกไปได้

อาเธอร์มุดรอยแตกของหินเป็นคนแรกขอบหินที่เปียกลื่นทำให้เขาผ่านออกไปได้ไม่ยาก   

ชายหนุ่มหันกลับไปดึงคนที่เหลือออกมาทีละคน

 

 

หลังจากหลุดออกมาจากหุบเขาต้องสาปนั้นได้  

พวกเขานั่งพักตรงลานหินใกล้ๆ น้ำตกสายเล็กๆ ด้วยสภาพเปียกปอนและอ่อนล้า  

เบื้องหลังเทือกเขาสีดำตั้งตระหง่านค้ำอยู่เหนือหัว

แสงแดดยามบ่ายยังพอให้ความอบอุ่นได้บ้าง   

ด้านหน้าทุ่งหญ้าสีเขียวขจีทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา   

ในที่สุดคณะเดินทางเล็กๆ นี้ก็ข้ามเขามาจนได้

แม้ยังไม่ออกจากเขตหุบเขาก็ตาม

แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะรู้สึกโล่งใจ

 

อาเธอร์จ้องมองพระอาทิตย์เขาพบว่ามันงดงามที่สุดนับตั้งแต่เคยเห็นมา   

ตลอดเวลาที่อยู่ในหุบเขานั้นเขาอดหวั่นวิตกไม่ได้

ว่าอาจจะต้องติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล

 

“ ตอนที่ท่านพ่อเดินทางจากโอรีเวียมาสู่ซีนาร์ย   ท่านต้องข้ามเขามาอย่างนี้หรือเปล่า ”

 

คาโอเรียสงสัย

 

“ เปล่าหรอก   ข้าเดินทางอ้อมเขาโดยใช้เส้นทางของกัลป์ทีลอท   ทางที่เราตั้งใจจะใช้ในครั้งแรก ”

 

เขาชี้มือไปทางทิศตะวันตกทางที่เทือกเขาสีดำทอดยาวไกลสิ้นสุดลง  

มันเป็นเส้นทางที่เขาควรจะได้ใช้ในขณะนี้

ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน

 

“ หากเราเร่งฝีเท้ากันหน่อยคงไปถึงในเมืองได้ไม่เกินสามทุ่ม ”

 

อาเธอร์ว่า

 

“ แต่ลูกๆ ของเราคงไปไม่ถึง   หากว่าพวกเขาต้องเดินทางไกลทั้งที่ยังหิวโหยกันอยู่   อาเธอร์ท่านพอจะหาอะไรให้ลูกของเราได้ประทังหิวบ้างไหม ”

 

คาโลไรน์ประคองบุตรสาวไว้ด้วยความกังวล

อาเธอร์ก้มมองนางอย่างห่วงใยเช่นกัน

 

“ ดื่มน้ำให้อิ่มเถิดเรายังต้องเดินทางอีกไกล   บางทีในระหว่างเดินทางข้าอาจจะจับกระต่ายป่าได้บ้าง   แน่นอนเราต้องละเว้นลูไว้ตัวหนึ่ง ”

 

อาเธอร์บอกเสียงราบเรียบ

แม้ลึกๆ จะไม่อยากทำแบบนั้น

การก่อไฟในทุ่งหญ้านี่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

แม้โอรีเวียจะอยู่ด้านหน้านี่เอง

แต่ด้านหลังใกล้แค่เอื้อมก็คือเทือกเขาเงาปีศาจ

ถิ่นที่เป็นดังรังของมังกรดำ

 

“ ท่านพ่อดูท่านไม่กังวลใจเลยทั้งที่เรายังอยู่ใกล้เทือกเขาเงาปีศาจแค่นี้ท่านลืมฝูงมังกรดำไปแล้วหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ท้วงขึ้นด้วยความสงสัย  

เขาไม่เห็นว่าจะมีที่ให้หลบภัยได้เลยในทุ่งหญ้าที่เวิ้งว้างหากต้องเจอกับมังกรดำ

 

“ ดินแดนฝั่งนี้เป็นอาณาเขตของโอรีเวีย   ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการปกป้องอย่างแข็งขัน   พวกมังกรดำจะไม่บินข้ามมาฝั่งนี้ ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา