โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.50K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) แรกพบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อย   น้ำก็ดื่มจนอิ่มดีแล้วพวกเขาก็เติมน้ำใส่ในกระติกจนเต็ม   ลูระริกระรี้อยากกระโดดเข้าพงหญ้าแต่คาโอเรียคว้าเอาไว้เพราะเกรงว่ามันจะหลง   

 

อาเธอร์เดินบุกไปก่อน   เขาเอื้อมมือสัมผัสยอดหญ้าอ่อนนุ่มที่สูงระเอว   มันเป็นหญ้าชั้นดีเหมาะในการใช้เลี้ยงสัตว์   เขาอยากจะมีวัวสักฝูงใหญ่ๆ ปล่อยให้วิ่งพล่านกลางทุ่งแห่งนี้   

 

ฟิโลโซเฟอร์พยายามเดินให้เร็วหาใช่ว่าเขาจดจ่ออยากไปให้ถึงโอรีเวีย   หากแต่เขารู้สึกว่าทุกคนอิดโรยและหิวโหยมาก   ดังนั้นยิ่งไปถึงโอรีเวียเร็วเท่าไหร่ก็หมายถึงพวกเขาจะได้พักเต็มที่เร็วเท่านั้น   

 

พระอาทิตย์เอียงไปมาก   ไม่ว่าพวกเขาจะเร่งรีบกันเท่าใด   สิ่งที่รายรอบก็ยังคงเป็นทุ่งหญ้าและท้องฟ้าเวิ้งว้าง   บางทีคืนนี้พวกเขาอาจต้องนอนหนาวเหน็บกันกลางทุ่งก็ได้

 

“ ยังอีกไกลไหม ”

 

เสียงคาโอเรียดังขึ้นอย่างโรยแรง  

เหมือนทุกคนจะลืมสังเกตไปว่านางเริ่มทิ้งห่างออกไปข้างหลัง   

อาเธอร์มองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วเดินย้อนกลับไปหาบุตรสาว

 

“ เจ้าคงเหนื่อยมากสินะมานี่สิข้าจะอุ้มเจ้าเอง ”

 

เบื้องของหลังคาโอเรียเงาสีดำขนาดใหญ่ทาบทับพื้นหญ้าสีเขียว

มันเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วราวกับพายุ   

เสียงร้องอย่างอำมหิตดังขึ้นเหนือหัว

ต้นหญ้าบริเวณนั้นเอนลู่ไปเพราะแรงลม

 

“ หมอบลง ”

 

อาเธอร์ตะโกนก้อง

เขาคว้าคาโอเรียให้ล้มลงใต้ร่างของเขา  

นางรอดพ้นจากกรงเล็บของมังกรดำไปได้อย่างเฉียดฉิว   

ปลายเล็บแหลมคมฉีกเสื้อของอาเธอร์ขาดเป็นทางยาว

 

 

ฟิโลโซเฟอร์ดีดตัวลุกขึ้นมังกรดำสองตัวพุ่งตรงมาทางเขา   ปีกสีดำที่เต็มไปด้วยพังผืดกางออกอย่างสง่างาม   การเผชิญหน้ากับมังกรในทุ่งโล่งนั้นเป็นฝันร้ายของนักรบทุกคน

   

เด็กน้อยดึงดาบออกจากฝัก   จ้องมองมังกรดำทั้งสอง   ร่างของพวกมันขยายใหญ่ขึ้นๆ เมื่อใกล้เข้ามาทุกขณะ   สมาธิของเขาตั้งมั่นอยู่กับสัตว์ร้ายที่ปรากฏตรงหน้า   น่าแปลกที่เขารู้สึกสงบ   ไม่ใยดีดับเสียงตะโกนของบิดารวมทั้งเสียงกรีดร้องของมารดาและน้องสาว   ภาพที่เห็นนั้นชัดเจนและเชื่องช้าราวกับความฝัน  

 

สายลมแรงพัดกระชากมาจากทางทิศตะวันตก   ทูตมรณะแห่งเวหาทั้งสองเชิดหัวขึ้น   ปีกที่แผ่กว้างถูกลมหมุนปะทะจนเสียหลัก   เจ้าสัตว์ร้ายต้องกระพือปีกอย่างแรงเพื่อพาร่างให้หลุดพ้นแรงลม   กลับไปยังยอดเขาพร้อมกับส่งเสียงคำรามเกรียวกราดส่งท้าย

 

 

            เมื่อทุกอย่างสงบลง   เหล่านักเดินทางที่เพิ่งรอดพ้นจากอันตรายอย่างเฉียดฉิวต่างมองไปรอบกาย   เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น   ตัดกับท้องฟ้าสีแดงอำหิตเด็กหนุ่มในชุดคลุมดำนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว   มือข้างหนึ่งชูไม้เท้าสีเงินไว้เหนือหัว   ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบบนั้นเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกอื่นใด   อาการที่เขาสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีแดงเพลิงมองเผินๆ แล้วชวนให้คิดถึงยมทูตขี่ม้าขาวอย่างไรอย่างนั้น   

 

เด็กหนุ่มคนนั้นลดมือลงช้าๆ สายตาจับจ้องตามหลังมังกรดำที่เพิ่งจะหายลับไปในขุนเขา   ม้าสีขาวดุจหิมะตัวงามยืนสงบนิ่งราวกับรูปสลัก   ครั้นแล้วมันก็ถูกกระตุ้นให้มันออกเดินช้าๆ   ไม้เท้าเหล็กสะท้อนวาววับกับแสงตะวันชายเสื้อคลุมยาวสะบัดพลิ้วไปข้างหลัง   กิริยาท่าทางบนหลังม้าของเขางามสง่ายิ่งนัก   ไม่กี่อึดใจทั้งม้าและนายก็ปรากฏตรงหน้าคณะผู้อพยพจากซีนาร์ยทั้งสี่

  

“ คนแปลกหน้าต่างถิ่นทั้งหลาย   ช่วยตอบคำถามข้าที   พวกท่านมาทำกิจอันใดในทุ่งหญ้าแห่งนี้ ”

 

หนุ่มน้อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไพเราะชวนลุ่มหลง

 

“ พวกเรากำลังเดินทางไปโอรีเวีย   แล้วเกิดพลัดหลงมาที่นี่   หาได้มีกิจอันใดไม่ ”

 

อาเธอร์ตอบตามจริง

คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันทันทีกับสิ่งที่ได้ยิน

 

“ ใช่แล้ว   พวกเราเดินทางจากซีนาร์ย   เพื่อหวังจะลี้ภัยในเมืองที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยที่สุด ”

 

คาโลไรน์ยืนยันอีกเสียง

 

“ นี่คือคำตอบในสิ่งประหลาดที่ข้ากำลังเผชิญอยู่อย่างนั้นหรือ   ผู้กล้าหนึ่งคนกับเด็กและสตรีเดินออกมาจากหุบเขาเดนตายพร้อมกับคำอธิบายว่าหลงทาง   ยิ่งไปกว่านั้นเด็กชายคนหนึ่งในคณะถือดาบโบราณล้ำค่าในมือ   โลกทุกวันนี้เข้าใจยากเหลือเกิน ”

 

เขาคนนั้นพูดพลางมือก็ลูบแผงคอม้าไปพลาง

 

“ เป็นดังเช่นที่ว่ามาจริงๆ พวกเราเป็นชาวซีนาร์ย   ความตั้งใจครั้งแรกคือต้องผ่านไปทางเมืองกัลป์ทีลอท   ตามเส้นทางปรกติที่คนอื่นๆ ใช้กัน   แต่การปรากฏตัวของมังกรไฟบีบให้เราหันมาใช้เส้นทางนี้ ”

 

อาเธอร์อธิบาย

 

“ ซีร์นายอย่างนั้นหรือ ”

 

มีร่องรอยของอารมณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่สีหน้าของเขา

ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“ ก็ฟังเข้าใจยากอยู่ดี   แม้พวกท่านผ่านเมืองกัลป์ทีลอทไม่ได้ก็ยังมีอีกลายเส้นทางให้เลือก   แต่นี่กลับเลือกเส้นทางที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดซ้ำยังพาเด็กและสตรีมาด้วย   หรือท่านจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทือกเขานั่น   อย่างไรก็ตามท่านสามารถพาคณะเดินทางข้ามผ่านมาอย่างปรอดภัย   คงไม่ใช่เรื่องปรกติธรรมดา   เอาเถิดถึงอย่างไรก็ไม่ใช่กงการอะไรของข้า   เรื่องของพวกท่านก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถอะนะข้าคงไม่ยุ่งด้วยแล้ว ”

 

พูดจบเขาก็กระตุกบังเหียนม้าทำท่าจะจากไป

 

“ รอก่อนท่านพ่อมดน้อย   ท่านรู้ได้อย่างไรว่าดาบในมือบุตรชายข้านี้เก่าแก่ล้ำค่า   ท่านพอจะทราบประวัติของมันหรือไม่ ”

 

หนุ่มน้อยบนหลังอาชาสีขาวเอียงคอจ้องมองอาเธอร์อย่างพินิจพิเคราะห์

ครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยปาก

 

“ ทราบหรือไม่สำคัญด้วยหรือ ”

 

“ บุตรชายของข้าเก็บมันได้จากที่แห่งหนึ่งในถ้ำ   ข้าเองก็รู้สึกว่าดาบเล่มนี้ประหลาดแต่ไม่รู้ว่าดีหรือชั่ว   ถ้าท่านพอจะชี้แนะอะไรได้บ้าง    ข้าจะได้จัดการอย่างเหมาะสมต่อไป ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นทิ้งตัวลงจากหลังม้า

ร่างของเขายามยืนบนพื้นดูสูงโปร่งบางระหง  

เขายื่นมือออกมารับดาบจากฟิโลโซเฟอร์  

ชักมันออกจากฝักดวงตาสีดำลึกลับส่องประกายวูบ

 

“ มีคำล่ำลือมากมายเกี่ยวกับของล้ำค่าในหุบเขานั่น   นักล่าสมบัติมากหน้าหลายตาต้องทิ้งชีวิตเพื่อแลกกับความหวังอันว่างเปล่า   แม้แต่วาลานเองก็ยังส่งผู้กล้าหรือแม้แต่นักเวทเข้าไปในนั้นแต่ก็ยังไม่พบอะไร   ถ้าท่านอยากรู้ว่าแท้จริงสิ่งนี้คืออะไร   ก็จงนำพาไปพบวาลานสิบางทีท่านอาจจะได้คำตอบที่ต้องการ   หรือบางทีอาจจะได้เป็นทองคำกองโตจนต้องตะลึง ”

 

“ ข้ารู้จักจอมเวทวาลานแต่ไม่เคยคิดจะขอคำปรึกษาจากเขา   ในเวลานี้แค่อยากรู้จากปากท่านสิ่งนี้ปรอดภัยหรือไม่   และข้าควรทำอย่างไรกับมัน ”

 

อาเธอร์ว่า

เขารู้สึกเชื่อใจพ่อมดน้อยคนนี้อย่างน่าประหลาด

เชื่อใจพอๆ กับพ่อมดดีมีน

 

“ ในความเห็นของข้าดาบก็คือดาบ ”

 

เขาว่าพลางเก็บมันเข้าฝัก

 

“ ตราบใดที่ยังไม่ชักออกมาก็นับว่าปลอดภัยดีแล้ว   พวกท่านถือออกมาจากหุบเขาจนถึงที่นี่โดยไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นนั่นช่วยยืนยันความจริงข้อนี้   ความเป็นมาของมันข้าไม่อาจรู้ได้   แต่ดาบแบบนี้เด่นสะดุดตามากโดยเฉพาะกับนักเวท   พูดให้ถูกคือมันเป็นวัตถุมนตราเหมาะเป็นอาวุธของเหล่าผู้วิเศษ   หากท่านอยากเก็บไว้กับตัวก็ควรจะซ่อนให้มิด   ไม่อย่างนั้นถ้าวาลานรู้เรื่องเข้า   ท่านคงได้ไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแบบนานสองนาน ”

 

เขาคืนดาบให้เด็กชาย

อาเธอร์ถอดเสื้อคลุมขาดวิ่นของตนคลุมดาบเอาไว้ตามคำแนะนำนั้น

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา