โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
138.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
176) ข้าอาจยืนข้างซาเหวจลอร์ด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์ได้เล่าถึงเรื่องราวในหุบเขาต้องสาป การพบกับดาบโบราณเล่มนั้นไล่เรียงไปถึงความฝันประหลาด เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านบนและในคุกใต้ดินเมื่อครู่ เขาเล่าทุกอย่างแม้เรื่องที่ไม่มีใครเคยได้รู้พยายามอธิบายว่าทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวพันกันอย่างไร หนุ่มน้อยคนนั้นนิ่งฟังด้วยอาการอันสงบ เมื่อเด็กชายเล่าจบลงเขาก็ยกมือที่สวมแหวนรูปงูขึ้นมาดู
“ เขตค่ายมนต์ดำ เจ้าแน่ใจหรือใยข้าไม่รู้สึกถึงมัน ใกล้ขนาดนี้ข้าต้องรู้สิ ”
ดารีลถาม
“ ข้าไม่รู้หรอกอีเลียสเป็นคนบอก แม้แต่เขาก็ยังประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขตค่ายมนต์ดำคืออะไร ”
เด็กน้อยตอบ
“ มันเป็นประตูเล็กๆ ที่เชื่อมไปยังนรก มีเพียงผู้ใช้เวทมนตร์กับอาวุธของผู้พิทักษ์หน้ากากทองเท่านั้นที่ฆ่าปีศาจร้ายจากเขตค่ายนั้นได้ หากเป็นดังเจ้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่อะไรที่ร้ายแรงนัก พวกเขาจัดการได้อยู่แล้ว ”
“ แต่มีปีศาจร้ายตนหนึ่งที่พวกเราฆ่าไม่ตาย ”
“ พวกเจ้าเป็นเด็ก เข้าไปวุ่นวายอะไรกับเรื่องพวกนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่บาดเจ็บล้มตาย ”
ดารีลตำหนิ
“ ใครเขาอยากยุ่งกันล่ะ พวกเราเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก ว่าแต่เจ้าเถอะคำก็เด็กสองคำก็เด็กตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่เลย ”
เด็กน้อยว่า
ทำเอาหนุ่มน้อยคนนั้นถึงกับหน้าตึง
เขาจ้องมองฟิโลโซเฟอร์ด้วยสายตาอันคมกริบ
“ ทำไมเกิดพิศวาสข้าขึ้นมาหรือไรจึงจ้องข้านัก แต่วันนี้ดูท่าจะไม่เหมาะ เอาไว้เราค่อยออกไปเดินเล่นนอกเมืองกันอีกนะข้ายังติดใจไม่หาย ”
เด็กน้อยแกล้งยิ้มยั่ว
พลางพยายามยืดกายขึ้นให้สูงทัดเทียมกับคู่สนทนา
“ เป็นเพราะคืนนั้นข้าเมาหรอกน่าอย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย ”
ดารีลว่า
เขาผลักไหล่เด็กชายให้ถอยห่างออกไป
แล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“ เจ้าโกหก ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งตามหลัง
“ ข้าไม่ชื่อหรอกเจ้าเมาที่ไหนกัน ”
“ ดูรูปวาดตรงนี้สิ ”
ดารีลชี้ไปที่ผนังด้านหนึ่ง
“ ในยุคที่เมืองแพสทรูแลนด์ยังรุ่งเรือง ผู้คนในสมัยนั้นยังบูชาเทพและซาตานข้าก็นึกว่าเขาบูชากันอย่างลับๆ ที่ไหนได้ ”
เขาวาดนิ้วไปตามส่วนต่างๆ ของผนัง
“ มนุษย์นี่นะ เพื่อจะสมความปรารถนาแล้วไม่เลือกวิธีการเอาเสียเลย รูปสลักกากอยที่เจ้าฟันหัวขาดไปเมื่อครู่ก็เช่นกัน มันเป็นปีศาจร้ายที่เขาตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันอำนาจมืด ”
“ ฟังดูแปลกพิกล เอาปีศาจมาข่มขวัญปีศาจนี่นะ ”
เด็กชายว่า
“ ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง มีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจและอีกหลายอย่างที่พวกเขาไม่อาจแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ การย้อนคิดถึงอำนาจสูงกว่าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้ปลอบประโลมจิตใจ ”
ดารีลว่า
“ ข้ารู้ มีหลายครั้งที่พวกเราร้องขอคำอวยพรจากทวยเทพ แต่สุดท้ายพวกเราก็ต้องก้าวข้ามมันไปด้วยตนเอง หรือหากถึงที่สุดผู้ใช้เวทมนตร์จึงจะยื่นมือเข้าช่วย ไม่รู้เป็นเพราะอะไรจึงอยากขอพรต่อเทพนัก แต่ไม่เคยมีใครขอพรต่อซาตานกันหรอก คนยุคโบราณนี่ประหลาดนัก ”
“ เพราะในยุคต้นเหล่าเทพและซาตานนั้นครอบครองโลกใบนี้คนละครึ่งมาเป็นเวลายาวนาน เมื่อจากไปพวกเขาก็ทิ้งไปเฉยๆ โดยไม่แม้จะหันกลับมามอง ในเวลาที่ยากลำบากจึงไม่แปลกหากจะหวนคิดถึงสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจดั้งเดิม อีกทั้งในยุคนั้นผู้ใช้เวทมนตร์ส่วนใหญ่มักปลีกวิเวก ในป่าลึกหรือตามหุบเขาเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน แต่มีบ้างที่ปะปนอยู่ตามเมืองใหญ่ เพิ่งจะแสดงตนชัดเจนในยุคหลังนี่เอง ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเล่า
ฝ่ามือเรียวงามลูบไล้ไปตามผนังภาพเขียนสี
“ และนี่คือยุคที่ซาเหวจลอร์ดปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาต้นกำเนิดแห่งอัญมณีโบราณ ก่อนที่จะกลายเป็นของวิเศษทั้งเจ็ดในภายหลัง แต่ดูเหมือนข้าจะมาผิดที่เพราะไม่มีเรื่องราวเหล่านั้นบันทึกไว้เลย ข้าพลาดตรงไหนไปอย่างนั้นหรือ ”
ดารีลเอนหลังพิงผนัง
สีหน้าเหนื่อยหน่ายเหลือทน
“ เจ้ากำลังตามหาของวิเศษทั้งเจ็ดเพื่อถอนคำสาป ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยอุทาน
“ ข้ากำลังหาที่มาที่ไปของมันต่างหาก ของอันตรายแบบนั้น มันคือของที่แม้แต่ซาเหวจลอร์ดยังต้องยอมสยบจะผุดขึ้นมาดื้อๆ ได้อย่างไร ในคราแรกเริ่มนั้นมันมีแค่ชิ้นเดียว ถ้าข้าเดาไม่ผิดคงมีปัญหาเรื่องแก่งแย่งการครอบครองเกิดขึ้น สุดท้ายจึงแบ่งออกเป็นเจ็ดชิ้นกระจายไปตามที่ต่างๆ และเงียบหายไป แต่เวลานี้ชื่อของมันได้ย้อนคืนมาแล้วและผู้คนต่างตามหา ไม่แน่ในมุมมืดที่โสมมซาเหวจลอร์ดเองก็อาจกำลังคืนชีพเช่นกัน ”
พ่อมดน้อยอธิบาย
“ ที่มาของมันสำคัญมากเลยหรือ แค่ถอนคำสาปได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ”
“ รู้ที่มาก็รู้เป้าประสงค์ในการสร้าง ของบางอย่างไม่ได้ใช้ก่อประโยชน์เพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับมีดพกของเจ้า คุ้มดีก็ปอกเปลือกผลไม้คุ้มร้ายก็ใช้เชือดคอคนอื่น สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ”
“ ในสายตาของเจ้าซาเหวจลอร์ดนั้นน่ากลัวมากเลยหรือ และเจ้ากำลังคิดว่าของวิเศษทั้งเจ็ดน่ากลัวยิ่งกว่าซาเหวจลอร์ดอย่างนั้นใช่ไหม ”
เด็กชายถาม
“ ซาเหวจลอร์ดเกิดขึ้นเพราะกลียุค ดับไปเมื่อสิ้นกลียุค แต่ของวิเศษที่ว่านั้นเกิดขึ้นเพื่อสิ่งใดสูญหายเพราะสิ่งใด ”
ดารีลเงียบไป
แววตานั้นเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจหยั่งถึง
“ หากข้าเกิดในยุคนั้นไม่แน่ข้าอาจยืนข้างซาเหวจลอร์ด ”
“ แล้วในยุคนี้ล่ะเจ้ายืนข้างใคร ”
เด็กชายถาม
“ ข้ายืนข้างตนเองโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่มืดมิด ”
ดารีลตอบ
“ ไม่จริงหรอก ”
เด็กชายแย้ง
“ อย่าตามหาข้าเลยนะหากวันหนึ่งข้าหายไป และในวันข้างหน้าถ้าเกิดซาเหวจลอร์ดปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครเจ้าต้องหยุดเขาให้ได้ ”
“ พูดอะไรน่ะดารีล อย่างเจ้าก็เพ้อเจ้อเป็นกับเขาด้วยหรืออย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย เจ้าน่ะเป็นซาเหวจลอร์ดไม่ได้หรอกความสามารถมีไม่เพียงพอ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นถึงกับเอียงคอด้วยความสงสัย
อะไรหรือที่เขามีไม่เพียงพอ
“ อย่างน้อยเจ้าต้องสังหารข้าให้ได้ก่อน หากคิดว่าตนเองเป็นปีศาจร้ายตนนั้น ”
คมมีดสีคำวางแนบบนลำคอเด็กชายในพริบตานั้น
แต่เขาหาได้หวาดกลัวไม่
เดินก้าวเข้ามาหวังให้มีดบาดลึกลงไป
จนดารีลต้องชักมีดกลับ
“ เจ้ามันเด็กสิ้นคิดไว้ใจคนอื่นมากไป อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือเพียงแต่ข้าคิดถึงสิ่งที่จะตามมา มันไม่ง่ายเลยที่คนคุ้นเคยของพ่อมดดีมีนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเรื่องจะเงียบ ข้าคงโดนสอบสวนเป็นคนแรก สถานการณ์ของข้าตอนนี้ยิ่งไม่สู้ดี ข้าไม่แหย่รังแตนเล่นหรอกนะ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ เจ้าไม่ได้กลัวท่านดีมีนหรอกสาบานได้ เจ้ากลัวใจตนเองต่างหากล่ะแต่อย่าห่วงเลยไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือเป็นอะไร ข้าก็ไม่มีวันปล่อยมือเจ้าไปหรอก ”
“ เขตค่ายมนต์ดำ เจ้าแน่ใจหรือใยข้าไม่รู้สึกถึงมัน ใกล้ขนาดนี้ข้าต้องรู้สิ ”
ดารีลถาม
“ ข้าไม่รู้หรอกอีเลียสเป็นคนบอก แม้แต่เขาก็ยังประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขตค่ายมนต์ดำคืออะไร ”
เด็กน้อยตอบ
“ มันเป็นประตูเล็กๆ ที่เชื่อมไปยังนรก มีเพียงผู้ใช้เวทมนตร์กับอาวุธของผู้พิทักษ์หน้ากากทองเท่านั้นที่ฆ่าปีศาจร้ายจากเขตค่ายนั้นได้ หากเป็นดังเจ้าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่อะไรที่ร้ายแรงนัก พวกเขาจัดการได้อยู่แล้ว ”
“ แต่มีปีศาจร้ายตนหนึ่งที่พวกเราฆ่าไม่ตาย ”
“ พวกเจ้าเป็นเด็ก เข้าไปวุ่นวายอะไรกับเรื่องพวกนั้น ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่บาดเจ็บล้มตาย ”
ดารีลตำหนิ
“ ใครเขาอยากยุ่งกันล่ะ พวกเราเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก ว่าแต่เจ้าเถอะคำก็เด็กสองคำก็เด็กตัวเจ้าเองก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่เลย ”
เด็กน้อยว่า
ทำเอาหนุ่มน้อยคนนั้นถึงกับหน้าตึง
เขาจ้องมองฟิโลโซเฟอร์ด้วยสายตาอันคมกริบ
“ ทำไมเกิดพิศวาสข้าขึ้นมาหรือไรจึงจ้องข้านัก แต่วันนี้ดูท่าจะไม่เหมาะ เอาไว้เราค่อยออกไปเดินเล่นนอกเมืองกันอีกนะข้ายังติดใจไม่หาย ”
เด็กน้อยแกล้งยิ้มยั่ว
พลางพยายามยืดกายขึ้นให้สูงทัดเทียมกับคู่สนทนา
“ เป็นเพราะคืนนั้นข้าเมาหรอกน่าอย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย ”
ดารีลว่า
เขาผลักไหล่เด็กชายให้ถอยห่างออกไป
แล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น
“ เจ้าโกหก ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งตามหลัง
“ ข้าไม่ชื่อหรอกเจ้าเมาที่ไหนกัน ”
“ ดูรูปวาดตรงนี้สิ ”
ดารีลชี้ไปที่ผนังด้านหนึ่ง
“ ในยุคที่เมืองแพสทรูแลนด์ยังรุ่งเรือง ผู้คนในสมัยนั้นยังบูชาเทพและซาตานข้าก็นึกว่าเขาบูชากันอย่างลับๆ ที่ไหนได้ ”
เขาวาดนิ้วไปตามส่วนต่างๆ ของผนัง
“ มนุษย์นี่นะ เพื่อจะสมความปรารถนาแล้วไม่เลือกวิธีการเอาเสียเลย รูปสลักกากอยที่เจ้าฟันหัวขาดไปเมื่อครู่ก็เช่นกัน มันเป็นปีศาจร้ายที่เขาตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันอำนาจมืด ”
“ ฟังดูแปลกพิกล เอาปีศาจมาข่มขวัญปีศาจนี่นะ ”
เด็กชายว่า
“ ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง มีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจและอีกหลายอย่างที่พวกเขาไม่อาจแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ การย้อนคิดถึงอำนาจสูงกว่าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้ปลอบประโลมจิตใจ ”
ดารีลว่า
“ ข้ารู้ มีหลายครั้งที่พวกเราร้องขอคำอวยพรจากทวยเทพ แต่สุดท้ายพวกเราก็ต้องก้าวข้ามมันไปด้วยตนเอง หรือหากถึงที่สุดผู้ใช้เวทมนตร์จึงจะยื่นมือเข้าช่วย ไม่รู้เป็นเพราะอะไรจึงอยากขอพรต่อเทพนัก แต่ไม่เคยมีใครขอพรต่อซาตานกันหรอก คนยุคโบราณนี่ประหลาดนัก ”
“ เพราะในยุคต้นเหล่าเทพและซาตานนั้นครอบครองโลกใบนี้คนละครึ่งมาเป็นเวลายาวนาน เมื่อจากไปพวกเขาก็ทิ้งไปเฉยๆ โดยไม่แม้จะหันกลับมามอง ในเวลาที่ยากลำบากจึงไม่แปลกหากจะหวนคิดถึงสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจดั้งเดิม อีกทั้งในยุคนั้นผู้ใช้เวทมนตร์ส่วนใหญ่มักปลีกวิเวก ในป่าลึกหรือตามหุบเขาเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน แต่มีบ้างที่ปะปนอยู่ตามเมืองใหญ่ เพิ่งจะแสดงตนชัดเจนในยุคหลังนี่เอง ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเล่า
ฝ่ามือเรียวงามลูบไล้ไปตามผนังภาพเขียนสี
“ และนี่คือยุคที่ซาเหวจลอร์ดปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาต้นกำเนิดแห่งอัญมณีโบราณ ก่อนที่จะกลายเป็นของวิเศษทั้งเจ็ดในภายหลัง แต่ดูเหมือนข้าจะมาผิดที่เพราะไม่มีเรื่องราวเหล่านั้นบันทึกไว้เลย ข้าพลาดตรงไหนไปอย่างนั้นหรือ ”
ดารีลเอนหลังพิงผนัง
สีหน้าเหนื่อยหน่ายเหลือทน
“ เจ้ากำลังตามหาของวิเศษทั้งเจ็ดเพื่อถอนคำสาป ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยอุทาน
“ ข้ากำลังหาที่มาที่ไปของมันต่างหาก ของอันตรายแบบนั้น มันคือของที่แม้แต่ซาเหวจลอร์ดยังต้องยอมสยบจะผุดขึ้นมาดื้อๆ ได้อย่างไร ในคราแรกเริ่มนั้นมันมีแค่ชิ้นเดียว ถ้าข้าเดาไม่ผิดคงมีปัญหาเรื่องแก่งแย่งการครอบครองเกิดขึ้น สุดท้ายจึงแบ่งออกเป็นเจ็ดชิ้นกระจายไปตามที่ต่างๆ และเงียบหายไป แต่เวลานี้ชื่อของมันได้ย้อนคืนมาแล้วและผู้คนต่างตามหา ไม่แน่ในมุมมืดที่โสมมซาเหวจลอร์ดเองก็อาจกำลังคืนชีพเช่นกัน ”
พ่อมดน้อยอธิบาย
“ ที่มาของมันสำคัญมากเลยหรือ แค่ถอนคำสาปได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ”
“ รู้ที่มาก็รู้เป้าประสงค์ในการสร้าง ของบางอย่างไม่ได้ใช้ก่อประโยชน์เพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกับมีดพกของเจ้า คุ้มดีก็ปอกเปลือกผลไม้คุ้มร้ายก็ใช้เชือดคอคนอื่น สิ่งนี้ก็เหมือนกัน ”
“ ในสายตาของเจ้าซาเหวจลอร์ดนั้นน่ากลัวมากเลยหรือ และเจ้ากำลังคิดว่าของวิเศษทั้งเจ็ดน่ากลัวยิ่งกว่าซาเหวจลอร์ดอย่างนั้นใช่ไหม ”
เด็กชายถาม
“ ซาเหวจลอร์ดเกิดขึ้นเพราะกลียุค ดับไปเมื่อสิ้นกลียุค แต่ของวิเศษที่ว่านั้นเกิดขึ้นเพื่อสิ่งใดสูญหายเพราะสิ่งใด ”
ดารีลเงียบไป
แววตานั้นเต็มไปด้วยความคิดที่ไม่อาจหยั่งถึง
“ หากข้าเกิดในยุคนั้นไม่แน่ข้าอาจยืนข้างซาเหวจลอร์ด ”
“ แล้วในยุคนี้ล่ะเจ้ายืนข้างใคร ”
เด็กชายถาม
“ ข้ายืนข้างตนเองโดดเดี่ยวบนเส้นทางที่มืดมิด ”
ดารีลตอบ
“ ไม่จริงหรอก ”
เด็กชายแย้ง
“ อย่าตามหาข้าเลยนะหากวันหนึ่งข้าหายไป และในวันข้างหน้าถ้าเกิดซาเหวจลอร์ดปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครเจ้าต้องหยุดเขาให้ได้ ”
“ พูดอะไรน่ะดารีล อย่างเจ้าก็เพ้อเจ้อเป็นกับเขาด้วยหรืออย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย เจ้าน่ะเป็นซาเหวจลอร์ดไม่ได้หรอกความสามารถมีไม่เพียงพอ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นถึงกับเอียงคอด้วยความสงสัย
อะไรหรือที่เขามีไม่เพียงพอ
“ อย่างน้อยเจ้าต้องสังหารข้าให้ได้ก่อน หากคิดว่าตนเองเป็นปีศาจร้ายตนนั้น ”
คมมีดสีคำวางแนบบนลำคอเด็กชายในพริบตานั้น
แต่เขาหาได้หวาดกลัวไม่
เดินก้าวเข้ามาหวังให้มีดบาดลึกลงไป
จนดารีลต้องชักมีดกลับ
“ เจ้ามันเด็กสิ้นคิดไว้ใจคนอื่นมากไป อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือเพียงแต่ข้าคิดถึงสิ่งที่จะตามมา มันไม่ง่ายเลยที่คนคุ้นเคยของพ่อมดดีมีนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเรื่องจะเงียบ ข้าคงโดนสอบสวนเป็นคนแรก สถานการณ์ของข้าตอนนี้ยิ่งไม่สู้ดี ข้าไม่แหย่รังแตนเล่นหรอกนะ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่า
“ เจ้าไม่ได้กลัวท่านดีมีนหรอกสาบานได้ เจ้ากลัวใจตนเองต่างหากล่ะแต่อย่าห่วงเลยไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครหรือเป็นอะไร ข้าก็ไม่มีวันปล่อยมือเจ้าไปหรอก ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ