โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

177) ข้าทำเจ้ากลัวหรือ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันในเมืองร้างใต้ดิน   ดารีลเป็นคนเล่าถึงตำนานเก่าแก่ที่เกี่ยวกับเทพและซาตาน   รวมถึงการบูชายัญของผู้คนในยุคนั้น   และสงครามครั้งใหญ่ที่จบลงด้วยการจากไปของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย

 

“ แล้วเหตุใดจึงมีสัตว์ปีศาจและผีร้ายหลงเหลืออยู่บนโลกในเมื่อซาตานได้จากไปแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์สงสัย

 

“ มันเหมือนเป็นมรดกที่ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า   ซาตานนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย   สิ่งต่างๆ ที่ทิ้งเอาไว้ล้วนเป็นเครื่องหมายย้ำเตือนว่าลึกๆ แล้วมนุษย์นั้นปรารถนาความดำมืดเพียงใด   ต่างจากเทพที่ล้วนทระนงตนพวกเขาวางมือจากโลกใบนี้แล้วโดยสิ้นเชิง   ผู้ใดปรารถนาดินแดนเทพจึงต้องบริสุทธิ์ทั้งกายและใจประตูสวรรค์จึงจะเปิดต้อนรับ   ในขณะที่นรกเปิดประตูกว้างสุดกว้างจนแทบจะส่งคนมาอุ้มมนุษย์เข้าไปด้วยความยินดี   ซึ่งคำกล่าวนี้จริงไม่น้อย   เวลานี้มีผู้หนึ่งเดินท่องบนพื้นโลก   ผู้ที่อยู่นอกเหนือพันธสัญญาทั้งปวง   เหยียบย่างไปได้ทั้งสามดินแดน   เป็นที่รังเกียจของเหล่าทวยเทพแต่ได้รับความเอ็นดูอย่างท่วมท้นในนรก   เขาผู้นี้จะพาจิตใจมนุษย์ดิ่งลงสู่ปากเหวที่ลึกที่สุด ”   

 

คนอายุมากกว่าว่า

 

“ เจ้ารู้จักหรือคนผู้นั้นน่ะ   แล้วบุคคลอันเป็นที่ชอบพอในนรกไปเยือนสวรรค์ได้อย่างไรกัน ” 

 

“ เขาเป็นรอยด่างอันร้ายกาจของมหาเทพ   ยากที่จะยอมรับยากที่จะให้อภัย   ส่วนเรื่องว่าข้ารู้จักเขาหรือไม่  ”

 

ดารีลเล่าไป

มือก็แกว่งคันธนูเล่นไปราวกับเด็กน้อยจอมวุ่น

ที่ต้องหาอะไรทำเรื่อยเปื่อย

อยู่ปรกติสุขไม่เป็น

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็คว้าคันธนูในท่าตั้งมั่น

แล้วปล่อยลูกดอกออกไปโดยไร้สัญญาณเตือนใดให้รู้ล่วงหน้า

 

เด็กน้อยจากแดนซีนาร์ยทั้งตะลึงทั้งมึนงง

เขาหันขวับไปมองว่าดารีลโจมตีสิ่งใด

 

จึงทันได้เห็นร่างในชุดคลุมดำ

ถูกลูกศรพุ่งเข้ากลางอกก่อนจะสลายกลายเป็นควัน

 

“ ก็ยังเป็นข้อกังขาอยู่ ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิม

ราวกับไม่มีสิ่งใดขัดจังหวะเมื่อครู่

 

“ เจ้าๆ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตะกุกตะกัก

ชี้มือไปยังจุดที่ใครคนหนึ่งเคยยืนอยู่

รู้สึกตกใจที่คนอย่างดารีลสามารถสังหารคน

ได้อย่างราบเรียบและเยือกเย็น

 

“ เขาหนีไปได้หรอกน่า   ธนูนี่บอบบางเกินกว่าจะใช้จัดการกับผู้ใช้เวทมนตร์   เจ้าน่ะแตกตื่นเกินความจำเป็นเสียแล้ว   ตกลงใช่หมอนี่หรือเปล่าที่เจ้าเจอในคุกใต้ดิน ”

 

เด็กน้อยยกมือกุมอก

ถอนหายใจเฮือก

 

“ ไม่ใช่หรอก ”

 

“ อะไรทำให้เจ้าแน่ใจเช่นนั้น   ไหนบอกว่าเขายืนข้างหลังเจ้ามิใช่หรือ ”

 

ดารีลถาม

 

“ ข้าเห็นเงาของเขา ” 

 

คำตอบนั้นทำเอาหนุ่มน้อยหน้ามนถึงกับกลั้นขำ

 

“ เจ้าไม่เข้าใจดารีล   เขายืนข้างหลังก็จริงแต่ใกล้ชิดมาก   ข้าสัมผัสพลังและกลิ่นอายของเขาได้มันเป็นสิ่งที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี   พลังที่พร้อมทำลายทุกสิ่งที่กล้าขวางหน้า ”

 

“ แล้วเจ้าแอบไปคุ้นเคยกับคนประเภทนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ”

 

ดารีลหรี่ตา

จ้องมองเด็กชายด้วยอารมณ์มึนตึง

 

“ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าฝัน   เจ้าจะโมโหทำไมเล่า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์จับไหล่หนุ่มน้อยคนนั้นเขย่า

 

“ และใครจะไปอยากฝันถึงคนแบบนั้นกัน   เขาทำข้าหวาดกลัวแทบคลั่งหลอกหลอนทั้งยามหลับและยามตื่น   แต่เป็นเพราะข้าฝันถึงเขาบ่อยๆ นั่นแหละเพียงเจอกันครั้งแรกข้าจึงได้คุ้นเคยนัก ”

 

“ ฝันถึงบ่อยขนาดนั้นเชียว   เจ้าต้องหมกมุ่นเท่าไร่กันจนต้องเก็บไปฝัน   วิธีคบหาสหายของเจ้าประหลาดแท้   ในฝันก็ได้หรือ ”

 

ดารีลยังบ่นต่อ

 

“ ฟังนะ   คนที่คิดร้ายกับเจ้าไม่มีทางเป็นเพื่อนข้าได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม   ข้าไม่ได้อยากฝันถึงเขาแต่ไม่รู้ทำไมจึงหยุดไม่ได้   เจ้าอย่าหาเรื่องข้านักเลยถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะแช่งให้เจ้าฝันบ้าง ”

 

เด็กชายว่า

 

“ ข้าไม่เหงาถึงขนาดต้องคบหาคนในฝันเป็นเพื่อน ”

 

“ ดารีลเจ้าหยุดซะที ”

 

ฟิโลโซเฟอร์กระชากคอเสื้อหนุ่มน้อยคนนั้นเข้ามาใกล้ๆ

ดารีลถึงกับยิ้มกริ่ม

 

“ ยุให้โกรธก็ได้หรือนี่เด็กโง่   จริงๆ ข้าไม่คิดว่าคนเมื่อครู่จะเป็นคนเดียวกับที่เจ้าเห็น   ข้าเชื่อว่าเจ้าพูดจริงและหมอนั่นก็แตกต่างจากคนเมื่อครู่พอสมควร   ว่าแต่เจ้าแยกมนต์ขาวกับมนต์ดำออกด้วยหรือผู้ใช้เวทมนตร์บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ   ถึงว่าหมอนั่นจึงอยากได้ตัวเจ้าไปแบบยังมีชีวิตอยู่ ”

 

“ อาจเป็นเพราะสิ่งนี้ ”

 

เด็กชายยื่นดาบให้ดารีลดู

ดาบสีเงินเล่มนั้น

 

“ เขาบอกให้ข้าทิ้งมันไปทำไมนะ ”

 

“ หมอนั่นคงคิดจะมอบสิ่งอื่นให้กับเจ้าสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าทางเลือกที่ดีกว่า ”

 

ดารีลว่า

 

“ ข้าแกร่งได้ด้วยตัวของข้าเอง   อย่ามายุเสียให้ยาก   ว่าแต่คนเมื่อครู่ที่เจ้ายิงธนูใส่เขาเป็นใครกัน ”

 

เด็กชายตัวน้อยถาม

 

“ เขาตามข้ามาพักใหญ่แล้ว   แต่ภารกิจของข้าไม่ใช่เรื่องลับอะไรเลยแกล้งปล่อยผ่านไปอย่างนั้นเอง ”

 

“ แบบนี้นะที่เรียกว่าปล่อยผ่าน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ทำท่าขนลุก

เขาเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นลงมือโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ

ถ้าหลบไม่ทันคือตายสถานเดียว

 

“ ถ้าข้าไม่ปล่อยป่านนี้โดนกวาดเรียบไปยันคนออกคำสั่งให้สะกดรอยตามแล้ว   นี่เจ้าดูไม่ออกจริงๆ น่ะหรือว่าข้าเป็นคนแบบไหน   แม้แต่ตัวเจ้าเองก็อย่าได้คิดว่าข้าไม่กล้าลงมือ ”

 

เด็กชายได้ฟังแล้วก็เงียบไป

จนดารีลต้องสอดแขนคล้องคอเขาเอาไว้

 

“ ข้าทำเจ้ากลัวหรือไง ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นกระซิบ

 

“ ฮึ   เจ้ายังน่ากลัวไม่ถึงครึ่งหมอนั่นหรอกปีศาจความฝันผู้สวมหน้ากากเหล็ก   หมอนั่นแค่ยืนเฉยๆ ยังไม่ทำอะไรข้าก็แทบลมจับแล้ว ”

 

“ น่าสนใจนี่ ”

 

ดารีลกระซิบ

พลางกระชับแขนให้รัดแน่นขึ้น

 

“ วันหลังชวนมาพบข้าบ้างสิ ”

 

“ เขาจะไม่มีวันได้เห็นเจ้าข้าไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้น   หมอนั่นหมายชีวิตเจ้าอยู่นะ   ลืมไปแล้วหรือ ”

 

เด็กชายตะโกน

ด้วยความเกรี้ยวกราด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา