โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
175) มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายตัวน้อยแห่งแดนซีนาร์ยได้ต่อสู้กับผีร้ายภายในตัวปราสาทเมืองแพสทรูแลนด์ พวกมันออกันที่หน้าประตูเมื่อเด็กชายถอยร่นเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจกระโดดหนีออกทางหน้าต่างชั้นสาม ด้วยพื้นด้านนอกที่เป็นโขดหินไม่ราบเรียบอย่างที่คิด ฟิโลโซเฟอร์จึงสะดุดทำตะเกียงหลุดมือกระเด็นไป เขาล้มกลิ้งไปตามพื้น
แสงจากตะเกียงสะท้อนให้เห็นเงาประหลาดรูปร่างบิดเบี้ยวยืนค้ำอยู่เหนือหัว ด้วยความรวดเร็วอย่างใจนึกเด็กชายตัวน้อยตวัดดาบตัดคอมันขาดกระเด็น เขาดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันปลายดาบเข้าใส่ด้วยความประหลาดใจ หัวของมันหลุดไปแล้วแต่ร่างของมันยังยืนนิ่ง ไม่ล้มลงดิ้นทุรนทุรายอย่างที่ควรจะเป็น
เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหาตะเกียง สายตายังจับจ้องที่ร่างประหลาดนั้น ทันใดก็เกิดความเคลื่อนไหวสองอย่างพร้อมกัน หัวปีศาจตนนั้นกลิ้งกลับมาหาเขา พร้อมกับร่างเงาสีดำเคลื่อนตามหลังมาติดๆ เด็กชายไม่รอช้ากระโดดข้ามหัวปริศนานั้นพุ่งเข้าฟาดฟันทันที เงาดำไถลตัวหลบปลายดาบไปด้านข้างแล้วหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์อุทานออกมา
“ เจ้านี่อย่างไรกันนะ เจอหน้ายังไม่ทันพูดจาก็จ้องจะฟันข้าเสียแล้ว ”
“ เจ้า เจ้า ”
เด็กน้อยเอ่ยตะกุกตะกัก
ทั้งดีใจและตกใจปนเปกันไปหมด
“ ใยไม่ส่งเสียงเตือนเกือบไปแล้วไหมล่ะ ”
เด็กชายประท้วง
“ ก็นึกว่าเจ้ามองเห็นแล้ว เดินออกมาทื่อๆ ต่อหน้าต่อตาแท้ๆ ยังคิดว่าข้าเป็นภูตผีปีศาจอยู่หรือ และที่เคยเตือนเจ้าไม่เคยจำบ้างหรือไร ว่าอยู่เมืองศิวิไลซ์มีผู้คนมากมายอย่าเที่ยววิ่งแหกปากร้องไปทั่ว ”
หนุ่มน้อยคนนั้นยังบ่นยืดยาว
แล้วก็ชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่าได้พูดบางอย่างผิดไป
“ ข้าหมายรวมถึงเมืองเก่าแก่ที่คลาคล่ำไปด้วยผีร้ายด้วย ”
“ ข้ารู้หรอกน่าแต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ก็ข้าร้อนใจนี่นา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายข้างบนนั่นข้าหมายถึงในปราสาทขาว แล้วเจ้ายังมาหายตัวไปอีก ”
เด็กชายว่า
“ ถ้าเจ้าตกอยู่ในอันตรายก็สั่นกระดิ่งเรียกข้าได้นี่ แต่คงไม่ ว่าแต่เจ้าไปซุกซนที่ไหนมาสภาพถึงดูไม่จืดได้ขนาดนี้ โอรีเวียไม่ใช่ลานวิ่งเล่นเจ้าควรมีขอบเขตบ้าง ”
ดารีลว่า
เขาก้มหยิบตะเกียงแล้วเดินเข้าไปหา
เมื่ออยู่ใกล้ชิดหนุ่มน้อยคนนั้นถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เพราะกลิ่นกำยาน
“ รสนิยมด้านเครื่องประทินร่างของเจ้านี่น่าสะพรึงนัก คนทั่วไปเขาใช้น้ำมันหอมชโลมผมกัน นี่เจ้าทำอะไร คงไม่ได้เอาหัวไปมุดกระถางเผากำยานมาหรอกนะ แบบนี้ไปเดินเที่ยวกลางถนนผู้คนคงได้เหลียวหลังมองจนคอหัก ”
คนอายุมากกว่ายกมือปิดจมูก
ทั้งขำทั้งอนาถกับสิ่งที่ปรากฏบนตัวเด็กน้อย
“ คิดว่าข้าชอบใจหรือไร มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นต่างหากล่ะ ”
เด็กชายสะบัดผงกำยานออกจากหัว
แล้วฉวยเอาตะเกียงคืนมา
“ ข้าลืมเรื่องกระพรวนไปเลย แต่ถึงนึกได้ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าเป็นอย่างไรในเวลานี้ จะสามารถไปหาข้าได้หรือเปล่า ”
“ ข้าไม่ใช่คนยึดมั่นถือมั่น หากเจ้าเรียกหาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ข้าก็จะไป หรืออย่างน้อยข้าก็จะทำให้เจ้ารู้ว่าข้าได้ยิน เว้นแต่ข้าจะตายไปแล้วเท่านั้น ”
ดารีลว่า
พอได้ยินคำว่าตายเด็กชายก็ตกใจ
เขายื่นดาบสีเงินให้พ่อมดน้อย
“ ถือนี่ไว้เจ้าต้องใช้มัน ”
“ ทำไมล่ะ ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้อีกอย่างข้าพบนี่ ”
ดารีลยกธนูให้ดู
“ เป็นของชาวเมืองแพสทรูแลนด์เดิม เก่าแก่แต่ยังพอใช้ได้ ว่าแต่เจ้าว่างมากหรือไรจึงเที่ยววิ่งไปมาแบบนี้ แล้วยังมีปัญหากับกากอยอีก มันกวนใจอะไรนักหนา ”
หนุ่มน้อยคนนั้นถาม
พลางยกหัวที่หล่นกลิ้งบนพื้นกลับไปวางที่เดิม
เด็กชายเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นเพียงรูปสลักหินเท่านั้นเอง
เขาเงยหน้าขึ้นไปบนปราสาท
แล้วต้องประหลาดใจที่เหล่าผีร้ายไม่แห่กันตามมาอีก
“ ดารีลเจ้ารู้จักผู้ใช้มนต์ดำหรือไม่ ”
คำถามนั้นทำเอาพ่อมดน้อยสะดุดกึก
“ ถ้านับรวมสตรีชุดแดงเข้าไปด้วยข้าก็คงต้องยอมรับ เจ้าจะอยากรู้ไปทำไมกัน ”
“ ข้าต้องมอบดาบให้เจ้าแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าท่าทางกลัดกลุ้ม
“ บอกแล้วไงว่ายังไม่จำเป็นข้ามีหลายเล่มให้เจ้ายืมนานเท่าไดก็ไม่เดือดร้อน อีกอย่างผู้ใช้เวทมนตร์ใช้คทาเป็นหลัก ดาบพวกนั้นเอาไว้ถือเล่นแก้เบื่อเท่านั้น เจ้าจะกังวลไปใย ”
“ หมายถึงดาบโบราณที่ข้านำออกมาจากหุบเขาต้องสาปต่างหาก ”
เด็กชายแย้ง
“ ให้มันอยู่กับเจ้า อย่างน้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ตามมานี่เถอะเราหยุดนิ่งกับที่นานเกินไปแล้ว ”
ดารีลว่า
พลางดันไหล่เด็กชายให้ออกเดินไปด้วยกัน
“ เจ้าจำเป็นต้องใช้มันแล้วดารีล ”
“ ไม่ถึงที่สุดข้าจะไม่ใช้ของที่ข้าไม่รู้จัก ดาบเล่มนั้นมีอำนาจมาก หากอยู่ในมือผู้ใช้เวทมนตร์จะสร้างความวอดวายไม่น้อยเลย ถ้าให้ข้าถือไว้ข้าอาจกลายเป็นใครอีกคนที่เจ้านึกไม่ถึง ”
“ เจ้าไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ข้าเชื่อใจเจ้า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกเจ้าดารีลแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ”
คำพูดนั้นทำให้ดารีลหยุดเดิน
เขาหันมาจ้องหน้าเด็กชาย
“ ก็ว่ามาสิ ข้ามีเวลามากมายในตอนนี้ มากพอที่จะฟังเรื่องเพ้อเจ้อของเจ้า ”
ว่าแล้วเขาก็ยิ้มขำ
เหมือนตั้งใจแหย่เล่นเสียมากกว่า
“ บ้าจริง นี่ข้าจริงจังนะดารีลเจ้าต้องหนีไปเพราะมีคนปองร้ายเจ้า ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเงียบ
แววตานิ่งงันสุดท้ายก็หมุนตัวเดินต่อไป
เข้าสู่ปราสาทเมืองแพสทรูแลนด์
“ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่นนะ ”
เด็กชายคนนั้นว่า
พลางวิ่งตามเขาไป
“ คนที่สังหารคนมามากมายก็ย่อมมีศัตรูเป็นธรรมดา ”
ดารีลตอบเรียบๆ
“ อย่าเอาอดีตมาทับถมตนเองสิอีกอย่างข้าไม่ได้หมายถึงคนพวกนั้น ข้าหมายถึงผู้ใช้มนต์ดำต่างหากล่ะ ”
เด็กชายว่า
“ ไปเอาความเชื่อแบบนี้มาจากไหนกัน ว่าผู้ใช้มนต์ดำจ้องจะทำร้ายข้า ”
ในเวลานี้พวกเขาได้เข้ามาในปราสาทอีกครั้ง
รอบกายมีแต่ความเงียบ
ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
“ ข้าฝัน ”
ดารีลถึงกับเอาหน้าผากโขกกับผนังหินที่เย็นเฉียบ
“ ว่าอย่างไรนะ เจ้าฝัน ”
น้ำเสียงนั้นฟังยากว่ากำลังหัวเราะหรือร้องให้
“ นี่คือทั้งหมดที่เจ้ากำลังจะบอก เจ้าฝันแล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะจนถึงขั้นดั้นด้นลงมาที่นี่ พระเจ้าทรงโปรดนี่ข้ากำลังคบหากับคนประเภทไหนกันแน่ ”
“ ดารีลมันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ข้าฝันถึงคนผู้หนึ่งมาตลอดนับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในโอรีเวีย มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนเราจะฝันถึงสิ่งเดิมซ้ำๆ ทั้งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในตอนแรกข้าคิดว่าจิตที่อ่อนแอสร้างเขาขึ้นมาแต่ข้าเพิ่งจะพบเขาเมื่อครู่นี้เอง ร้ายไปกว่านั้นข้าเห็นเขาสังหารเจ้าด้วยดาบที่ข้าพามาจากหุบเขา ”
เด็กชายว่า
เขารู้สึกร้อนใจที่ดารีลไม่เชื่อ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ