โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
174) ฝันร้ายในโลกจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในปราสาทขาวเวลานี้เหลือผู้คนไม่มากแล้วและล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือ เข้ามาเพื่อสังหารผีร้าย ฟิโลโซเฟอร์เล็ดลอดผ่านเข้าไปข้างในโดยไม่อยู่ในความสนใจของผู้ใดเลย เขาตัวคนเดียวไร้ความวิตกกังวลจิตใจก็สงบเยือกเย็นขึ้น ทุกอย่างดูกระจ่างชัดในหมอกมืดมัวไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป เป็นเพราะความตกใจเลยมิได้สังเกต หมอกนั้นมีกลิ่นหอมประหลาดเหมือนดารีลแต่ทว่าเจือจางกว่ามาก
เขาก้าวผ่านระเบียงต่างๆ กลิ่นกำยานที่คลุ้งอยู่ในผมทำให้เหล่าเกรบอคไม่อยากเข้าใกล้ อีเลียสเลือกของได้ดี แม้มันไม่สามารถทำลายมนต์ดำ แต่กลับขับไล่สัตว์ปีศาจจมูกดีเช่นเกรบอคได้
เด็กชายตัวน้อยมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเขานั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพียงเวลาไม่นานก็ไปถึงห้องเก็บของ ผลักกล่องต่างๆ ออกไปจนพ้นทางแล้วงัดแผ่นหินอ่อนขึ้นมาด้วยปลายดาบ
เมืองใต้ดินนั้นดูร้างผิดปรกติ เป็นเพราะสัตว์ปีศาจและผีร้ายได้ปีนขึ้นไปข้างบนจนเกือบหมดสิ้น ตามคำเรียกหาของผู้ใช้มนต์ดำ เด็กชายตัวน้อยจึงผ่านไปยังที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เขาจุดตะเกียงที่หยิบมาจากระเบียงทางเดินของปราสาทขาว มันถูกกระแทกตกลงมาจนกระจกร้าวแต่ก็ยังใช้งานได้ดี
ในที่สุดเขาก็มาถึงคุกใต้ดิน มันเงียบเชียบไร้ซุ่มเสียงใด เด็กชายวิ่งไปยังกรงที่เคยขังดารีล พบว่ามันว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง บางทีพวกนั้นอาจพาเขาหนีขึ้นไปแล้ว แต่ส่วนหนึ่งในความรู้สึกบอกเขาว่าหนุ่มน้อยคนนั้นยังอยู่ข้างล่างนี่ ที่ไหนสักแห่ง
ฟิโลโซเฟอร์รู้สึกวุ่นวายใจไม่รู้จะทำเช่นไรดี แล้วเขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เข้าท่า ตะโกนเรียกชื่อดารีลออกมาทั้งอย่างนั้น
และได้ผลทันทีตะเกียงแขวนหน้ากรงเหล็กสว่างวาบขึ้นพร้อมกัน
พร้อมกับไอหมอกสีดำคละคลุ้งเต็มห้อง
กลิ่นกำยานฉุนเฉียวอย่างร้ายกาจกระแทกเข้าเต็มจมูก
มันเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกหลอกหลอนคุกคาม
เด็กชายตัวน้อยลดสายตามองพื้น
เห็นเงาสีดำกำลังทอดยาวตรงมาหาจากทางด้านหลัง
และตอนนี้อยู่ใกล้จนแทบเอื้อมมือไปสัมผัสถึง
เขาตะลึงงัน
วูบหนึ่งคิดว่าตอนนี้เวลานี้คือความฝัน
แค่ลืมตาตื่นหมอกชั่วร้ายก็จะหายไป
แต่เมื่อตั้งสติให้ดีเขาก็รู้ว่านี่คือความจริงอย่างที่สุด
ทั้งที่ยังไม่หันไปมอง
เขาก็แทบจะมั่นใจว่าคนข้างหลังต้องสวมชุดคลุมดำ
ในมือถือกระถางเผากำยาน
และได้แต่หวังอย่างหวาดหวั่น
ว่าเขาคนคนนั้นคงไม่ได้ถือดาบโบราณไว้ในมืออีกข้างหรอกนะ
ดาบที่ประดับด้วยอัญญมณีสีแดง
“ ทิ้งดาบนั่นไปเสียคุกเข่าลงแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ”
เสียงนุ่มนวลแต่เฉียบขาดดังมาจากด้านหลัง
เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ ย่อตัวลงวางตะเกียงกับพื้น
จากนั้นวางดาบลงใกล้ๆ
“ ว่าง่ายดีนี่ ”
เจ้าของร่างนั้นเอ่ยชม
“ เอาล่ะค่อยๆ หันมาข้าจะดึงเจ้าขึ้น แล้วเจ้าจะได้เป็นมือขวาของข้า ติดตามข้าและยิ่งใหญ่ไปพร้อมกับข้า ”
ฟิโลโซเฟอร์ลุกขึ้นพร้อมกับชักดาบออกจากฝัก
แล้วหันกลับไปฟาดฟันร่างที่อยู่ข้างหลัง
ด้วยความรวดเร็วและเกรี้ยวกราด
หมอกสีดำหายวับในทันที
มีเพียงเขาและความว่างเปล่า
เด็กชายตัวน้อยหอบหายใจจนเซไปชนเข้ากับกรง
ผีร้ายในกรงพุ่งเข้ามาจับตัวเขา
ฟิโลโซเฟอร์แทงสวนเข้าไปโดยไม่เสียเวลาคิด
ประกายดาบเรื่อเรืองขึ้นพร้อมกับผีร้ายที่สลายเป็นควัน
เขาทรุดกายลงนั่งอย่างอ่อนแรง
รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดารีลเจ้าอยู่ไหนนะ
อย่าได้นอนจมกองเลือดอย่างที่ข้าเคยเห็นในความฝันเลย
บุรุษปริศนาได้ปรากฏเป็นจริงขึ้นแล้ว
แต่เจ้าอย่าเป็นดังนั้น
อย่าจากข้าไปเลย
เด็กชายตัวน้อยพาตัวเองออกมาจากคุกใต้ดิน
ด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย
ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหนหรือควรทำอะไรกันแน่
การได้พบกับฝันร้ายร่างดำมืดในยามตื่นนั้น
ทำให้เขาตื่นตระหนก
นับตั้งแต่หนีรอดออกมาจากหุบเขาต้องสาป
ฟิโลโซเฟอร์ฝันถึงคนผู้นี้เสมอ
เด็กชายมักบอกตัวเองว่านี่คือภาพสะท้อนแห่งหุบเขานั่น
คนผู้นี้ไม่มีทางมีอยู่จริง
มันก็แค่ตัวแทนความหวาดกลัวที่กัดกินเขาอยู่ตลอด
แต่บัดนี้รู้แน่แล้วว่าไม่ใช่
เขาปรากฏตัวตรงนี้
พูดคุยกับเขาราวกับรู้จักกันดี
ได้อย่างไรกัน
ทันใดเขาก็คิดถึงคนอีกผู้หนึ่ง
ว่ายังปรอดภัยดีไหม
คนผู้นั้นแข็งแกร่งและชั่วร้าย
แต่กลับปล่อยเขามาอย่างง่ายดาย
แล้วเจ้าล่ะดารีล
คนผู้นั้นจะปล่อยเจ้าหรือเปล่า
ไม่ว่าจะอย่างไร
ข้าต้องหาเจ้าให้พบ
ก่อนคนผู้นั้นให้ได้
เมื่อคิดดังนั้นเขาจึงวิ่งไป
ปากก็ตะโกนเรียกหนุ่มน้อยคนนั้นไปตลอดทาง
เสียงของเขาเรียกเอาผีร้ายที่ยังหลงเหลืออยู่
ให้มุ่งตรงมาหา
แต่เด็กชายตัวน้อย
ก็ไม่ได้หวั่นไหว
พร้อมกับดาบในมือที่เปล่งแสงเรื่อเรืองขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ