โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.67K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) มังกรและบึงเลือด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมังกรดำตัวหนึ่งกำลังหลับอย่างสงบสุข มันแทบจะไม่เคยออกไปหาอาหารเลยเนื่องจากว่ามันแก่ชรามากแล้ว แต่มันก็ไม่ลำบากลูกหลานของมันยังคาบเหยื่อมาให้อย่างสม่ำเสมอ ตอนนี้มันทำหน้าที่เพียงเฝ้าสมบัติล้ำค่าของนายใหญ่ผู้ล่วงลับ มันอยู่ที่นี่มาตลอดสิบปีเคอร์คารอลเป็นนายแห่งหุบเขาบัดนี้ได้พามังกรดำกลุ่มสุดท้ายออกไปทำภารกิจบางอย่าง แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีแน่ๆ ทุกวันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น ไม่กี่วันมานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่นี่ พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ข้าจำกลิ่นนั้นได้ อา…เจ้าชายองค์น้อยๆ ของเรา พวกเราต่างคิดว่าสิ้นชีพไปแล้ว เขามาที่นี่มาจุดไฟให้พวกเราอีกครั้งเขาเติบโตขึ้นมากและกล้าแกร่งมากด้วย
ในถ้ำกลางหุบเขากว้างใหญ่ มังกรดำแก่ๆ เฝ้าสมบัติอยู่เพียงลำพัง แต่มันก็หาได้มีความกังวลใจไม่ภายใต้หุบเขาแห่งนี้มันไม่มีอะไรต้องกลัว และชั่วชีวิตนี้มันไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด มันนอนหลับอยู่ในถ้ำอย่างเงียบสงบแต่แล้วก็มีอันต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงวิ่งและเสียงตะโกน เอาอีกแล้วพวกละโมบคงจะแอบมาขุดสมบัติโบราณของซาเหวจหลอดล่ะสิ มันนึกอย่างกระหยิ่มใจที่อยู่ดีๆ ลาภจะมาส่งถึงปาก มังกรร้ายจึงซุ่มอยู่เงียบๆ แต่พอภาพของเหยื่อปรากฏแก่สายตามันก็ต้องประหลาดใจ เหยื่อของมันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ สองคนแถมคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงเสียด้วย แล้วเด็กที่ไหนกันกล้าหาญถึงเพียงนี้ด้วยความประหลาดใจมันจึงขู่คำรามขึ้น แทนที่เด็กเหล่านั้นจะตกใจกลัวกลับหันมาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และแล้วในมือของเด็กผู้หญิงก็เกิดแสงสว่างเรื่อเรืองขึ้นตาของมันถึงกับพร่าพรายไปชั่วครู่ มันจึงคำรามกึกก้องอีกครั้งด้วยความโกรธ
ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาปริบๆ
พยายามปรับสายตากับความสว่างเขาเห็นคาโอเรียยืนนิ่ง
สูงขึ้นไปบนชะง่อนหินเหนือหัวของนางมังกรดำตัวใหญ่ยืนผงาดอยู่ตรงนั้น
ดวงตาสีแดงอำมหิตจ้องลงมาอย่างดุร้าย
“ เร็วเข้าคาโอเรียไปหาที่ซ่อน ”
เด็กชายตะโกนก้อง
คาโอเรียยังยืนอึ้ง
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมังกรดำโน้มกายอยู่ห่างแค่เอื้อม
“ หนีเข้าไปในซอกหินเร็ว ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์ร้องเตือนอีกครั้ง
มังกรดำยืดตัวขึ้นมันกางกรงเล็บออกพร้อมๆ กับฟิโลโซเฟอร์ปล่อยลูกศร
ลูกธนูสองดอกพุ่งตรงไปที่ดวงตาของมันอย่างแม่นยำ
ปีศาจร้ายคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ร่างมหึมากางปีกร่อนลงมากรงเล็บแหลมคมตะปบลงตรงที่มันเคยเห็นฟิโลโซเฟอร์ยืนอยู่ด้วยโทสะ
เด็กชายหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเขาตะกายขึ้นก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าโดยมีมังกรดำกระโจนตามไปติดๆ
แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่จมูกมันยังใช้การได้
เด็กชายปีนป่ายไปตามก้อนหินก่อนจะลื่นหล่นโครมลงในบึงเล็กๆ มังกรดำตามกลิ่นเขาไปติดๆ
มันไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งตามลงไป
ฟิโลโซเฟอร์จมลงในน้ำสีเขียวมรกตสองมือของเขาว่างเปล่าไร้อาวุธ
มังกรดำยังไล่ตามเขามาติดๆ เขาปล่อยให้ตัวเองจมจนถึงก้นบึง
ความหวังเดียวของเขามีอยู่เพียงว่าคาโอเรียจะหนีไป
เพราะเมื่อใดที่มังกรตัวนี้กลับขึ้นฝั่งมันคงไม่ปล่อยนางไว้แน่
มือของเขาสัมผัสกับวัตถุหนึ่งที่ก้นบึง
มันเย็นเฉียบยิ่งกว่าอุณหภูมิน้ำพลังประหลาดแผ่ซ่านขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
เขากำมือรอบสิ่งนั้นแล้วกระชากมันออกมา
คาโอเรียหวีดร้องด้วยความตกใจนางวิ่งตรงไปยังบึงแห่งนั้น
น้ำในบึงที่เคยเป็นสีเขียวเรื่อเรืองบัดนี้เต็มไปด้วยฟองฟอดสีแดงที่ผุดขึ้นกลางบึงอย่างดุเดือด
บึงมรกตเริ่มเปลี่ยนเป็นบึงโลหิตในบัลดลกลิ่นคาวคละคุ้งไปทั่ว
เด็กหญิงวิ่งไปจนถึงขอบบ่อได้แต่มองจุดที่น้ำสีแดงทะลักขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น
หางแหลมคมของมังกรโผล่พ้นน้ำขึ้นมากวัดแกว่งรุนแรง
“ ฟิโลโซเฟอร์! ฟิโลโซเฟอร์! ”
คาโอเรียร้องเรียกทั้งน้ำตา
เด็กหญิงสาวเท้าไปอีกก้าวตั้งท่าจะกระโดด
“ หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ต้องลงมาเลยนะ ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าเราน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ส่งเสียงดุ
เขายังสำลักอยู่เลยตอนที่พยายามตะกายเข้าหาฝั่ง
ดาบกำแน่นอยู่ในมือข้างหนึ่งขณะปีนขึ้นตามโขดหินที่เปียกลื่น
“ ปรอดภัยดีใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามน้องสาว
นางจับลูกระต่ายป่าตัวน้อยด้วยมือข้างเดียวแล้วยื่นไปจนชนกับอกเขาพลางยิ้มแป้น
“ แน่นอนอยู่แล้วดูมันสิ ”
“ ข้าไม่ได้หมายถึงลูให้ดิ้นตายสิ ”
เด็กชายเริ่มมีโมโหเขาจับไหล่น้องสาวเขย่าอย่างแรง
“ โอ๊ย! เจ็บนะ เอ๊ะ! นั่นพี่เอาดาบของใครมาจะว่าของท่านพ่อก็ไม่เห็นเหมือน ”
“ นี่น่ะหรือ ข้าเจอในบึงโชคดีที่มันคมมาก ตอนสัมผัสมันด้ามจับครั้งแรกมันเย็นเฉียบอย่างน่าประหลาดเลยล่ะ ไม่นึกเลยว่าจะตัดคอมังกรได้ด้วยการฟันแค่ครั้งเดียว ”
เขาพลิกดาบขึ้นเก็บเข้าฝักแล้วชันมันกับพื้น
เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าดาบเมนี้หนักใช่เล่น
ทับทิมเม็ดโตที่ประดับตรงด้ามดาบทำประกายลึกลับกับแสงไฟ
ฟิโลโซเฟอร์มองดูสิ่งที่คาโอเรียถืออยู่
“ หินของพ่อมด เจ้าทำได้แล้วในที่สุดหินแห่งดวงดาวก็ส่องสว่างให้เจ้า จริงสิธนูของข้า ข้าคิดว่ามันคงหักไปตอนที่ฟาดมังกรบ้าบอตัวนั้น ”
เด็กชายทำสีหน้าห่อเหี่ยวด้วยความเสียดาย
“ โธ่เอ๋ย! จะเป็นไรไปเดี๋ยวขอให้ท่านพ่อทำให้ใหม่สักกี่อันก็ได้ ถ้าท่านพี่มีฝีมือจริง ธนูอันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ”
คาโอเรียหัวเราะคิกคัก
“ ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ข้าต้องเสียของรักไปก็เพราะเจ้า แล้วเจ้าจะบอกว่าถ้าไม่มีธนูนั่นข้าจะยิงธนูไม่เป็นอย่างนั้นหรือ คอยดูสักวันเจ้าต้องเสียใจที่พูดแบบนั้น ”
“ แต่พี่ชายก็ได้สิ่งใหม่ทดแทนมิใช่หรืออาจจะดีว่าเดิมด้วยซ้ำ ”
“ ดาบเล่มนี้หรือ ”
เขาว่าพลางยกขึ้นดูชัดๆ
“ ไม่รู้สิ มันต่างจากดาบของท่านพ่อไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ แต่เป็นการสัมผัส พลังบางอย่างทำให้นึกถึงธนูที่พ่อมดดีมีนมอบให้ ถึงจะดูหนักหน่วงและน่ากลัวกว่ามากก็ตาม ข้าคิดว่ามันเป็นวัตถุเวทมนต์ ”
“ ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอย่างไรกับของสิ่งนี้ ”
คาโอเรียถาม
“ เอากลับไปถามท่านพ่อดู บางทีท่านอาจมีคำแนะนำที่เหมาะสม ”
พี่ชายของนางตอบ
“ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ”
พูดแล้วนางก็ชะงักเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ด้านหลังนั้นเกิดอะไรขึ้น
“ ตัวประหลาดพวกนั้นล่ะ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ”
“ ข้าไม่รู้ แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรท่านพ่อเก่งมากและท่านแม่ของพวกเราก็แข็งแกร่ง ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่เด็กชายก็ไม่ได้รู้สึกวางใจ
คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้
และเขาก็รู้ดี
“ จริงข้าเห็นด้วย งั้นพี่ชายนำไปเลยข้าจะคอยให้แสงสว่าง ”
คาโอเรียว่าพลางอุ้มกระต่ายพาดบ่ามือข้างหนึ่งถือหินวิเศษที่ส่องแสงเรื่อเรือง
ฟิโลโซเฟอร์หันไปหาทางออกแล้วก็ต้องตกตะลึง
สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแค่เศษขยะแท้ที่จริงแล้วมันเป็นโคลงกระดูกมนุษย์และซากคนตายกองสุมกันอยู่
เด็กชายพยักหน้าช้าๆ เมื่อรู้ที่มาของกลิ่นสาบสางเหล่านั้นแล้ว
เขามองขึ้นไปบนซอกหินตามผนังถ้ำเผื่อจะมีมังกรดำโผล่พรวดพราดออกมาอีก
ดูเหมือนพวกเขาจะวิ่งฝ่าเข้าไปกลางรังมังกรเลยทีเดียว
โชคดีแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่อยู่กันเต็มรัง
“ ไปกันได้แล้ว ”
เมื่อเห็นคาโอเรียมีท่าทีขนลุกขนพองเขาจึงพูดต่อ
“ อย่าดู! ทีตอนเข้ามาล่ะวิ่งแจ้นเลยทีเดียว มาตามหลังข้ามาซะดีๆ ”
“ ก็ตอนนั้นไม่เห็นอะไรนี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์กึ่งดึงกึ่งลากน้องสาวออกไปอย่างหงุดหงิด
ผนังถ้ำทางที่เขาเข้ามาประดับประดาด้วยหัวกะโหลกเรียงรายกันจนขาวโพลน
คงมีใครสักคนฝังกะโหลกเหล่านั้นลงไปในเนื้อหิน
ถ้าไม่คิดว่านั่นเป็นหัวกะโหลกของคน
จิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้อาจถือว่างามเลิศเลยก็ได้
พวกเขาเดินผ่านมันไปเงียบๆ ต่างนึกสงสัยว่าเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้เป็นใคร
และเหตุใดจึงมาฝังเรียงรายอยู่ในนี้
เสียงฝีเท้าวิ่งหนักๆ ตรงมาทางพวกเขา
ฟิโลโซเฟอร์กันน้องสาวให้หลบอยู่ด้านหลัง
ชักดาบออกจากฝักแล้วกำมั่นในมือข้างหนึ่ง
เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นใครพวกเขาจึงโผเข้าไปหา
“ ปรอดภัยกันใช่ไหมลูกไม่มีใครเจ็บใช่ไหม ”
เสียงอาเธอร์ถามขึ้นก่อน
พวกเขาต่างโอบกอดกันด้วยความยินดี
แคโลไรน์สำรวจลูกๆ ทุกคน
“ โชคดีจริงๆ พวกเจ้าทำให้ข้ากลัวรู้ไหม ”
คาโลไรน์พูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องให้
อาเธอร์เหลือบเห็นดาบที่ฟิโลโซเฟอร์ถืออยู่แต่เขายังไม่มีเวลาถาม
“ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าคิดว่าต้องมีทางออกอยู่แถวนี้รู้สึกไหมว่าอากาศโปร่งมาก ”
เขาพูดพลางออกเดินนำ
“ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จัดการกับตัวประหลาดพวกนั้นได้อย่างไร ”
คาโอเรียถามขึ้นขณะเดินไปด้วยกัน
“ พวกมันคือเกรบ๊อกน่ะ พอดีข้านึกได้ว่ามันติดไฟง่ายและชอบอยู่เป็นกลุ่ม ”
“ ทำเอาเราเกือบโดนย่างสดตามมันไปเลยทีเดียว ”
“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้น ”
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ตามอุโมงค์ขุดจนมาถึงสะพานหิน
เสียงน้ำไหลซ่าๆ ดังมาจากเบื้องล่าง
ฟิโลโซเฟอร์พยายามชะโงกหน้าลงไปดูแต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด
สะพานแห่งนี้ทอดยาวข้ามหน้าผาไปอีกฝั่ง
แต่พวกเขาก็เดินเลยมันไป
ทางข้างหน้าเป็นเพียงแผ่นผาแคบๆ เสียงน้ำตกภายในถ้ำดังกึกก้องกลบทุกสรรพเสียงไว้หมด
อาเธอร์เปลี่ยนเส้นทางอีกครั้งเขามั่นใจในสายลมเสมอ
พวกเขาไต่ขึ้นไปตามบันใดที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี
“ อุโมงค์ที่ซาเหวจหลอดสั่งให้ขุดขึ้น มันจะเชื่อมต่อไปทุกๆ ส่วนของเมืองใต้ดิน นั่นแสดงว่ามันจะเชื่อมไปสู่ทางออกด้วย ”
อาเธอร์บอกแต่แล้วอุโมงค์ก็ไปสิ้นสุดตรงผนังที่ราบเรียบ
“ ทางตัน ”
ฟิโลโซเฟอร์พึมพำดังกว่าที่ตั้งใจ
อาเธอร์สำรวจผนังบริเวณนั้นอย่างละเอียด
“ มันคือประตูหินและข้าแน่ใจว่าทางออกอยู่ตรงนี้ แต่ซาเหวจหลอดคงจะปิดประตูบ้าน ก่อนไปออกศึกครั้งสุดท้าย ”
“ แย่หน่อยนะถ้าเขาไม่ลุกขึ้นมาอีกครั้งเราคงจะเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ ”
เด็กชายว่าขำๆ
“ เราคงไม่มีทางได้ออกไป เพราะต่อให้ซาเหวจหลอดฟื้นขึ้นมา เขาคงจะฝังเราไว้แถวๆ นี้แหละ ”
คาโอเรียหันไปพูดกับพี่ชาย
“ ไม่ต้องกังวลไป มันมีทางออกอื่นอีกอย่างแน่นอน เมืองในหุบเขานี้มีความซับซ้อน ย่อมไม่มีทางออกทางเดียวแน่ ”
ในถ้ำกลางหุบเขากว้างใหญ่ มังกรดำแก่ๆ เฝ้าสมบัติอยู่เพียงลำพัง แต่มันก็หาได้มีความกังวลใจไม่ภายใต้หุบเขาแห่งนี้มันไม่มีอะไรต้องกลัว และชั่วชีวิตนี้มันไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด มันนอนหลับอยู่ในถ้ำอย่างเงียบสงบแต่แล้วก็มีอันต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงวิ่งและเสียงตะโกน เอาอีกแล้วพวกละโมบคงจะแอบมาขุดสมบัติโบราณของซาเหวจหลอดล่ะสิ มันนึกอย่างกระหยิ่มใจที่อยู่ดีๆ ลาภจะมาส่งถึงปาก มังกรร้ายจึงซุ่มอยู่เงียบๆ แต่พอภาพของเหยื่อปรากฏแก่สายตามันก็ต้องประหลาดใจ เหยื่อของมันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ สองคนแถมคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงเสียด้วย แล้วเด็กที่ไหนกันกล้าหาญถึงเพียงนี้ด้วยความประหลาดใจมันจึงขู่คำรามขึ้น แทนที่เด็กเหล่านั้นจะตกใจกลัวกลับหันมาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และแล้วในมือของเด็กผู้หญิงก็เกิดแสงสว่างเรื่อเรืองขึ้นตาของมันถึงกับพร่าพรายไปชั่วครู่ มันจึงคำรามกึกก้องอีกครั้งด้วยความโกรธ
ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาปริบๆ
พยายามปรับสายตากับความสว่างเขาเห็นคาโอเรียยืนนิ่ง
สูงขึ้นไปบนชะง่อนหินเหนือหัวของนางมังกรดำตัวใหญ่ยืนผงาดอยู่ตรงนั้น
ดวงตาสีแดงอำมหิตจ้องลงมาอย่างดุร้าย
“ เร็วเข้าคาโอเรียไปหาที่ซ่อน ”
เด็กชายตะโกนก้อง
คาโอเรียยังยืนอึ้ง
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมังกรดำโน้มกายอยู่ห่างแค่เอื้อม
“ หนีเข้าไปในซอกหินเร็ว ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์ร้องเตือนอีกครั้ง
มังกรดำยืดตัวขึ้นมันกางกรงเล็บออกพร้อมๆ กับฟิโลโซเฟอร์ปล่อยลูกศร
ลูกธนูสองดอกพุ่งตรงไปที่ดวงตาของมันอย่างแม่นยำ
ปีศาจร้ายคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ร่างมหึมากางปีกร่อนลงมากรงเล็บแหลมคมตะปบลงตรงที่มันเคยเห็นฟิโลโซเฟอร์ยืนอยู่ด้วยโทสะ
เด็กชายหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเขาตะกายขึ้นก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าโดยมีมังกรดำกระโจนตามไปติดๆ
แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่จมูกมันยังใช้การได้
เด็กชายปีนป่ายไปตามก้อนหินก่อนจะลื่นหล่นโครมลงในบึงเล็กๆ มังกรดำตามกลิ่นเขาไปติดๆ
มันไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งตามลงไป
ฟิโลโซเฟอร์จมลงในน้ำสีเขียวมรกตสองมือของเขาว่างเปล่าไร้อาวุธ
มังกรดำยังไล่ตามเขามาติดๆ เขาปล่อยให้ตัวเองจมจนถึงก้นบึง
ความหวังเดียวของเขามีอยู่เพียงว่าคาโอเรียจะหนีไป
เพราะเมื่อใดที่มังกรตัวนี้กลับขึ้นฝั่งมันคงไม่ปล่อยนางไว้แน่
มือของเขาสัมผัสกับวัตถุหนึ่งที่ก้นบึง
มันเย็นเฉียบยิ่งกว่าอุณหภูมิน้ำพลังประหลาดแผ่ซ่านขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
เขากำมือรอบสิ่งนั้นแล้วกระชากมันออกมา
คาโอเรียหวีดร้องด้วยความตกใจนางวิ่งตรงไปยังบึงแห่งนั้น
น้ำในบึงที่เคยเป็นสีเขียวเรื่อเรืองบัดนี้เต็มไปด้วยฟองฟอดสีแดงที่ผุดขึ้นกลางบึงอย่างดุเดือด
บึงมรกตเริ่มเปลี่ยนเป็นบึงโลหิตในบัลดลกลิ่นคาวคละคุ้งไปทั่ว
เด็กหญิงวิ่งไปจนถึงขอบบ่อได้แต่มองจุดที่น้ำสีแดงทะลักขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น
หางแหลมคมของมังกรโผล่พ้นน้ำขึ้นมากวัดแกว่งรุนแรง
“ ฟิโลโซเฟอร์! ฟิโลโซเฟอร์! ”
คาโอเรียร้องเรียกทั้งน้ำตา
เด็กหญิงสาวเท้าไปอีกก้าวตั้งท่าจะกระโดด
“ หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ต้องลงมาเลยนะ ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าเราน่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ส่งเสียงดุ
เขายังสำลักอยู่เลยตอนที่พยายามตะกายเข้าหาฝั่ง
ดาบกำแน่นอยู่ในมือข้างหนึ่งขณะปีนขึ้นตามโขดหินที่เปียกลื่น
“ ปรอดภัยดีใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามน้องสาว
นางจับลูกระต่ายป่าตัวน้อยด้วยมือข้างเดียวแล้วยื่นไปจนชนกับอกเขาพลางยิ้มแป้น
“ แน่นอนอยู่แล้วดูมันสิ ”
“ ข้าไม่ได้หมายถึงลูให้ดิ้นตายสิ ”
เด็กชายเริ่มมีโมโหเขาจับไหล่น้องสาวเขย่าอย่างแรง
“ โอ๊ย! เจ็บนะ เอ๊ะ! นั่นพี่เอาดาบของใครมาจะว่าของท่านพ่อก็ไม่เห็นเหมือน ”
“ นี่น่ะหรือ ข้าเจอในบึงโชคดีที่มันคมมาก ตอนสัมผัสมันด้ามจับครั้งแรกมันเย็นเฉียบอย่างน่าประหลาดเลยล่ะ ไม่นึกเลยว่าจะตัดคอมังกรได้ด้วยการฟันแค่ครั้งเดียว ”
เขาพลิกดาบขึ้นเก็บเข้าฝักแล้วชันมันกับพื้น
เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าดาบเมนี้หนักใช่เล่น
ทับทิมเม็ดโตที่ประดับตรงด้ามดาบทำประกายลึกลับกับแสงไฟ
ฟิโลโซเฟอร์มองดูสิ่งที่คาโอเรียถืออยู่
“ หินของพ่อมด เจ้าทำได้แล้วในที่สุดหินแห่งดวงดาวก็ส่องสว่างให้เจ้า จริงสิธนูของข้า ข้าคิดว่ามันคงหักไปตอนที่ฟาดมังกรบ้าบอตัวนั้น ”
เด็กชายทำสีหน้าห่อเหี่ยวด้วยความเสียดาย
“ โธ่เอ๋ย! จะเป็นไรไปเดี๋ยวขอให้ท่านพ่อทำให้ใหม่สักกี่อันก็ได้ ถ้าท่านพี่มีฝีมือจริง ธนูอันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ”
คาโอเรียหัวเราะคิกคัก
“ ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ข้าต้องเสียของรักไปก็เพราะเจ้า แล้วเจ้าจะบอกว่าถ้าไม่มีธนูนั่นข้าจะยิงธนูไม่เป็นอย่างนั้นหรือ คอยดูสักวันเจ้าต้องเสียใจที่พูดแบบนั้น ”
“ แต่พี่ชายก็ได้สิ่งใหม่ทดแทนมิใช่หรืออาจจะดีว่าเดิมด้วยซ้ำ ”
“ ดาบเล่มนี้หรือ ”
เขาว่าพลางยกขึ้นดูชัดๆ
“ ไม่รู้สิ มันต่างจากดาบของท่านพ่อไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ แต่เป็นการสัมผัส พลังบางอย่างทำให้นึกถึงธนูที่พ่อมดดีมีนมอบให้ ถึงจะดูหนักหน่วงและน่ากลัวกว่ามากก็ตาม ข้าคิดว่ามันเป็นวัตถุเวทมนต์ ”
“ ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอย่างไรกับของสิ่งนี้ ”
คาโอเรียถาม
“ เอากลับไปถามท่านพ่อดู บางทีท่านอาจมีคำแนะนำที่เหมาะสม ”
พี่ชายของนางตอบ
“ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ”
พูดแล้วนางก็ชะงักเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ด้านหลังนั้นเกิดอะไรขึ้น
“ ตัวประหลาดพวกนั้นล่ะ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ”
“ ข้าไม่รู้ แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรท่านพ่อเก่งมากและท่านแม่ของพวกเราก็แข็งแกร่ง ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่เด็กชายก็ไม่ได้รู้สึกวางใจ
คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้
และเขาก็รู้ดี
“ จริงข้าเห็นด้วย งั้นพี่ชายนำไปเลยข้าจะคอยให้แสงสว่าง ”
คาโอเรียว่าพลางอุ้มกระต่ายพาดบ่ามือข้างหนึ่งถือหินวิเศษที่ส่องแสงเรื่อเรือง
ฟิโลโซเฟอร์หันไปหาทางออกแล้วก็ต้องตกตะลึง
สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแค่เศษขยะแท้ที่จริงแล้วมันเป็นโคลงกระดูกมนุษย์และซากคนตายกองสุมกันอยู่
เด็กชายพยักหน้าช้าๆ เมื่อรู้ที่มาของกลิ่นสาบสางเหล่านั้นแล้ว
เขามองขึ้นไปบนซอกหินตามผนังถ้ำเผื่อจะมีมังกรดำโผล่พรวดพราดออกมาอีก
ดูเหมือนพวกเขาจะวิ่งฝ่าเข้าไปกลางรังมังกรเลยทีเดียว
โชคดีแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่อยู่กันเต็มรัง
“ ไปกันได้แล้ว ”
เมื่อเห็นคาโอเรียมีท่าทีขนลุกขนพองเขาจึงพูดต่อ
“ อย่าดู! ทีตอนเข้ามาล่ะวิ่งแจ้นเลยทีเดียว มาตามหลังข้ามาซะดีๆ ”
“ ก็ตอนนั้นไม่เห็นอะไรนี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์กึ่งดึงกึ่งลากน้องสาวออกไปอย่างหงุดหงิด
ผนังถ้ำทางที่เขาเข้ามาประดับประดาด้วยหัวกะโหลกเรียงรายกันจนขาวโพลน
คงมีใครสักคนฝังกะโหลกเหล่านั้นลงไปในเนื้อหิน
ถ้าไม่คิดว่านั่นเป็นหัวกะโหลกของคน
จิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้อาจถือว่างามเลิศเลยก็ได้
พวกเขาเดินผ่านมันไปเงียบๆ ต่างนึกสงสัยว่าเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้เป็นใคร
และเหตุใดจึงมาฝังเรียงรายอยู่ในนี้
เสียงฝีเท้าวิ่งหนักๆ ตรงมาทางพวกเขา
ฟิโลโซเฟอร์กันน้องสาวให้หลบอยู่ด้านหลัง
ชักดาบออกจากฝักแล้วกำมั่นในมือข้างหนึ่ง
เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นใครพวกเขาจึงโผเข้าไปหา
“ ปรอดภัยกันใช่ไหมลูกไม่มีใครเจ็บใช่ไหม ”
เสียงอาเธอร์ถามขึ้นก่อน
พวกเขาต่างโอบกอดกันด้วยความยินดี
แคโลไรน์สำรวจลูกๆ ทุกคน
“ โชคดีจริงๆ พวกเจ้าทำให้ข้ากลัวรู้ไหม ”
คาโลไรน์พูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องให้
อาเธอร์เหลือบเห็นดาบที่ฟิโลโซเฟอร์ถืออยู่แต่เขายังไม่มีเวลาถาม
“ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าคิดว่าต้องมีทางออกอยู่แถวนี้รู้สึกไหมว่าอากาศโปร่งมาก ”
เขาพูดพลางออกเดินนำ
“ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จัดการกับตัวประหลาดพวกนั้นได้อย่างไร ”
คาโอเรียถามขึ้นขณะเดินไปด้วยกัน
“ พวกมันคือเกรบ๊อกน่ะ พอดีข้านึกได้ว่ามันติดไฟง่ายและชอบอยู่เป็นกลุ่ม ”
“ ทำเอาเราเกือบโดนย่างสดตามมันไปเลยทีเดียว ”
“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้น ”
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ตามอุโมงค์ขุดจนมาถึงสะพานหิน
เสียงน้ำไหลซ่าๆ ดังมาจากเบื้องล่าง
ฟิโลโซเฟอร์พยายามชะโงกหน้าลงไปดูแต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด
สะพานแห่งนี้ทอดยาวข้ามหน้าผาไปอีกฝั่ง
แต่พวกเขาก็เดินเลยมันไป
ทางข้างหน้าเป็นเพียงแผ่นผาแคบๆ เสียงน้ำตกภายในถ้ำดังกึกก้องกลบทุกสรรพเสียงไว้หมด
อาเธอร์เปลี่ยนเส้นทางอีกครั้งเขามั่นใจในสายลมเสมอ
พวกเขาไต่ขึ้นไปตามบันใดที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี
“ อุโมงค์ที่ซาเหวจหลอดสั่งให้ขุดขึ้น มันจะเชื่อมต่อไปทุกๆ ส่วนของเมืองใต้ดิน นั่นแสดงว่ามันจะเชื่อมไปสู่ทางออกด้วย ”
อาเธอร์บอกแต่แล้วอุโมงค์ก็ไปสิ้นสุดตรงผนังที่ราบเรียบ
“ ทางตัน ”
ฟิโลโซเฟอร์พึมพำดังกว่าที่ตั้งใจ
อาเธอร์สำรวจผนังบริเวณนั้นอย่างละเอียด
“ มันคือประตูหินและข้าแน่ใจว่าทางออกอยู่ตรงนี้ แต่ซาเหวจหลอดคงจะปิดประตูบ้าน ก่อนไปออกศึกครั้งสุดท้าย ”
“ แย่หน่อยนะถ้าเขาไม่ลุกขึ้นมาอีกครั้งเราคงจะเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ ”
เด็กชายว่าขำๆ
“ เราคงไม่มีทางได้ออกไป เพราะต่อให้ซาเหวจหลอดฟื้นขึ้นมา เขาคงจะฝังเราไว้แถวๆ นี้แหละ ”
คาโอเรียหันไปพูดกับพี่ชาย
“ ไม่ต้องกังวลไป มันมีทางออกอื่นอีกอย่างแน่นอน เมืองในหุบเขานี้มีความซับซ้อน ย่อมไม่มีทางออกทางเดียวแน่ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ