โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) ดวงดาวแห่งสนธยา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สายน้ำไหลเอื่อยๆ ผ่านพวกเขาไป   ในที่สุดก็เดินทางมาถึงปลายอุโมงค์ที่เชื่อมกันเป็นโถงใหญ่   รอบห้องมีประตูอีกหลายบาน   เหนือประตูมีตัวอักษรลึกลับสลักลงในเนื้อหิน   อาเธอร์คิดว่าคงเป็นป้ายที่จะบอกให้รู้ว่าประตูเหล่านั้นจะนำพาไปยังที่แห่งใด   แต่ตัวหนังสือเหล่านั้นเป็นภาษาเก่าแก่ที่เขาอ่านไม่ออก   เสียงน้ำแตกซ่าๆ ไหลมาจากซอกหินด้านหนึ่งน้ำที่ท่วมเจิ่งอยู่คงมีที่มาจากตรงนี้   ริมผนังด้านหนึ่งพวกเขาพบโต๊ะหินตั้งอยู่โดดเดี่ยวโดยไร้เก้าอี้ขาโต๊ะมีเพียงขาเดียวแต่อ้วนกลม   โต๊ะตัวนี้ใหญ่โตมากพอที่คนสิบคนขึ้นไปนั่งได้สบาย   อาเธอร์อุ้มคาโอเรียขึ้นไปบนนั้น

 

“ ดูนี่สิฮะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ชี้ให้ดูรูปหนึ่งที่เขียนไว้บนโต๊ะมันมีรูปร่างเหมือนหงส์   

แต่อาเธอร์ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นนกฟีนิกซ์เพราะซาเหวจหลอดชื่นชอบนกฟีนิกซ์มาก  

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวก็ตาม

 

พวกเขานั่งพักกันเงียบๆ กระต่ายลูทำตาแป๋วจ้องมองคาโอเรียที่กำลังเขี่ยก้อนหินของพ่อมดอย่างใจลอย

 

“ น่าทึ่งนะฮะ ”

 

เด็กชายพูด

 

“ อะไรหรือ ”

 

“ จนป่านนี้คาโอเรียยังหาวิธีจัดการกับหินที่ท่านดีมีนมอบให้ไม่ได้เลย ” 

 

คาโอเรียค้อนขวับ

นางเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าใส่พี่ชายโดยลืมไปว่ามีลูขวางอยู่

ทำให้กระต่ายตัวน้อยถอยหลบจนร่วงหล่นลงจากโต๊ะ   

คาโลไรน์คว้ามันกลับขึ้นมาเหมือนเดิม

ลูสะบัดน้ำออกจากขนด้วยอารมณ์บูด   

ไม่มีใครรู้บ้างหรือไงว่ามันไม่ชอบน้ำ

 

 

 อาเธอร์รู้สึกทึ่งกับตัวเองว่าเขาหลุดเข้ามายังสถานที่แห่งประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างไร   

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีใครหลายคนพยายามค้นหาแต่ไม่พบ

 

“ ท่านพ่อบอกว่าเคยข้ามเขาลูกนี้มาก่อน   เรื่องราวตอนนั้นเป็นอย่างไรหรือฮะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นในขณะที่คาโลไรน์เริ่มแบ่งอาหารอีกครั้ง

น่าเสียดายที่อาหารของพวกเขาส่วนใหญ่เปียกน้ำ

แต่ก็ยังพอรับประทานได้

 

“ เรื่องมันนานมาแล้ว   ข้าจำรายละเอียดไม่ได้การเดินทางมาที่นี่เป็นหนึ่งในภารกิจของสภา   พวกเราเข้ามาค้นหาหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับตำนานในอดีต   แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ”

 

อาเธอร์ผายมือสองข้างออกรอบตัว

 

“ เรื่องตลกร้ายคือตอนนี้เราเข้ามาในเส้นทางที่หลายคนอยากค้นหาแล้วทั้งที่ไม่ตั้งใจเลย ”

 

“ แต่เราไม่ใช่นักสำรวจ ”

 

คาโลไรน์ว่า

 

“ ตำนานของซาเหวจหลอดข้าได้ยินมาเพียงน้อยนิด   พ่อของข้าเล่าให้ฟังเหมือนนิทานก่อนนอน   แต่ถึงกระนั้นข้ายังรู้สึกว่าเขายิ่งใหญ่และน่ากลัวมาก   ถ้าหากที่นี่คือสถานที่ๆ เขาสร้างจริงเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง   ทางที่ดีเราควรหาทางออกจากตรงนี้ให้เร็วจะดีกว่า ”

 

“ ซาเหวจหลอดนั้นโด่งดังในโอรีเวียเรื่องราวของเขาถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย   ถึงขั้นทำเป็นตำราจัดเป็นวิชาเรียนโดยเฉพาะแต่ซีนาร์ยนั้นรักสงบ   พวกเขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับความชั่วร้ายใดๆ และจะไม่พูดถึงมันด้วย   นี่เป็นความแตกต่างของวิถีการคิดรวมทั้งรูปแบบการดำเนินชีวิต ”

 

อาเธอร์ว่าบ้าง

 

“ ข้าอยากเห็นโอรีเวียเร็วๆ เสียแล้ว ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดขึ้น

 

“ ข้าก็เช่นกัน ”

 

คาโอเรียเห็นด้วยแต่คนละความหมายกับพี่ชาย

 

 

            อาเธอร์เดินสำรวจซุ้มประตู   มีประตูเพียงสามบานเท่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยการสลักเสลาอย่างวิจิตร   ส่วนที่เหลือเป็นการทุบหินหยาบๆให้เกิดช่องประตู   เขาไล้ฝ่ามือไปตามรูปสลักเหล่านั้น   ในใจนึกสงสัยว่าซาเหวจหลอดที่ใครๆ กล่าวขานกันว่ามีจิตใจอำมหิตชอบการเข่นฆ่าเขามีอารมณ์ศิลป์ด้วยหรือ   

 

อาเธอร์เลือกประตูช่องหนึ่งที่มีสายลมพัดเข้ามาเบาๆ เพราะหากมีทางให้ลมเข้ามาได้ก็ย่อมมีทางให้พวกเขาออกไปได้   เขาหันกลับไปมองโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง   นานมาแล้วจอมมารแห่งอดีตกาลอาจจะเคยใช้โต๊ะตัวนี้เพื่อวางแผนอะไรบางอย่าง   ก่อนจะถูกทิ้งอย่างว่างเปล่าและโดดเดี่ยว

 

 

 

            เส้นทางนี้เป็นอุโมงค์เพดานโค้งใหญ่โตโอ่อ่าลึกเข้าไปมีแต่ความมืดมิด   น้ำที่เจิ่งบนพื้นหายไปแล้วเสียงฝีเท้ากระทบหินดังก้องทึบๆ เบาๆ ความเงียบปกคลุมรายรอบจนพวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง   บางครั้งเผลอคิดไปว่ามีเสียงลมหายใจของคนอื่นหรือสิ่งอื่นรวมอยู่ด้วย   พวกเขาเดินตามทางมาเรื่อยๆ จนถึงบันไดหิน   มันทอดลึกลงไปสู่ความมืดแสงไฟจากคบเพลิงสะท้อนแวววาวกับผลึกแร่ตามขั้นบันได  สายลมเย็นยังพัดมาพอรู้สึกซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่ดีพวกเขาไต่ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยไม่นับขั้นบันได   ยิ่งลงลึกอากาศยิ่งเย็นและทึบในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบันไดขั้นสุดท้าย   พื้นข้างล่างนี้ชื้นเฉาะหินงอกห้อยลงมาจากเพดานสูงเหมือนเขี้ยวขนาดใหญ่เสียงน้ำหยดจากที่ใกล้ๆ ดังก้องในความเงียบ

 

“ นี่คงเป็นถ้ำธรรมชาติ ”

 

อาเธอร์พูดขึ้น   เสียงของเขาสะท้อนกลับไปกลับมาเหมือนอาเธอร์อีกร้อยคนพูดช้ำแล้วช้ำเล่า   ในเสียงที่สับสนปนเปนั้นพวกเขาต้องสะดุ้งตกใจ   เพราะมีเสียงอะไรบางอย่างครางครืดคราดแล้วเงียบหายไป   เมื่อตั้งสติได้ก็เดินรุดหน้าต่อไปพวกเขาเดินลัดเลาะไปตามแท่งหินงอกมีบางแท่งที่ยาวลงมาจนจรดพื้น   

 

อาเธอร์พยายามเดินเป็นเส้นตรง   เพื่อจะได้ไม่หลงเดินวกไปวนมาในดงหินงอกหินย้อยเหล่านี้   เสียงของพวกเขาเดินย่ำในน้ำดังอย่างสับสน   แต่กระนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังตามพวกเขามาช้าๆ แม้อาเธอร์จะพยายามหนีให้เร็วขึ้นเท่าใดมันก็ยังใกล้เข้ามาๆ จนได้ยินเสียงลมหายใจของพวกมัน

 

 

            ถ้ำนี้ยาวเชื่อมไปถึงห้องโถงใหญ่อีกห้องหนึ่ง   ภายในห้องนี้เรียงรายไปด้วยโต๊ะหินมากมายแต่ไม่มีเก้าอี้   โต๊ะแต่ละตัวฝังอันมณีล้ำค่าลงไปในเนื้อหิน   นี่ถ้าเป็นพวกล่าสมบัติมาพบเข้าคงได้ตาลุกวาวแต่พวกเขาก็ได้แต่รีบเดินผ่านมันไปไม่มีแม้เวลาจะชื่นชม   ตรงสุดผนังหินด้านหนึ่งเจาะประตูไว้สามบาน   บานแรกมีม่านทำจากแก้วคริสตัล   บานที่สองมรกตและบานสุดท้ายร้อยมาจากทับทิมสีแดงเลือด   อาเธอร์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าประตูบานไหนดี   เสียงขู่คำรามก็ดังขึ้นจากด้านหลัง   ชายหนุ่มชักดาบออกจากฝักแล้วหันไปเผชิญหน้ากับมัน

 

“ ถอยไปชิดกำแพงเร็วเข้า ”

 

เขาตะโกน

 

มือแห้งเหี่ยวเกาะขึ้นมาตามโต๊ะ  

ใบหน้าเหมือนกิ้งก่ายักษ์ขาดสารอาหารจ้องมองพวกเขาอย่างหิวกระหาย  

พวกมันตัวหนึ่งไต่ลงมาตามซอกหินมันกางปีกออกแล้วเหินมาทางอาเธอร์   

ชายหนุ่มตวัดดาบเพียงครั้งเดียวหัวมันก็ขาดกระเด็น

 

“ นี่พวกเกรบ๊อกนี่ ”

 

อาเธอร์อุทาน

 

“ เหรอข้ากำลังอยากรู้ชื่อของมันอยู่พอดีเลย ”

 

คาโลไรน์เสียงเครียดพวกมันมีมากเหลือเกิน

ฟิโลโซเฟอร์ก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้างบิดาของเขา

 

“ ฟิโลโซเฟอร์ถอยไป ”

 

“ ถ้าให้ถอยไปอีกข้าก็ยิงไม่ถนัดน่ะสิ ”

 

เด็กชายตอบเรียบๆ

เขาขึ้นศรแล้วยิงเกรบ๊อกตัวที่คลานเข้ามาใกล้ที่สุด

 

“ ไม่ต้องกลัวคาโลไรน์เจ้าพวกนี้เกิดและอาศัยอยู่ในที่มืดทำให้สายตาไม่ดี ”

 

อาเธอร์ร้องบอก

เขาฟาดฟันร่างที่คืบคลานเข้ามาหาล้มตายไปหลายตัว

แต่เกรบ๊อกก็ยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด   

พวกมันไต่ขึ้นไปบนร่างของตัวที่ตายแล้วและเริ่มกัดทึ้งกินกันเอง  

 

คาโลไรน์เหวี่ยงคบเผลิงใส่พวกมันเปลวไฟก็ลุกพรึบติดร่างที่ห่อหุ้มด้วยผิวหนังแห้งเหี่ยวทันที    

ถึงตอนนี้กระต่ายลูได้ตัดสินใจแล้วว่ามันจะไม่ทนอยู่ตรงนี้อีกต่อ

ไปมันจึงดิ้นจนหลุดจากอ้อมแขนของคาโอเรีย

แล้วมุดผ่านมู่ลี่ทับทิมสีแดงนั้นไป

 

“ ลู! ไม่นะกลับมานี่ ”

 

คาโอเรียร้องเสียงหลงแล้ววิ่งตามมันไป

 

คาโลไรน์ร้องห้ามด้วยความตกใจแต่ช้ากว่าฟิโลโซเฟอร์  

เด็กชายหันหลังวิ่งตามไปติดๆ เขาวิ่งฝ่าเข้าไปในความมืดโดยไม่มีคบเพลิงติดตัวมา   

เสียงฝีเท้าของคาโอเรียแผ่วเบาและเงียบลง

เด็กชายหยุดนิ่งเขาเพ่งมองไปรอบด้านก็พบแต่ความมืด

 

“ เฮ้! คาโอเรียอยู่ที่ไหนน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ป้องปากตะโกน

เขายื่นมือออกไปข้างหน้าแล้วออกเดินช้าๆ เหมือนคนตาบอดกำลังหลงทาง  

กลิ่นเหม็นสาบรุนแรงลอยมาแตะจมูกแต่เขาไม่สนใจ

 

“ คาโอเรีย! กลับมานี่เดี๋ยวนี้ ”

 

เด็กชายตะโกนอีกครั้ง

เสียงของเขาสะท้อนขึ้นไปถึงผนังถ้ำเมื่อสิ้นเสียงของเขาความเงียบก็เข้ามาแทนที่ 

 เด็กชายเดินไปเรื่อยๆ จนมือสัมผัสกับผนังถ้ำที่เย็นเฉียบเขาจึงคลำไปตามผนังนั้น

 

“ คาโอ! ส่งเสียงหน่อยอยู่ไหนน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตะโกนสุดเสียง

ความวิตกความและหวาดกลัวเริ่มโถมทับเข้ามาพร้อมกัน

 

“ คาโอเรีย   หยุดทำแบบนี้   ข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ ”      

 

“ พี่ชาย ”

 

เสียงคาโอเรียสะท้อนมาแผ่วๆ ทำให้เขาใจชื้นขึ้น  

ความโล่งใจวิ่งพล่านเข้ามาพร้อมกับอารมณ์ขุ่นเคือง

เด็กคนนี้ท่าจะต้องโดนตีเสียหน่อยแล้ว

 

“ อยู่ที่ไหนน่ะคาโอเรีย ”

 

เขาถามซ้ำ

 

“ ข้าไม่รู้มันมืดข้ากลัว ”

 

“ ไม่ต้องกลัวข้าอยู่นี่แล้วอย่าขยับไปไหนนะ   อุ๊บ! ”

 

ขาของเขาเกี่ยวเข้ากับอะไรบางอย่างจนล้มลงมือยังกำธนูไว้แน่น  

เขากัดฟันลุกขึ้นน้องสาวของเขาต้องอยู่ข้างหน้านี้แน่ๆ

นางอยู่ไม่ไกลแต่เขาต้องไปถึงนางให้เร็วที่สุด  

ก่อนที่จะมีตัวอะไรไปถึงนางก่อน

 

“ เกิดอะไรขึ้นน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า ”

 

น้ำเสียงของเด็กหญิงร้อนรน

 

“ ไม่เป็นไรแค่หกล้มเท่านั้นเองเจ้ารออยู่ตรงนั้นล่ะข้ากำลังไป ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตะกายไปตามเศษซากแท่งขยะกลิ่นเหม็นเน่าโชยคลุ้ง

ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากกองขยะ  

มันอาจจะเป็นแค่เศษเหล็กหรือขยะอะไรสักอย่างที่ทหารของซาเหวจหลอดขนมาทิ้งก็ได้

 

“ อยู่ไหนล่ะคาโอเรียส่งเสียงหน่อยสิ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เดินมะงุมมะงาหราไปในความมืด

พลันเสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังสะท้านไปทั้งถ้ำ

ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับผงะถอย

 

“ คาโอเรีย ”

 

เขาครางเสียงแผ่ว

เด็กชายจ้องผ่าไปในความมืดที่น่าหวาดกลัว

 เสียงร้องนี้เขาพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร

เขาเคยใฝ่ฝันถึงมันแต่เขาก็ไม่อยากเจอมันที่นี่และในเวลาเช่นนี้

มันเหมือนฝันร้ายที่เขาต้องภาวนาให้เป็นเพียงแค่ความฝัน   

มือของเขาควานลงไปหาลูกธนูเขาพบว่ามีเหลือติดตัวมาเพียงสองดอก  

ฟิโลโซเฟอร์หยิบมันขึ้นมาทั้งหมดเขาขึ้นศรช้าๆ

มือของเขาไม่สั่นสักนิดสายตายังจับจ้องไปตามทิศทางของเสียงแม้จะมองไม่เห็นอะไรเลย

 

 

คาโอเรียมุดหลบอยู่ในซอกหิน

นางรู้ว่าพี่ชายของนางอยู่ไม่ไกลและรู้ด้วยว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เหนือหัว  

สิ่งนั้นเองทำให้นางไม่กล้าส่งเสียง

เท่าที่บิดาเคยเล่าให้ฟังมังกรดำมองฝ่าความมืดได้

พี่ชายของนางยังอยู่ในที่โล่งเขาต้องลำบากแน่  

นางหมอบราบลงด้วยความกลัวมือข้างหนึ่งควานไปหยิบหินที่พ่อมดดีมีนมอบให้

มันอบอุ่นขึ้นมาในมือที่ชุ่มเหงื่อ   

ถ้ามีคบเพลิงติดมาด้วยก็คงจะดีนางคิดอย่างขมขื่น

คาโอเรียกำหินไว้ในมือแล้วคลายออกก้อนหินกลายเป็นสีขาวซีดจางในมือบอบบางของนาง   

เด็กหญิงยอมไม่ได้ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น

นางจะไม่ยอมปล่อยพี่ชายถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลย   

เมื่อคิดดังนั้นจึงคลานออกมาจากซอกหินสะกดความหวาดกลัวทั้งหมดไว้

นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมเผชิญกับทุกสิ่งขอไห้พลังอำนาจจงเกิดแก่นาง

 

“ ดวงดาวแห่งสนธยาโปรดประทานแสงสว่างไห้แก่เรา ”

 

นางประกาศก้องแล้วแสงสีเงินก็แผ่กระจายไปทั้งถ้ำ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา