โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) มังกรและบึงเลือด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มังกรดำตัวหนึ่งกำลังหลับอย่างสงบสุข   มันแทบจะไม่เคยออกไปหาอาหารเลยเนื่องจากว่ามันแก่ชรามากแล้ว   แต่มันก็ไม่ลำบากลูกหลานของมันยังคาบเหยื่อมาให้อย่างสม่ำเสมอ   ตอนนี้มันทำหน้าที่เพียงเฝ้าสมบัติล้ำค่าของนายใหญ่ผู้ล่วงลับ   มันอยู่ที่นี่มาตลอดสิบปีเคอร์คารอลเป็นนายแห่งหุบเขาบัดนี้ได้พามังกรดำกลุ่มสุดท้ายออกไปทำภารกิจบางอย่าง   แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีแน่ๆ ทุกวันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น   ไม่กี่วันมานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาที่นี่   พวกเราตื่นเต้นกันใหญ่ข้าจำกลิ่นนั้นได้   อา…เจ้าชายองค์น้อยๆ ของเรา   พวกเราต่างคิดว่าสิ้นชีพไปแล้ว   เขามาที่นี่มาจุดไฟให้พวกเราอีกครั้งเขาเติบโตขึ้นมากและกล้าแกร่งมากด้วย

 

 

            ในถ้ำกลางหุบเขากว้างใหญ่   มังกรดำแก่ๆ เฝ้าสมบัติอยู่เพียงลำพัง   แต่มันก็หาได้มีความกังวลใจไม่ภายใต้หุบเขาแห่งนี้มันไม่มีอะไรต้องกลัว   และชั่วชีวิตนี้มันไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใด   มันนอนหลับอยู่ในถ้ำอย่างเงียบสงบแต่แล้วก็มีอันต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงวิ่งและเสียงตะโกน   เอาอีกแล้วพวกละโมบคงจะแอบมาขุดสมบัติโบราณของซาเหวจหลอดล่ะสิ   มันนึกอย่างกระหยิ่มใจที่อยู่ดีๆ ลาภจะมาส่งถึงปาก   มังกรร้ายจึงซุ่มอยู่เงียบๆ  แต่พอภาพของเหยื่อปรากฏแก่สายตามันก็ต้องประหลาดใจ   เหยื่อของมันเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ สองคนแถมคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงเสียด้วย   แล้วเด็กที่ไหนกันกล้าหาญถึงเพียงนี้ด้วยความประหลาดใจมันจึงขู่คำรามขึ้น   แทนที่เด็กเหล่านั้นจะตกใจกลัวกลับหันมาเผชิญหน้ากับมันตรงๆ และแล้วในมือของเด็กผู้หญิงก็เกิดแสงสว่างเรื่อเรืองขึ้นตาของมันถึงกับพร่าพรายไปชั่วครู่   มันจึงคำรามกึกก้องอีกครั้งด้วยความโกรธ

 

 

ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาปริบๆ

พยายามปรับสายตากับความสว่างเขาเห็นคาโอเรียยืนนิ่ง  

สูงขึ้นไปบนชะง่อนหินเหนือหัวของนางมังกรดำตัวใหญ่ยืนผงาดอยู่ตรงนั้น  

ดวงตาสีแดงอำมหิตจ้องลงมาอย่างดุร้าย

 

“ เร็วเข้าคาโอเรียไปหาที่ซ่อน ”

 

เด็กชายตะโกนก้อง

คาโอเรียยังยืนอึ้ง

นางถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมังกรดำโน้มกายอยู่ห่างแค่เอื้อม

 

“ หนีเข้าไปในซอกหินเร็ว ”

 

เสียงฟิโลโซเฟอร์ร้องเตือนอีกครั้ง

มังกรดำยืดตัวขึ้นมันกางกรงเล็บออกพร้อมๆ กับฟิโลโซเฟอร์ปล่อยลูกศร   

ลูกธนูสองดอกพุ่งตรงไปที่ดวงตาของมันอย่างแม่นยำ  

ปีศาจร้ายคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด

ร่างมหึมากางปีกร่อนลงมากรงเล็บแหลมคมตะปบลงตรงที่มันเคยเห็นฟิโลโซเฟอร์ยืนอยู่ด้วยโทสะ   

เด็กชายหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเขาตะกายขึ้นก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าโดยมีมังกรดำกระโจนตามไปติดๆ

แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่จมูกมันยังใช้การได้  

เด็กชายปีนป่ายไปตามก้อนหินก่อนจะลื่นหล่นโครมลงในบึงเล็กๆ มังกรดำตามกลิ่นเขาไปติดๆ

มันไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งตามลงไป

 

 

ฟิโลโซเฟอร์จมลงในน้ำสีเขียวมรกตสองมือของเขาว่างเปล่าไร้อาวุธ

มังกรดำยังไล่ตามเขามาติดๆ  เขาปล่อยให้ตัวเองจมจนถึงก้นบึง  

ความหวังเดียวของเขามีอยู่เพียงว่าคาโอเรียจะหนีไป

เพราะเมื่อใดที่มังกรตัวนี้กลับขึ้นฝั่งมันคงไม่ปล่อยนางไว้แน่   

มือของเขาสัมผัสกับวัตถุหนึ่งที่ก้นบึง

มันเย็นเฉียบยิ่งกว่าอุณหภูมิน้ำพลังประหลาดแผ่ซ่านขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ

เขากำมือรอบสิ่งนั้นแล้วกระชากมันออกมา

 

คาโอเรียหวีดร้องด้วยความตกใจนางวิ่งตรงไปยังบึงแห่งนั้น  

น้ำในบึงที่เคยเป็นสีเขียวเรื่อเรืองบัดนี้เต็มไปด้วยฟองฟอดสีแดงที่ผุดขึ้นกลางบึงอย่างดุเดือด

บึงมรกตเริ่มเปลี่ยนเป็นบึงโลหิตในบัลดลกลิ่นคาวคละคุ้งไปทั่ว   

เด็กหญิงวิ่งไปจนถึงขอบบ่อได้แต่มองจุดที่น้ำสีแดงทะลักขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น

หางแหลมคมของมังกรโผล่พ้นน้ำขึ้นมากวัดแกว่งรุนแรง

 

“ ฟิโลโซเฟอร์!  ฟิโลโซเฟอร์! ”

 

คาโอเรียร้องเรียกทั้งน้ำตา

เด็กหญิงสาวเท้าไปอีกก้าวตั้งท่าจะกระโดด

 

“ หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ต้องลงมาเลยนะ   ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าเราน่ะ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ส่งเสียงดุ

เขายังสำลักอยู่เลยตอนที่พยายามตะกายเข้าหาฝั่ง

ดาบกำแน่นอยู่ในมือข้างหนึ่งขณะปีนขึ้นตามโขดหินที่เปียกลื่น

 

“ ปรอดภัยดีใช่ไหม ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามน้องสาว 

นางจับลูกระต่ายป่าตัวน้อยด้วยมือข้างเดียวแล้วยื่นไปจนชนกับอกเขาพลางยิ้มแป้น

 

“ แน่นอนอยู่แล้วดูมันสิ ”

 

“ ข้าไม่ได้หมายถึงลูให้ดิ้นตายสิ ”

 

เด็กชายเริ่มมีโมโหเขาจับไหล่น้องสาวเขย่าอย่างแรง

 

“ โอ๊ย! เจ็บนะ  เอ๊ะ! นั่นพี่เอาดาบของใครมาจะว่าของท่านพ่อก็ไม่เห็นเหมือน ”

 

“ นี่น่ะหรือ   ข้าเจอในบึงโชคดีที่มันคมมาก   ตอนสัมผัสมันด้ามจับครั้งแรกมันเย็นเฉียบอย่างน่าประหลาดเลยล่ะ   ไม่นึกเลยว่าจะตัดคอมังกรได้ด้วยการฟันแค่ครั้งเดียว ”

 

เขาพลิกดาบขึ้นเก็บเข้าฝักแล้วชันมันกับพื้น  

เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าดาบเมนี้หนักใช่เล่น  

ทับทิมเม็ดโตที่ประดับตรงด้ามดาบทำประกายลึกลับกับแสงไฟ   

ฟิโลโซเฟอร์มองดูสิ่งที่คาโอเรียถืออยู่

 

“ หินของพ่อมด   เจ้าทำได้แล้วในที่สุดหินแห่งดวงดาวก็ส่องสว่างให้เจ้า   จริงสิธนูของข้า   ข้าคิดว่ามันคงหักไปตอนที่ฟาดมังกรบ้าบอตัวนั้น ”

 

เด็กชายทำสีหน้าห่อเหี่ยวด้วยความเสียดาย

 

“ โธ่เอ๋ย! จะเป็นไรไปเดี๋ยวขอให้ท่านพ่อทำให้ใหม่สักกี่อันก็ได้   ถ้าท่านพี่มีฝีมือจริง   ธนูอันไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ”

 

คาโอเรียหัวเราะคิกคัก

 

“ ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก   ข้าต้องเสียของรักไปก็เพราะเจ้า   แล้วเจ้าจะบอกว่าถ้าไม่มีธนูนั่นข้าจะยิงธนูไม่เป็นอย่างนั้นหรือ   คอยดูสักวันเจ้าต้องเสียใจที่พูดแบบนั้น ”

 

“ แต่พี่ชายก็ได้สิ่งใหม่ทดแทนมิใช่หรืออาจจะดีว่าเดิมด้วยซ้ำ ”

 

“ ดาบเล่มนี้หรือ ”

 

เขาว่าพลางยกขึ้นดูชัดๆ

 

“ ไม่รู้สิ   มันต่างจากดาบของท่านพ่อไม่ใช่ที่รูปลักษณ์   แต่เป็นการสัมผัส   พลังบางอย่างทำให้นึกถึงธนูที่พ่อมดดีมีนมอบให้   ถึงจะดูหนักหน่วงและน่ากลัวกว่ามากก็ตาม   ข้าคิดว่ามันเป็นวัตถุเวทมนต์ ”

 

“ ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอย่างไรกับของสิ่งนี้ ”

 

คาโอเรียถาม

 

“ เอากลับไปถามท่านพ่อดู   บางทีท่านอาจมีคำแนะนำที่เหมาะสม ”

 

พี่ชายของนางตอบ

 

“ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ”

 

พูดแล้วนางก็ชะงักเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ด้านหลังนั้นเกิดอะไรขึ้น

 

“ ตัวประหลาดพวกนั้นล่ะ   แล้วท่านพ่อกับท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ”

 

“ ข้าไม่รู้   แต่คิดว่าคงไม่เป็นไรท่านพ่อเก่งมากและท่านแม่ของพวกเราก็แข็งแกร่ง ”

 

ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่เด็กชายก็ไม่ได้รู้สึกวางใจ

คำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้

และเขาก็รู้ดี

 

“ จริงข้าเห็นด้วย   งั้นพี่ชายนำไปเลยข้าจะคอยให้แสงสว่าง ”

 

คาโอเรียว่าพลางอุ้มกระต่ายพาดบ่ามือข้างหนึ่งถือหินวิเศษที่ส่องแสงเรื่อเรือง

 

 

ฟิโลโซเฟอร์หันไปหาทางออกแล้วก็ต้องตกตะลึง  

สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นแค่เศษขยะแท้ที่จริงแล้วมันเป็นโคลงกระดูกมนุษย์และซากคนตายกองสุมกันอยู่   

เด็กชายพยักหน้าช้าๆ เมื่อรู้ที่มาของกลิ่นสาบสางเหล่านั้นแล้ว  

เขามองขึ้นไปบนซอกหินตามผนังถ้ำเผื่อจะมีมังกรดำโผล่พรวดพราดออกมาอีก  

ดูเหมือนพวกเขาจะวิ่งฝ่าเข้าไปกลางรังมังกรเลยทีเดียว

โชคดีแค่ไหนแล้วที่พวกมันไม่อยู่กันเต็มรัง

 

“ ไปกันได้แล้ว ”

 

เมื่อเห็นคาโอเรียมีท่าทีขนลุกขนพองเขาจึงพูดต่อ

 

“ อย่าดู! ทีตอนเข้ามาล่ะวิ่งแจ้นเลยทีเดียว   มาตามหลังข้ามาซะดีๆ ”

 

“ ก็ตอนนั้นไม่เห็นอะไรนี่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์กึ่งดึงกึ่งลากน้องสาวออกไปอย่างหงุดหงิด  

ผนังถ้ำทางที่เขาเข้ามาประดับประดาด้วยหัวกะโหลกเรียงรายกันจนขาวโพลน   

คงมีใครสักคนฝังกะโหลกเหล่านั้นลงไปในเนื้อหิน

ถ้าไม่คิดว่านั่นเป็นหัวกะโหลกของคน

จิตรกรรมฝาผนังชิ้นนี้อาจถือว่างามเลิศเลยก็ได้   

พวกเขาเดินผ่านมันไปเงียบๆ ต่างนึกสงสัยว่าเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้เป็นใคร

และเหตุใดจึงมาฝังเรียงรายอยู่ในนี้

 

เสียงฝีเท้าวิ่งหนักๆ ตรงมาทางพวกเขา

ฟิโลโซเฟอร์กันน้องสาวให้หลบอยู่ด้านหลัง

ชักดาบออกจากฝักแล้วกำมั่นในมือข้างหนึ่ง

เมื่อเห็นชัดแล้วว่าเป็นใครพวกเขาจึงโผเข้าไปหา

 

“ ปรอดภัยกันใช่ไหมลูกไม่มีใครเจ็บใช่ไหม ”

 

เสียงอาเธอร์ถามขึ้นก่อน

พวกเขาต่างโอบกอดกันด้วยความยินดี

แคโลไรน์สำรวจลูกๆ ทุกคน

 

“ โชคดีจริงๆ พวกเจ้าทำให้ข้ากลัวรู้ไหม ”

 

คาโลไรน์พูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องให้

อาเธอร์เหลือบเห็นดาบที่ฟิโลโซเฟอร์ถืออยู่แต่เขายังไม่มีเวลาถาม

 

“ เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ   ข้าคิดว่าต้องมีทางออกอยู่แถวนี้รู้สึกไหมว่าอากาศโปร่งมาก ”

 

เขาพูดพลางออกเดินนำ

 

“ แล้วท่านพ่อกับท่านแม่จัดการกับตัวประหลาดพวกนั้นได้อย่างไร ”

 

คาโอเรียถามขึ้นขณะเดินไปด้วยกัน

 

“ พวกมันคือเกรบ๊อกน่ะ   พอดีข้านึกได้ว่ามันติดไฟง่ายและชอบอยู่เป็นกลุ่ม ”

 

“ ทำเอาเราเกือบโดนย่างสดตามมันไปเลยทีเดียว ”

 

“ ไม่เอาน่าคาโลไรน์เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางทำให้เกิดเรื่องเช่นนั้น ”

 

พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ตามอุโมงค์ขุดจนมาถึงสะพานหิน

เสียงน้ำไหลซ่าๆ ดังมาจากเบื้องล่าง   

ฟิโลโซเฟอร์พยายามชะโงกหน้าลงไปดูแต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด  

สะพานแห่งนี้ทอดยาวข้ามหน้าผาไปอีกฝั่ง

แต่พวกเขาก็เดินเลยมันไป

ทางข้างหน้าเป็นเพียงแผ่นผาแคบๆ เสียงน้ำตกภายในถ้ำดังกึกก้องกลบทุกสรรพเสียงไว้หมด 

อาเธอร์เปลี่ยนเส้นทางอีกครั้งเขามั่นใจในสายลมเสมอ  

พวกเขาไต่ขึ้นไปตามบันใดที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี

 

“ อุโมงค์ที่ซาเหวจหลอดสั่งให้ขุดขึ้น   มันจะเชื่อมต่อไปทุกๆ ส่วนของเมืองใต้ดิน   นั่นแสดงว่ามันจะเชื่อมไปสู่ทางออกด้วย ”

 

อาเธอร์บอกแต่แล้วอุโมงค์ก็ไปสิ้นสุดตรงผนังที่ราบเรียบ

 

“ ทางตัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พึมพำดังกว่าที่ตั้งใจ

อาเธอร์สำรวจผนังบริเวณนั้นอย่างละเอียด

 

“ มันคือประตูหินและข้าแน่ใจว่าทางออกอยู่ตรงนี้   แต่ซาเหวจหลอดคงจะปิดประตูบ้าน   ก่อนไปออกศึกครั้งสุดท้าย ”   

 

“ แย่หน่อยนะถ้าเขาไม่ลุกขึ้นมาอีกครั้งเราคงจะเปิดประตูบานนี้ไม่ได้ ”

 

เด็กชายว่าขำๆ

 

“ เราคงไม่มีทางได้ออกไป   เพราะต่อให้ซาเหวจหลอดฟื้นขึ้นมา   เขาคงจะฝังเราไว้แถวๆ นี้แหละ ”

 

คาโอเรียหันไปพูดกับพี่ชาย

 

 

“ ไม่ต้องกังวลไป   มันมีทางออกอื่นอีกอย่างแน่นอน   เมืองในหุบเขานี้มีความซับซ้อน   ย่อมไม่มีทางออกทางเดียวแน่ ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา