โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
167) เขตค่ายมนต์ดำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์กำลังเรียนเกี่ยวกับอักษรโบราณอยู่ในภาคเช้าของวันนั้น มันเป็นอีกวิชาที่อีเลียสโปรดปรานจนต้องลากสองเพื่อนชายคนสนิทมาร่วมชั้นด้วย แม้จะเป็นวิชาที่น่าเบื่อสำหรับบางคนแต่เด็กนักเรียนทั้งชั้นก็อยู่ในอาการอันสงบ ต่างคัดลอกตัวอักษรอย่างตั้งใจ
แต่แล้วความสงบทั้งปวงก็เป็นอันยุติลง เมื่อเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นจากที่ไกลๆ เด็กทั้งชั้นหันไปตามทิศทางของเสียงอย่างพร้อมเพรียง เสียงโต๊ะล้มโครมครามดังแว่วใกล้เข้ามา ความโกลาหลจึงบังเกิดขึ้นทันที เหล่านักเรียนตัวน้อยลุกพรวดพราดขึ้น บางคนลนลานไม่รู้จะทำเช่นไร อาจารย์ผู้สอนพุ่งไปถึงประตูก่อนเป็นคนแรก เขามองลอดช่องเล็กๆ ออกไปแล้วหันกลับมามองเด็กนักเรียนที่ยืนหน้าซีดอย่างน่าสงสาร เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกการเป็นนักรบ สถานการณ์ตอนนี้จึงชวนสยองสำหรับพวกเขาอยู่ไม่น้อย
ฟิโลโซเฟอร์คว้าดาบสีเงินขึ้นมากำไว้ นับตั้งแต่เผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจในคืนเต้นรำ เหล่านักเรียนสายผู้กล้าได้พกอาวุธติดตัวอยู่ตลอด เด็กน้อยชาวซีนาร์ยหันไปสบตาเพื่อนทั้งสอง และเพื่อนของเขาก็จ้องกลับมาด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกไม่น้อย
“ เงียบๆ ไว้นะ ”
อาจารย์ผู้สอนสั่งเสียงเครียด
เหล่านักเรียนต่างกระสับกระส่ายอยากออกวิ่งเสียเต็มประดา
พวกเขามองเห็นเค้าลางไม่ดีโดยที่ไม่ต้องเรียนศาสตร์ด้านการพยากรมาเลยด้วยซ้ำ
“ อาจารย์ ”
นักเรียนชายคนหนึ่งเรียก
เหมือนอยากเอ่ยคำถามมากมายออกไป
“ ไม่ต้องกลัวทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ข้าจะออกไปดูข้างนอกไม่จำเป็นต้องแตกตื่นรอที่นี่เงียบๆ จนกว่าข้าจะกลับมา ”
ว่าแล้วเขาก็มุดออกประตูไป
“ เราต้องอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
เขาเดินไปสมทบกับเพื่อนๆ
เด็กผู้ชายต่างกระสับกระส่าย
และเด็กผู้หญิงเริ่มกอดกันร้องให้
“ ตามหลักแล้วเราควรจะอยู่ที่นี่ ข้างนอกไม่รู้เกิดอะไรขึ้นเกิดทะเล่อทะล่าออกไปแล้วเกิดอันตรายแบบนั้นจะโทษใครได้ ”
อีเลียสบอก
“ แล้วถ้าเราตายโหงอยู่ในนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะ ”
โลธอร์กัดฟันถาม
“ รอก่อน เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นั่นแหละ ”
ฟิโลโซเฟอร์เห็นด้วยกับสหายร่างผอม
โลธอร์ตั้งท่าจะเถียง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก
เสียงกรีดร้องที่เยือกเย็นบาดลึกก็ดังขึ้นเหนือหัว
มันไม่ได้บินอยู่บนฟากฟ้า
แต่มันยืนอยู่บนหลังคาปราสาทนี่เอง
เด็กๆ ต่างกรีดร้อง
บ้างหมอบลงได้โต๊ะบ้างวิ่งหนีออกจากห้อง
ฟิโลโซเฟอร์ถอนหายใจเฮือก
มันเป็นเสียงสยองที่เขาไม่อยากได้ยินแม้สักครั้ง
เด็กร่างอ้วนมองเพื่อนทั้งสองสลับไปมา
ราวกับอยากขอความเห็น
แต่เพื่อนๆ ของเขายังตะลึงตาค้างไม่หาย
เมื่อเสียงกรีดร้องสิ้นสุดลง
ก็ปรากฏหมอกสีดำมืดมัวทั่วปราสาทขาว
“ มนต์ดำ ”
อีเลียสคราง
“ น่าสนใจดีนี่แล้วอย่างไรต่อ ”
โลธอร์ว่า
“ มนต์ดำ เขตค่ายมนต์ดำพวกเราอยู่ในวงล้อม ดูเหมือนชีวิตจะจบสิ้นวันนี้แล้ว ไม่นะข้ายังไม่อยากตายตระกูลข้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าไม่มีผู้สืบทอด ”
อีเลียสคร่ำครวญ
เขาเคยอ่านตำรามากมายเกี่ยวกับความชั่วร้ายของเขตค่ายมนต์ดำ
นั่นจึงทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งขึ้น
“ แล้วเขตค่ายมนต์ดำนี่มันอย่างไรกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามบ้าง
“ ผู้ใช้มนต์ดำจะเขียนสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกไว้ทั้งแปดทิศ ภายใต้วงล้อมนั้นประตูนรกจะเปิดออก เหล่าปีศาจร้ายจะขึ้นมากลืนกินมนุษย์ที่ตกอยู่ในวงล้อม ”
“ เช่นนั้นถ้าเราหนีออกจากวงล้อมพวกเราก็ปลอดภัยแล้วสิ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยออกความเห็น
“ ไม่มีใครออกไปได้เว้นแต่จะทำลายเสาหลักของเขตค่ายเสียก่อน ”
อีเลียสบอก
ตอนนี้เขาเข่าอ่อนจนลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว
“ แปดทิศก็แปดเสา ถ้าไม่รู้ว่าเสาไหนแน่ก็ทำลายมันทุกเสาจะไปยากอะไร เรื่องทุบทำลายสิ่งก่อสร้างไว้ในข้าได้ เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเอง ”
เด็กร่างอ้วนแห่งเทือกเขาคีรีคาว่าพลางแกว่งค้อนในมือ
“ ไม่ใช่อย่างนั้น เสาหลักที่ว่าคือหนึ่งร่างที่ถูกบูชายัญ แล้วคืนชีพมาเป็นผีร้ายพวกเราจะสังหารผีร้ายและปีศาจจากนรกได้อย่างไรกัน ”
อีเลียสนั้นดูหมดหวังไปแล้ว
“ ถ้ามีผงกำยานก็พอไหวอยู่หรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางเดินไปที่หน้าต่าง
“ แนวเขตไอหมอกแผ่ออกไปไกลมาก คงจะทั่วทั้งปราสาทเลย ดังนั้นเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ตกอยู่ในวงล้อมด้วยพวกเขาต้องหาทางทำสายเสาหลักนั่นได้แน่ ”
อีเลียสสูดหายใจเฮือก
เขาคว้าชายเสื้อของสหายร่างอ้วนพยุงกายยืนขี้น
“ เช่นนั้นคำพูดของอาจารย์ก็ฟังดูมีเหตุผล ”
เขาว่า
“ พวกเราควรมองหาตู้แข็งแรงสักหลัง ซ่อนอยู่ในนั้นจนกว่าทุกอย่างจะยุติ เข้าท่าอยู่นะสิ่งที่ต้องทำคือรักษาชีวิตเอาไว้ให้นานที่สุด ที่เหลือแค่รอให้ผู้ใช้เวทมนตร์จัดการ ”
เด็กน้อยร่างผอมผู้หวาดกลัวกล่าว
“ พวกเจ้าซ่อนตัวไปเถอะข้าจะไปหาคาโอเรียกับกลุ่มเด็กผู้หญิง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางเก็บข้าวของ
อีเลียสได้ยินถึงกับทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง
เขาเอาหัวโขกกับขาโต๊ะ
“ บ้าจริงข้าลืมพวกนางไปได้อย่างไรกัน ”
“ อีเลียสเจ้าไปกับพวกเราเถอะ ข้าทำใจทิ้งเจ้าไว้ในกล่องไม่ได้ เกิดมีไฟไหม้เกิดมีเรื่องร้ายแล้วหนีไม่ทัน หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วใครจะจ่ายค่าจัดงานเลี้ยง ”
อีเลียสถึงกับแยกเขี้ยว
“ นี่คือทั้งหมดที่เจ้ากังวลใช่หรือไม่ ฟิโลโซเฟอร์ไม่ต้องเอากระเป๋าไป ”
ประโยคหลังเขาหันไปบอกเด็กชายผู้ถือดาบสีเงิน
“ ช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้เจ้าต้องหยิบไปแต่ของจำเป็นเท่านั้น สิ่งอื่นใดจะกลายเป็นภาระหนักตัวเสียเปล่า ”
เขากล่าวแนะนำแล้วเอากระเป๋าใส่หนังสือของตัวเองซ่อนใต้โต๊ะ
โลธอร์เขี่ยกระเป๋าออกไปข้างๆ
แล้วหันกลับไปถาม
“ หนังสือปกหน้าที่เจ้าถือไม่ยอมวางเป็นของจำเป็นหรือเปล่านะ ”
“ แน่อยู่แล้วสิ ”
เด็กชายร่างผอมกล่าวเสียงขุ่น
เขากอดหนังสือแนบอกอย่างหวงแหน
แต่แล้วความสงบทั้งปวงก็เป็นอันยุติลง เมื่อเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นจากที่ไกลๆ เด็กทั้งชั้นหันไปตามทิศทางของเสียงอย่างพร้อมเพรียง เสียงโต๊ะล้มโครมครามดังแว่วใกล้เข้ามา ความโกลาหลจึงบังเกิดขึ้นทันที เหล่านักเรียนตัวน้อยลุกพรวดพราดขึ้น บางคนลนลานไม่รู้จะทำเช่นไร อาจารย์ผู้สอนพุ่งไปถึงประตูก่อนเป็นคนแรก เขามองลอดช่องเล็กๆ ออกไปแล้วหันกลับมามองเด็กนักเรียนที่ยืนหน้าซีดอย่างน่าสงสาร เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกการเป็นนักรบ สถานการณ์ตอนนี้จึงชวนสยองสำหรับพวกเขาอยู่ไม่น้อย
ฟิโลโซเฟอร์คว้าดาบสีเงินขึ้นมากำไว้ นับตั้งแต่เผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจในคืนเต้นรำ เหล่านักเรียนสายผู้กล้าได้พกอาวุธติดตัวอยู่ตลอด เด็กน้อยชาวซีนาร์ยหันไปสบตาเพื่อนทั้งสอง และเพื่อนของเขาก็จ้องกลับมาด้วยแววตาที่ตื่นตระหนกไม่น้อย
“ เงียบๆ ไว้นะ ”
อาจารย์ผู้สอนสั่งเสียงเครียด
เหล่านักเรียนต่างกระสับกระส่ายอยากออกวิ่งเสียเต็มประดา
พวกเขามองเห็นเค้าลางไม่ดีโดยที่ไม่ต้องเรียนศาสตร์ด้านการพยากรมาเลยด้วยซ้ำ
“ อาจารย์ ”
นักเรียนชายคนหนึ่งเรียก
เหมือนอยากเอ่ยคำถามมากมายออกไป
“ ไม่ต้องกลัวทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ข้าจะออกไปดูข้างนอกไม่จำเป็นต้องแตกตื่นรอที่นี่เงียบๆ จนกว่าข้าจะกลับมา ”
ว่าแล้วเขาก็มุดออกประตูไป
“ เราต้องอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ถาม
เขาเดินไปสมทบกับเพื่อนๆ
เด็กผู้ชายต่างกระสับกระส่าย
และเด็กผู้หญิงเริ่มกอดกันร้องให้
“ ตามหลักแล้วเราควรจะอยู่ที่นี่ ข้างนอกไม่รู้เกิดอะไรขึ้นเกิดทะเล่อทะล่าออกไปแล้วเกิดอันตรายแบบนั้นจะโทษใครได้ ”
อีเลียสบอก
“ แล้วถ้าเราตายโหงอยู่ในนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะ ”
โลธอร์กัดฟันถาม
“ รอก่อน เรายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นั่นแหละ ”
ฟิโลโซเฟอร์เห็นด้วยกับสหายร่างผอม
โลธอร์ตั้งท่าจะเถียง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก
เสียงกรีดร้องที่เยือกเย็นบาดลึกก็ดังขึ้นเหนือหัว
มันไม่ได้บินอยู่บนฟากฟ้า
แต่มันยืนอยู่บนหลังคาปราสาทนี่เอง
เด็กๆ ต่างกรีดร้อง
บ้างหมอบลงได้โต๊ะบ้างวิ่งหนีออกจากห้อง
ฟิโลโซเฟอร์ถอนหายใจเฮือก
มันเป็นเสียงสยองที่เขาไม่อยากได้ยินแม้สักครั้ง
เด็กร่างอ้วนมองเพื่อนทั้งสองสลับไปมา
ราวกับอยากขอความเห็น
แต่เพื่อนๆ ของเขายังตะลึงตาค้างไม่หาย
เมื่อเสียงกรีดร้องสิ้นสุดลง
ก็ปรากฏหมอกสีดำมืดมัวทั่วปราสาทขาว
“ มนต์ดำ ”
อีเลียสคราง
“ น่าสนใจดีนี่แล้วอย่างไรต่อ ”
โลธอร์ว่า
“ มนต์ดำ เขตค่ายมนต์ดำพวกเราอยู่ในวงล้อม ดูเหมือนชีวิตจะจบสิ้นวันนี้แล้ว ไม่นะข้ายังไม่อยากตายตระกูลข้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าไม่มีผู้สืบทอด ”
อีเลียสคร่ำครวญ
เขาเคยอ่านตำรามากมายเกี่ยวกับความชั่วร้ายของเขตค่ายมนต์ดำ
นั่นจึงทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งขึ้น
“ แล้วเขตค่ายมนต์ดำนี่มันอย่างไรกัน ”
ฟิโลโซเฟอร์ถามบ้าง
“ ผู้ใช้มนต์ดำจะเขียนสัญลักษณ์รูปดาวหกแฉกไว้ทั้งแปดทิศ ภายใต้วงล้อมนั้นประตูนรกจะเปิดออก เหล่าปีศาจร้ายจะขึ้นมากลืนกินมนุษย์ที่ตกอยู่ในวงล้อม ”
“ เช่นนั้นถ้าเราหนีออกจากวงล้อมพวกเราก็ปลอดภัยแล้วสิ ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยออกความเห็น
“ ไม่มีใครออกไปได้เว้นแต่จะทำลายเสาหลักของเขตค่ายเสียก่อน ”
อีเลียสบอก
ตอนนี้เขาเข่าอ่อนจนลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว
“ แปดทิศก็แปดเสา ถ้าไม่รู้ว่าเสาไหนแน่ก็ทำลายมันทุกเสาจะไปยากอะไร เรื่องทุบทำลายสิ่งก่อสร้างไว้ในข้าได้ เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นเอง ”
เด็กร่างอ้วนแห่งเทือกเขาคีรีคาว่าพลางแกว่งค้อนในมือ
“ ไม่ใช่อย่างนั้น เสาหลักที่ว่าคือหนึ่งร่างที่ถูกบูชายัญ แล้วคืนชีพมาเป็นผีร้ายพวกเราจะสังหารผีร้ายและปีศาจจากนรกได้อย่างไรกัน ”
อีเลียสนั้นดูหมดหวังไปแล้ว
“ ถ้ามีผงกำยานก็พอไหวอยู่หรอก ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางเดินไปที่หน้าต่าง
“ แนวเขตไอหมอกแผ่ออกไปไกลมาก คงจะทั่วทั้งปราสาทเลย ดังนั้นเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ก็ตกอยู่ในวงล้อมด้วยพวกเขาต้องหาทางทำสายเสาหลักนั่นได้แน่ ”
อีเลียสสูดหายใจเฮือก
เขาคว้าชายเสื้อของสหายร่างอ้วนพยุงกายยืนขี้น
“ เช่นนั้นคำพูดของอาจารย์ก็ฟังดูมีเหตุผล ”
เขาว่า
“ พวกเราควรมองหาตู้แข็งแรงสักหลัง ซ่อนอยู่ในนั้นจนกว่าทุกอย่างจะยุติ เข้าท่าอยู่นะสิ่งที่ต้องทำคือรักษาชีวิตเอาไว้ให้นานที่สุด ที่เหลือแค่รอให้ผู้ใช้เวทมนตร์จัดการ ”
เด็กน้อยร่างผอมผู้หวาดกลัวกล่าว
“ พวกเจ้าซ่อนตัวไปเถอะข้าจะไปหาคาโอเรียกับกลุ่มเด็กผู้หญิง ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางเก็บข้าวของ
อีเลียสได้ยินถึงกับทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง
เขาเอาหัวโขกกับขาโต๊ะ
“ บ้าจริงข้าลืมพวกนางไปได้อย่างไรกัน ”
“ อีเลียสเจ้าไปกับพวกเราเถอะ ข้าทำใจทิ้งเจ้าไว้ในกล่องไม่ได้ เกิดมีไฟไหม้เกิดมีเรื่องร้ายแล้วหนีไม่ทัน หากเจ้าเป็นอะไรไปแล้วใครจะจ่ายค่าจัดงานเลี้ยง ”
อีเลียสถึงกับแยกเขี้ยว
“ นี่คือทั้งหมดที่เจ้ากังวลใช่หรือไม่ ฟิโลโซเฟอร์ไม่ต้องเอากระเป๋าไป ”
ประโยคหลังเขาหันไปบอกเด็กชายผู้ถือดาบสีเงิน
“ ช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้เจ้าต้องหยิบไปแต่ของจำเป็นเท่านั้น สิ่งอื่นใดจะกลายเป็นภาระหนักตัวเสียเปล่า ”
เขากล่าวแนะนำแล้วเอากระเป๋าใส่หนังสือของตัวเองซ่อนใต้โต๊ะ
โลธอร์เขี่ยกระเป๋าออกไปข้างๆ
แล้วหันกลับไปถาม
“ หนังสือปกหน้าที่เจ้าถือไม่ยอมวางเป็นของจำเป็นหรือเปล่านะ ”
“ แน่อยู่แล้วสิ ”
เด็กชายร่างผอมกล่าวเสียงขุ่น
เขากอดหนังสือแนบอกอย่างหวงแหน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ