โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
166) ข้าเปล่าทำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ เมื่อพระจันทร์ถูกเมฆกลืนกินความมืดนั้นก็ลึกล้ำนัก ที่ห้องๆ หนึ่งของปราสาทขาว ประตูหน้าต่างปิดมิดชิดทุกด้านทำให้ไอสีเข้มจากหม้อต้มยาฟุ้งตลบหนาแน่นในห้องนั้น ด้วยกลิ่นอันฉุนเฉียวและความมืดสลัวทำให้ชายแก่ร่างอ้วนที่นั่งก้มอยู่หน้าเตา ไม่ทันสังเกตเห็นหน้าต่างบานหนึ่งค่อยๆ เปิดแง้มออก หนุ่มน้อยในชุดคลุมดำผู้ถือกระถางเผากำยานอยู่เป็นนิจได้ปรากฏตัวขึ้น เขานั่งชันเข่าบนกรอบหน้าต่างสายตาจับจ้องชายเจ้าของห้องอย่างใจเย็น มือก็แกว่งโซ่คล้องกระถางไปเรื่อยๆ ราวกับลูกตุ้มหินบอกเวลา
“ ท่านไม่คิดจะสนใจข้าจริงๆ หรือ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเอ่ยทักขึ้นในที่สุด
นั่นทำให้ครูใหญ่วีแกนถึงกับสะดุ้งสุดตัว
เขาถอยหนีลนลาน
“ อะไรกันล่ะ ทำอย่างกับเราไม่เคยพบกันมาก่อน ”
คนผู้นั้นท้วง
เขายังคงสวมหน้ากากโลหะดำอันเดิมเหมือนทุกครั้ง
“ เจ้าทำอะไรดารีลเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ”
วีแกนตะคอกถาม
เนื้อตัวสั่นเทา
“ ข้าเปล่าทำ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นตอบเรื่อยๆ
ไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไร
“ โกหก ตอนนี้ดารีลถูกจองจำเพราะอะไรถ้ามิใช่เพราะเจ้า ”
เจ้าของร่างบางในชุดคลุมดำเลื่อนกายลงมาจากหน้าต่าง
เขาถอนหายใจเบาๆ ดังว่ากำลังเอือมระอา
“ เจ้ารู้จักเขาน้อยเกินไป พ่อมดคนนั้นน่ะ ทั้งหมดเป็นแผนของเขาหาใช่ข้าไม่ ข้าน่ะตัวตนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งมีหรือจะต่อกรกับคนโปรดของจอมเวทวาลานได้ เจ้าเองก็เป็นคนหลักแหลมคนหนึ่ง เพียงเท่านี้จะมองไม่ออกเป็นไปได้หรือ ”
“ แล้วเขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน ”
ครูใหญ่วีแกนถาม
หนุ่มน้อยคนนั้นเดินมานั่งลงข้างๆ หม้อต้มยา
“ สิ่งนี้เป็นผลงานของข้าและเจ้าสองคนเพียงเท่านั้น และดารีลรู้ความจริงข้อนี้ดี แล้วเชื่อจริงๆ น่ะหรือว่าคนอย่างหมอนั่นจะยอมให้ผลงานล้ำค่าขนาดนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น สู้ทำเป็นเร้นกายหายไปแล้วแอบมาฉกโดยไม่มีใครรู้ ของแบบนี้ใช่จะทำได้ง่ายๆ มอบให้วาลานก็ดีเก็บไว้ใช้เองก็ดี หรือจะมอบให้เจ้าครูใหญ่วีแกนเอาไปใช้ประโยชน์ตามอำเภอใจ ใครกันใจดีขนาดนั้น คิดดูให้ดีสิ ”
“ แต่ยานี่ยังไม่สำเร็จผลเขาไม่ชิงไปหรอก ”
ชายชราร่างอ้วนว่า
แต่น้ำเสียงไม่มั่นคงเสียแล้ว
กาเอลหัวเราะลั่น
“ ข้าอิจฉาเสียจริง หมอนั่นสามารถทำให้เจ้าเชื่อใจขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ไม่เคยเลยสักครั้งหรือไรที่เขาเอ่ยคำลวงกับเจ้า ”
“ ไม่เคย ”
ครูใหญ่ตอบทันที
“ ไม่เคยหรือเจ้ารู้ไม่ทันเขากันแน่ ดารีลสามารถแค่ไหนเจ้ารู้ดีมิใช่หรือ ต่อหน้าเขาเจ้าเป็นแค่เศษสวะชิ้นหนึ่งเท่านั้น คิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะสามารถปกป้องของล้ำค่าชิ้นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนที่หากคิดจะลงมือไม่ว่าใครเขาก็สังหารได้ทั้งนั้น ข้าเพียงแค่มาเตือน หวังจะให้ข้ายืนหยัดต่อหน้าเขาแทนเจ้านั้นคงไม่ล่ะ อย่างน้อยข้าก็รักตัวกลัวตายเป็นเหมือนกัน ”
ในยามเช้าของวันนั้น ขณะที่เด็กๆ กำลังมุ่งหน้าไปยังชั้นเรียน ด้วยบรรยากาศสุดอึมครึมมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ซึ่งแต่ละอย่างล้วนสร้างความวิตกกังวลไม่น้อยเลย ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้เสียงหัวเราะและความสดใสของเด็กๆ จางหายไป เมื่อพวกเขาเอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิดถึงแต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้
เป็นเพราะเมื่อคืนฟิโลโซเฟอร์นอนไม่หลับ
เขาเอาแต่คิดถึงคนผู้หนึ่ง
ที่ถูกจองจำในคุกใต้ดิน
เช้าวันนี้จึงดูหดหู่อยู่ไม่น้อยแม้ทานอาหารยังแทบไม่รู้รส
เด็กชายชาวซีนาร์ยเดินลากขาที่หนักอึ้งพอๆ กับความคิด
และอยู่รั้งท้ายเพื่อนๆ ขณะเดินไปชั้นเรียน
ทันใดนั้นเขาก็ถูกปิดปากเอาไว้
และเจ้าของมือลึกลับนั้นก็ลากเขาเข้าไปในมุมอับ
เด็กชายตัวน้อยมองเห็นร่างสูงโปร่งในชุดคลุมดำมิดชิด
ผู้ลงมือก่อเหตุกับเขาในเวลานี้
ชั่วพริบตานั้นเขาปล่อยหนังสือในอ้อมแขนให้ร่วงหล่น
แล้วล้วงมือเข้าไปหยิบมีดสั้น
แต่ทันใดสายตาก็เหลือบไปเห็นปอยผมสีแดงเพลิงเสียก่อน
ฟิโลโซเฟอร์จึงเปลี่ยนใจมาแกะมือที่ปิดปากของเขาออก
“ เจ้าหญิงลูเซียน่า ”
เขาอุทาน
ด้วยความตื่นตระหนกปนเปกับความประหลาดใจ
“ ไม่ใช่ว่ากลับถึงเมืองอันดอรีสแล้วหรือเหตุใดจึงอยู่ที่นี่แล้วทหารคุ้มกันของท่านล่ะ ”
เจ้าหญิงแสนงามปลดผ้าคลุมหน้าออก
พลางทำสัญญาณให้เขาลดเสียง
“ เจ้าหญิงตอนนี้โอรีเวียกำลังตกอยู่ในอันตรายท่านอย่าอยู่ที่นี่เลยนะ ”
เด็กชายยังคงร้อนรน
“ เจ้านี่พูดอย่างกับเป็นดารีลเลยนะ ”
พระนางแย้มสรวล
พลางบีบไหล่ของเขาทั้งสองข้าง
“ เรามีเวลาไม่มากก่อนที่ใครจะมาเห็น ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องเจ้า ”
“ ข้านี่นะ เจ้าหญิงข้าจะช่วยอะไรท่านได้ แต่ว่ามาเถอะข้าจะพยายาม ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
“ ข้าไว้ใจเจ้าที่สุดจึงต้องพึ่งเจ้าเท่านั้น จงมอบสิ่งนี้กับดารีลมันสำคัญมากเจ้าต้องส่งให้เขากับมืออย่าให้ใครรู้เห็น แล้วบอกสิ่งหนึ่งกับเขาด้วย ”
เจ้าหญิงได้ยัดถุงผ้าปักลายสวยงามใส่มือฟิโลโซเฟอร์
“ เจ้าหญิงใยท่านไม่มอบให้เขาด้วยตนเองในเมื่อมันสำคัญเช่นนี้ ”
กล่าวเช่นนั้นแล้วเด็กชายชาวซีนาร์ยถึงกับสะดุ้ง
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ดารีลอยู่ที่แห่งใด
เขาจึงยืนอ้ำอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ถ้าเจ้าหญิงรู้ว่าดารีลถูกจองจำ
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“ เพราะว่าเขาจะไม่รับเอาไว้น่ะสิข้าจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ”
เจ้าหญิงลูเซียน่าตอบด้วยพระทัยเศร้าหมอง
“ เจ้าหญิงแท้จริงแล้วดารีลนั้นรักท่านมาก ข้าไม่รู้ว่าระหว่างพวกท่านเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ดารีลก็เจ็บปวดเพราะเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย บางทีถ้าคุยกันดีๆ อาจมีทางออกอื่นก็ได้ ”
เจ้าหญิงถอนหายใจยาว
สองหัตถ์กุมมือเด็กชายไว้หนักแน่นและมั่นคง
“ ข้าพยายามมาตลอดแต่เจ้ารู้อะไรไหม ความรักอันมั่นคงของข้าไม่สามารถหยุดเขาได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขาตัดสินใจเลือกทางเดินสายหนึ่งและจะไม่มีวันหันกลับ ฟิโลโซเฟอร์ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องขอร้องเจ้า ไม่สิเจ้าต้องสาบานต่อหน้าข้า ”
เด็กชายตัวน้อยจ้องพระพักตร์อันทุกข์โศกนั้น
แล้วเป็นอันต้องเจ็บปวดไปด้วย
เขาจึงกล่าวว่า
“ ถ้านั่นจะทำให้เจ้าหญิงสบายใจข้าก็ยินดี ”
เจ้าหญิงลูเซียน่ายื่นหัตถ์ทั้งไปประคองใบหน้าของเขา
แล้วทั้งสองก็สบตากัน
“ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าอย่าคิดร้ายกับดารีลเลยนะ สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดล้วนเกิดจากแรงบีบคั้น แท้จริงแล้วชีวิตของดารีลน่าสงสารมากไร้คนเข้าใจอย่าถ่องแท้ เขาน่ะโดดเดี่ยวมาตลอด ”
“ เจ้าหญิงโปรดวางใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเขาดารีลก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นหากใครจะคิดร้ายกับเขา นั่นย่อมไม่ใช่ข้าอย่างแน่นอน ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ