โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.81K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
158) ประตูหลัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพวกเขาก้าวลงสู่บันไดเวียนที่เก่าและแตกบิ่น เหมือนเป็นสิ่งประหลาดราวกับว่าไม่มีอยู่จริง เพราะความเก่าแก่ผุพังนั้น ไม่เคยปรากฏในโอรีเวียเลย
เด็กๆ เดินตามขั้นบันไดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรงปรารถนาและความอยากรู้อยากเห็นได้นำพาพวกเขามาจนถึงที่นี่ อีเลียสนั้นรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยกับบันไดเวียนที่สูงชันแต่ไร้ราวจับ
ฟิโลโซเฟอร์ที่เดินนำอยู่ด้านหน้านั้นนิ่งขรึม หูก็คอยฟังเสียงอื่นที่ผิดปรกติอะไรบางอย่างชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายในเทือกเขาเงาปีศาจ
ในที่สุดการเดินทางที่ยาวนานก็จบลง
เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นอีกครั้ง
มันเป็นพื้นหินสีน้ำตาลอมเทา
ที่ตรงนี้เป็นโพลงขนาดใหญ่เหมือนโลกอีกใบ
รอบกายล้วนแล้วแต่ดำมืด
และซากต้นไม้ที่แห้งตาย
มีบ่อน้ำอยู่กลางลาน
ฟิโลโซเฟอร์ใช้กว้านชักขึ้นมาดู
ก็พบน้ำที่ใสและเย็นเฉียบ
“ อย่าคิดจะลองชิมดูเลยนะข้าว่าไม่ดีแน่ๆ ”
อีเลียสเตือน
เขาเด็ดใบไม้ใบหนึ่ง
พบว่ามันแห้งกรอบไปเสียแล้ว
“ เหมือนสถานที่ต้องสาปทุกสิ่งล้วนหยุดนิ่ง ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนกล่าว
“ และแห้งตายไปทั้งอย่างนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์เสริม
เขาชูคบเพลิงขึ้น
แล้วเดินนำไปตามถนนสายเล็กๆ
“ ที่นี่อย่างกับสวนหย่อมแหนะ ”
โลธอร์ออกความเห็น
“ มีลานน้ำพุ ม้านั่ง เลยออกไปตรงนั้นคงเป็นลำธาร ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยหันไปมองม้านั่งที่ว่างเปล่า
ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
กลัวว่าจะเห็นสตรีชุดแดงนั่งอยู่ตรงนั้น
“ ที่นี่คงเป็นด้านในและนี่ก็คงเป็นสวนภายในอาณาเขตตัวปราสาท ประตูเข้าอาคารคงอยู่ไม่ไกล ”
อีเลียสว่า
“ หินปูพื้นดูแข็งแรงมากเมื่อเทียบกับโอรีเวีย ”
โลธอร์บอก
“ เป็นดังนั้นจริงๆ ในยุคของเมืองแพสทรูแลนด์นั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและการเข่นฆ่า สิ่งก่อสร้างจึงจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ผิดกับโอรีเวียที่เกิดในยุคแห่งความสงบจึงเน้นความสวยงาม แต่อย่าห่วงเลยนะถึงอย่างไรในยุคสุดท้าย เมืองนี้ปกครองโดยราชินีเซเลียน่า
สตรีหนึ่งเดียวในยุคมืดที่ขึ้นเป็นใหญ่และมีอำนาจสูงสุด ดังนั้นสมบัติล้ำค่ามากมายจึงมารวมกันอยู่ตรงนี้ ”
อีเลียสเล่า
“ เรื่องจริงหรือ ”
เด็กร่างอ้วนทำตาโต
“ เรื่องเล่าต่างหากล่ะ ตำนานต่างๆ สามารถบิดเพี้ยนได้ แต่ถึงอย่างไรต้องมีเค้าอยู่บ้าง ”
“ ก็แสดงว่ายังพอมีหวัง ข้าคิดถึงนิทานก่อนนอน ที่ผู้กล้าออกผจญภัยสุดท้ายก็พบกับสมบัติและเจ้าหญิงแสนงาม เรื่องสาวงามคงสิ้นหวังแล้วอย่างน้อยขอสมบัติสักชิ้นเอาไปอวดท่านแม่ก็ยังดี ”
“ แล้วกันนี่เจ้าไม่ได้อยากมาเพราะเป็นห่วงเพื่อนหรอกหรือ ”
อีเลียสท้วง
ด้วยท่าทีขัดเคือง
“ แหมก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ โบราณว่ายิงนกทีเดียวควรได้นกสองสามตัว จึงจะมีกำไร ”
ฟิโลโซเฟอร์ส่ายหน้ายิ้มๆ
แต่ก็ไม่ว่าอะไร
“ รู้อะไรไหม ”
โลธอร์ยังพล่ามต่อ
“ ในหุบเขามันพิเศษอย่างไร ”
พูดจบเขาก็ป้องปากตะโกนออกมา
เสียงของเด็กน้อยสะท้อนก้องไปก้องมา
เป็นร้อยๆ ครั้ง
“ เหมือนอย่างที่คิดจริงด้วยตรงนี้มันคือถ้ำน่าตื่นเต้นจริงๆ ”
แต่เพื่อนๆ ไม่เห็นด้วย
อีเลียสปิดปากเขาไว้ด้วยท่าทีลนลาน
“ มันใช่เวลามาเล่นแบบนี้หรือ ”
เมื่อสิ้นเสียงสะท้อนที่ก้องไปมาเหนือหัว
ก็บังเกิดเสียงหนึ่งตามมา
มันดังแกรกกรากเบาๆ ท่ามกลางความมืด
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับสะดุ้ง
เขาจำเสียงนี้ได้
เมื่อนานมาแล้ว
ในหุบเขาต้องสาปนั่น
ที่ๆ เขาจะไม่มีวันไปเหยียบอีกเลย
ถ้าไม่จำเป็น
“ นั่นเสียงอะไรน่ะ เสียงลมพัดหรือเปล่า ”
อีเลียสออกอาการตื่นกลัว
เขาพูดออกมาอย่างนั้น
ทั้งที่รู้ดีว่าในที่แห่งนี้สายลมเดินทางมาไม่ถึงอย่างแน่นอน
“ รีบไปกันเถอะอย่าหยุดกับที่นานนักเลย ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยว่า
อีเลียสนั้นจำทางในแผนที่ได้อย่างชัดเจน
เพียงเวลาไม่นานเขาก็พาทุกคน
มาหยุดที่ประตูบานหนึ่ง
ที่ล่ามโซ่เส้นใหญ่ไว้อย่างแข็งแรง
พวกเขาสำรวจประตูอย่างละเอียด
ถึงแม้มันจะเป็นไม้แต่ก็หนาและแข็งมาก
“ เสียดายที่ไม่มีลูกกุญแจ ”
โลธอร์ว่า
“ ขวานของข้าคมก็จริงแต่ไม้หนาขนาดนี้คงใช้เวลาและมันจะส่งเสียงดังเกินไป ตามธรรมเนียมแล้วถ้าทุบไม่ได้ก็ต้องเผา หรือพวกเจ้าว่าอย่างไร ”
“ นี่คงเป็นประตูหลัง หรือเราจะลองหาทางปีนเข้าไป ”
เด็กร่างผอมที่หิ้วสมุดปกหนาอยู่เป็นนิจเสนอ
ฟิโลโซเฟอร์ชักดาบออกมาฟันไปที่โซ่เส้นใหญ่สนิมเขลอะนั้น
เกิดประกายไฟขึ้นวูบหนึ่ง
แล้วโซ่ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ ดารีลบอกว่าดาบนี่ตัดโลหะได้ ”
เด็กชายกล่าวเรียบๆ
เมื่อเห็นเพื่อนๆ ตะลึงตาค้าง
“ เจ้าเอาเปรียบนี่นา ”
โลธอร์ท้วง
“ อย่าพูดมากเลยรีบๆ เข้าไปเถอะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ผลักประตูเปิดแต่เปิดไม่ออก
เพราะบานประตูหนักมาก
เพื่อนๆ จึงเข้ามาช่วย
เขาจ้องมองอัญมณีที่ประดับบนดาบ
พบว่ามันส่องประกายเข้มขึ้น
ชวนให้ใจคอไม่ดี
เด็กชายรู้สึกถึงลางร้าย
ดาบเล่มนี้เป็นดาบเวทมนตร์
มันรับรู้ถึงปีศาจร้ายและอำนาจมืด
เด็กๆ เดินตามขั้นบันไดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรงปรารถนาและความอยากรู้อยากเห็นได้นำพาพวกเขามาจนถึงที่นี่ อีเลียสนั้นรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยกับบันไดเวียนที่สูงชันแต่ไร้ราวจับ
ฟิโลโซเฟอร์ที่เดินนำอยู่ด้านหน้านั้นนิ่งขรึม หูก็คอยฟังเสียงอื่นที่ผิดปรกติอะไรบางอย่างชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายในเทือกเขาเงาปีศาจ
ในที่สุดการเดินทางที่ยาวนานก็จบลง
เมื่อเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นอีกครั้ง
มันเป็นพื้นหินสีน้ำตาลอมเทา
ที่ตรงนี้เป็นโพลงขนาดใหญ่เหมือนโลกอีกใบ
รอบกายล้วนแล้วแต่ดำมืด
และซากต้นไม้ที่แห้งตาย
มีบ่อน้ำอยู่กลางลาน
ฟิโลโซเฟอร์ใช้กว้านชักขึ้นมาดู
ก็พบน้ำที่ใสและเย็นเฉียบ
“ อย่าคิดจะลองชิมดูเลยนะข้าว่าไม่ดีแน่ๆ ”
อีเลียสเตือน
เขาเด็ดใบไม้ใบหนึ่ง
พบว่ามันแห้งกรอบไปเสียแล้ว
“ เหมือนสถานที่ต้องสาปทุกสิ่งล้วนหยุดนิ่ง ”
เจ้าเด็กร่างอ้วนกล่าว
“ และแห้งตายไปทั้งอย่างนั้น ”
ฟิโลโซเฟอร์เสริม
เขาชูคบเพลิงขึ้น
แล้วเดินนำไปตามถนนสายเล็กๆ
“ ที่นี่อย่างกับสวนหย่อมแหนะ ”
โลธอร์ออกความเห็น
“ มีลานน้ำพุ ม้านั่ง เลยออกไปตรงนั้นคงเป็นลำธาร ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยหันไปมองม้านั่งที่ว่างเปล่า
ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
กลัวว่าจะเห็นสตรีชุดแดงนั่งอยู่ตรงนั้น
“ ที่นี่คงเป็นด้านในและนี่ก็คงเป็นสวนภายในอาณาเขตตัวปราสาท ประตูเข้าอาคารคงอยู่ไม่ไกล ”
อีเลียสว่า
“ หินปูพื้นดูแข็งแรงมากเมื่อเทียบกับโอรีเวีย ”
โลธอร์บอก
“ เป็นดังนั้นจริงๆ ในยุคของเมืองแพสทรูแลนด์นั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงและการเข่นฆ่า สิ่งก่อสร้างจึงจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ผิดกับโอรีเวียที่เกิดในยุคแห่งความสงบจึงเน้นความสวยงาม แต่อย่าห่วงเลยนะถึงอย่างไรในยุคสุดท้าย เมืองนี้ปกครองโดยราชินีเซเลียน่า
สตรีหนึ่งเดียวในยุคมืดที่ขึ้นเป็นใหญ่และมีอำนาจสูงสุด ดังนั้นสมบัติล้ำค่ามากมายจึงมารวมกันอยู่ตรงนี้ ”
อีเลียสเล่า
“ เรื่องจริงหรือ ”
เด็กร่างอ้วนทำตาโต
“ เรื่องเล่าต่างหากล่ะ ตำนานต่างๆ สามารถบิดเพี้ยนได้ แต่ถึงอย่างไรต้องมีเค้าอยู่บ้าง ”
“ ก็แสดงว่ายังพอมีหวัง ข้าคิดถึงนิทานก่อนนอน ที่ผู้กล้าออกผจญภัยสุดท้ายก็พบกับสมบัติและเจ้าหญิงแสนงาม เรื่องสาวงามคงสิ้นหวังแล้วอย่างน้อยขอสมบัติสักชิ้นเอาไปอวดท่านแม่ก็ยังดี ”
“ แล้วกันนี่เจ้าไม่ได้อยากมาเพราะเป็นห่วงเพื่อนหรอกหรือ ”
อีเลียสท้วง
ด้วยท่าทีขัดเคือง
“ แหมก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ โบราณว่ายิงนกทีเดียวควรได้นกสองสามตัว จึงจะมีกำไร ”
ฟิโลโซเฟอร์ส่ายหน้ายิ้มๆ
แต่ก็ไม่ว่าอะไร
“ รู้อะไรไหม ”
โลธอร์ยังพล่ามต่อ
“ ในหุบเขามันพิเศษอย่างไร ”
พูดจบเขาก็ป้องปากตะโกนออกมา
เสียงของเด็กน้อยสะท้อนก้องไปก้องมา
เป็นร้อยๆ ครั้ง
“ เหมือนอย่างที่คิดจริงด้วยตรงนี้มันคือถ้ำน่าตื่นเต้นจริงๆ ”
แต่เพื่อนๆ ไม่เห็นด้วย
อีเลียสปิดปากเขาไว้ด้วยท่าทีลนลาน
“ มันใช่เวลามาเล่นแบบนี้หรือ ”
เมื่อสิ้นเสียงสะท้อนที่ก้องไปมาเหนือหัว
ก็บังเกิดเสียงหนึ่งตามมา
มันดังแกรกกรากเบาๆ ท่ามกลางความมืด
ฟิโลโซเฟอร์ถึงกับสะดุ้ง
เขาจำเสียงนี้ได้
เมื่อนานมาแล้ว
ในหุบเขาต้องสาปนั่น
ที่ๆ เขาจะไม่มีวันไปเหยียบอีกเลย
ถ้าไม่จำเป็น
“ นั่นเสียงอะไรน่ะ เสียงลมพัดหรือเปล่า ”
อีเลียสออกอาการตื่นกลัว
เขาพูดออกมาอย่างนั้น
ทั้งที่รู้ดีว่าในที่แห่งนี้สายลมเดินทางมาไม่ถึงอย่างแน่นอน
“ รีบไปกันเถอะอย่าหยุดกับที่นานนักเลย ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยว่า
อีเลียสนั้นจำทางในแผนที่ได้อย่างชัดเจน
เพียงเวลาไม่นานเขาก็พาทุกคน
มาหยุดที่ประตูบานหนึ่ง
ที่ล่ามโซ่เส้นใหญ่ไว้อย่างแข็งแรง
พวกเขาสำรวจประตูอย่างละเอียด
ถึงแม้มันจะเป็นไม้แต่ก็หนาและแข็งมาก
“ เสียดายที่ไม่มีลูกกุญแจ ”
โลธอร์ว่า
“ ขวานของข้าคมก็จริงแต่ไม้หนาขนาดนี้คงใช้เวลาและมันจะส่งเสียงดังเกินไป ตามธรรมเนียมแล้วถ้าทุบไม่ได้ก็ต้องเผา หรือพวกเจ้าว่าอย่างไร ”
“ นี่คงเป็นประตูหลัง หรือเราจะลองหาทางปีนเข้าไป ”
เด็กร่างผอมที่หิ้วสมุดปกหนาอยู่เป็นนิจเสนอ
ฟิโลโซเฟอร์ชักดาบออกมาฟันไปที่โซ่เส้นใหญ่สนิมเขลอะนั้น
เกิดประกายไฟขึ้นวูบหนึ่ง
แล้วโซ่ก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ ดารีลบอกว่าดาบนี่ตัดโลหะได้ ”
เด็กชายกล่าวเรียบๆ
เมื่อเห็นเพื่อนๆ ตะลึงตาค้าง
“ เจ้าเอาเปรียบนี่นา ”
โลธอร์ท้วง
“ อย่าพูดมากเลยรีบๆ เข้าไปเถอะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ผลักประตูเปิดแต่เปิดไม่ออก
เพราะบานประตูหนักมาก
เพื่อนๆ จึงเข้ามาช่วย
เขาจ้องมองอัญมณีที่ประดับบนดาบ
พบว่ามันส่องประกายเข้มขึ้น
ชวนให้ใจคอไม่ดี
เด็กชายรู้สึกถึงลางร้าย
ดาบเล่มนี้เป็นดาบเวทมนตร์
มันรับรู้ถึงปีศาจร้ายและอำนาจมืด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ