โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) รอยแยก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรุ่งสางพอเห็นแสงสว่างลำไรพวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง ถึงแม้จะเกรงกลัวกับสิ่งที่อาจจะรออยู่ข้างหน้าแต่อาเธอร์ก็ไม่อยากรั้งรออยู่นาน เมื่อคืนเขามั่นใจว่าตัวประหลาดนั่นมิได้หวนกลับมาที่รังของมัน แต่ไม่แน่ว่าอาจมีมังกรดำหลงเหลืออยู่ในนี้ พวกเขาเดินลัดเลอะไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ไต่ขึ้นไปตามขอบหินที่ยื่นออกมาเป็นขั้นบันไดบางครั้งก็ต้องไต่ลงตามเงื้อมผา อาเธอร์เม้มปากแน่นเขากำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อฟื้นความทรงจำในอดีตว่าเคยผ่านช่องเขาตรงไหนบ้าง
พวกเขาไต่ขึ้นไปตามทางลาดชัน ต่างพยายามหลีกเลี่ยงหินก้อนเล็กๆ เพราะอาจทำไห้ลื่นตกลงไปได้ และแล้วพวกเขาก็มาถึงลานหินอีกแห่งหนึ่ง ดวงอาทิตย์ลอยเด่นเป็นสง่าบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ฟิโลโซเฟอร์วิ่งเหยาะๆ นำหน้าไปก่อนด้วยความที่เขายังเป็นเด็กซุกซน
“ อย่าวิ่งเลยลูกเดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ ”
คาโลไรน์ร้องบอก
เด็กชายหันมายิ้มให้มารดา
ชั่วขณะนั้นดูเหมือนเขาจะลื่นไปข้างหลังแล้วก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน
อาเธอร์วิ่งไปถึงเป็นคนแรกที่ตรงนั้นเป็นรอยแยกของแผ่นหิน
ฟิโลโซเฟอร์ถอยไม่ระวังจึงร่วงหล่นลงไป
“ ฟิโลโซเฟอร์ ”
คาโลไรน์ตะโกนลงไปอย่างร้อนรน
เบื้องล่างมองลงไปเห็นแต่ความมืดมิด
อาเธอร์จุดคบเพลิงเตรียมโยนลงในรอยแตกนั้น
“ ลูกแม่อย่าทำอย่างนี้สิ ตอบแม่มาว่าไม่เป็นไร ”
“ ข้าปรอดภัยดีข้างล่างนี่เป็นน้ำ ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์สะท้อนขึ้นมาสร้างความโล่งใจแก่ทุกคน
“ เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่าข้าจะหย่อนเชือกลงไปเจ้าพอจะปีนขึ้นมาได้หรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามบ้าง
“ คงไม่ได้น่ะ ผนังมั่นลื่นมากและเชือกอาจจะยาวไม่ถึง ”
อาเธอร์นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่
“ เจ้าสังเกตดูน้ำสิว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ ”
เงียบไปเป็นครู่แล้วเด็กชายก็ร้องตอบ
“ น้ำในนี้ไหลเอื่อยๆ และข้างล่างนี่อาจเป็นถ้ำ ข้ารู้สึกว่าอากาศหมุนเวียนดี หายใจสะดวก ”
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ตรงนั้นแหละพวกเราจะตามลงไปเอง ”
“ อะไรนะ เราไม่หาอะไรมาทำเชือกแล้วดึงเขาขึ้นมาหรือ ”
คาโลไรน์ตกใจ
“ ข้าเคยได้ยินมาว่าภายในหุบเขามีอุโมงค์ขุดเชื่อมไปยังเขาแต่ละลูก มันถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ซาเหวจหลอดเรืองอำนาจ บางทีเราอาจหาทางเดินทะลุออกไปได้โดยไม่ต้องปีนเขา ”
ถ้าไม่เจอกับรังมังกรเข้าซะก่อน
อาเธอร์ไม่กล้าต่อประโยคให้จบ
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าเห็นไฟนี่ไหม ”
เขาว่าพลางยื่นคบเพลิงลงไป
“ รับเอาไว้นะ ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งไปรับคบเพลิงที่บิดาปล่อยลงมาได้ทันก่อนมันจะร่วงลงน้ำ
“ ว้าว ท่านพ่อข้าทำได้ ”
เสียงหัวเราะสดใสดังแว่วขึ้นมา
“ เจ้าทำดีมาก เอาหล่ะหลบไปข้างๆ ”
เขาร้องบอกบุตรชายก่อนที่จะพาคาโอเรียไถลลงไปตามหินที่เรียบลื่น
พวกเขาหล่นโครมลงในน้ำที่เย็นเฉียบ
คาโอเรียพยุงตัวเองลุกขึ้นลูปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนไหล่ของนาง
“ นี่มีใครอยู่ตรงไหนบ้าง ”
นางถามเสียงสั่น
“ ทางนี้ข้าอยู่ทางนี้ ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์ดังขึ้นเบาๆ จากด้านหลังเขายื่นมือไปไขว่คว้าน้องสาวเอาไว้
มือข้างหนึ่งชูคบเพลิงไว้เหนือหัว
น้ำในนี้ลึกอยู่เหมือนกัน
“ คาโลไรน์เจ้าพร้อมหรือยัง ”
อาเธอร์ร้องถามมีเสียงอะไรบางอย่างหล่นโครมลงใกล้ๆ
ชายหนุ่มรีบคว้าขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่านั่นคือคาโลไรน์ผู้เป็นสุดที่รักของเขานั่นเอง
“ ดูสิน้ำทั้งนั้นเราคงไม่ต้องห่วงว่าจะอดน้ำไปอีกนาน ”
คาโลไรน์พูด
อาเธอร์รับคบเพลิงมาจากบุตรชาย
แสงสว่างขับไล่ความมืดให้ถอยห่างออกไปทำให้มองเห็นผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยเมือกเขียวคล้ำ
พวกเขากำลังติดอยู่ในอุโมงค์น้ำ
“ ไปทางนั้น เราจะเดินทวนน้ำขึ้นไป ”
อาเธอร์บอก
เขาเดินนำไปอีกครั้งแสงจากคบเพลิงสะท้อนกับพื้นน้ำทอประกายระยิบระยับ
“ ที่นี่เป็นถ้ำใช่ไหมคะ ”
คาโอเรียสงสัยนางกวาดตามองไปตามพื้นผนัง
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่อุโมงค์ขุด หุบเขาแห่งนี้มีถ้ำอยู่มากมายสมัยก่อนซาเหวจหลอดได้สร้างอุโมงค์เชื่อมต่อกันไว้เพื่อซ่องสุมกองทัพปีศาจ หุบเขาแห่งนี้ในสมัยนั้นเกรียงไกรมากแต่หลังจากจอมมารถูกโค่นอำนาจ หุบเขาแห่งนี้ก็ทิ้งร้างเพราะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามา ตำนานอันสยดสยองของยุคซาเหวจหลอดก็ปิดฉากลงเท่านี้ ”
อาเธอร์เล่า
“ ตำนานของซาเหวจหลอดเป็นเรื่องจริงหรือนี่ข้าไม่รู้มาก่อนเลย สำหรับซีนาร์ยแล้วมันเป็นเหมือนนิทานหลอกเด็กไม่ให้ซุกซน ถ้าอย่างนั้นของวิเศษทั้งเจ็ดที่ว่าก็มีจริงน่ะสิ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นบ้าง
“ ตำนานนั้นมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมปนเป บางทีของวิเศษที่ว่าอาจจะถูกเสริมเข้ามาเพื่อให้ตำนานน่าสนใจขึ้น ”
“ ถ้านี่เคยเป็นฐานทัพของซาเหวจหลอด แล้วทำไมเราไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีนักล่าสมบัติมาบุกที่นี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ไม่รู้สิ แต่ตามตำนานกล่าวว่าภายในนี้มีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ อีกทั้งคำเล่าลือถึงนักสำรวจหลายคนเคยเข้ามาในนี้แต่ไม่ได้กลับออกไป เมื่อไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเกิดเรื่องเล่าน่ากลัวมากมาย แต่ถ้าเป็นไปตามที่ผู้เฒ่าชาโคลเล่าในนี้อาจไม่มีอะไรเลย ”
“ อ้อ สรุปคือทั้งหมดยังเป็นเรื่องเล่าซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วใช่ไหมคาโอเรีย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางหันไปมองน้องสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
นางไม่มีความเห็นสำหรับเรื่องนี้
ส่วนอาเธอร์ที่เดินอยู่หน้าสุดนั้นแอบยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
“ พูดถึงท่านชาโคลข้าได้ยินเขาเรียกพวกมันว่ามังกรไฟ ”
เด็กชายหมายถึงสิ่งที่บินอยู่เหนือกัลป์ทีลอท
“ แล้วมันต่างจากมังกรดำอย่างไร ”
“ มีมังกรบางสายพันธุ์สามารถพ่นไฟได้ มังกรดำมีเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดแต่พ่นไฟไม่ได้ แต่เจ้าจงรู้เอาไว้สิ่งที่เห็นว่าพ่นไฟได้อาจไม่ใช่มังกร ”
อาเธอร์ว่า
“ แล้วมันคือตัวอะไรล่ะ ”
เด็กน้อยถามด้วยความอยากรู้
“ ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรเอาเป็นว่าเราไม่ควรพบมันจะดีที่สุด ”
พวกเขาไต่ขึ้นไปตามทางลาดชัน ต่างพยายามหลีกเลี่ยงหินก้อนเล็กๆ เพราะอาจทำไห้ลื่นตกลงไปได้ และแล้วพวกเขาก็มาถึงลานหินอีกแห่งหนึ่ง ดวงอาทิตย์ลอยเด่นเป็นสง่าบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ฟิโลโซเฟอร์วิ่งเหยาะๆ นำหน้าไปก่อนด้วยความที่เขายังเป็นเด็กซุกซน
“ อย่าวิ่งเลยลูกเดี๋ยวจะเหนื่อยเปล่าๆ ”
คาโลไรน์ร้องบอก
เด็กชายหันมายิ้มให้มารดา
ชั่วขณะนั้นดูเหมือนเขาจะลื่นไปข้างหลังแล้วก็หายวับไปจากสายตาของทุกคน
อาเธอร์วิ่งไปถึงเป็นคนแรกที่ตรงนั้นเป็นรอยแยกของแผ่นหิน
ฟิโลโซเฟอร์ถอยไม่ระวังจึงร่วงหล่นลงไป
“ ฟิโลโซเฟอร์ ”
คาโลไรน์ตะโกนลงไปอย่างร้อนรน
เบื้องล่างมองลงไปเห็นแต่ความมืดมิด
อาเธอร์จุดคบเพลิงเตรียมโยนลงในรอยแตกนั้น
“ ลูกแม่อย่าทำอย่างนี้สิ ตอบแม่มาว่าไม่เป็นไร ”
“ ข้าปรอดภัยดีข้างล่างนี่เป็นน้ำ ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์สะท้อนขึ้นมาสร้างความโล่งใจแก่ทุกคน
“ เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่าข้าจะหย่อนเชือกลงไปเจ้าพอจะปีนขึ้นมาได้หรือเปล่า ”
อาเธอร์ถามบ้าง
“ คงไม่ได้น่ะ ผนังมั่นลื่นมากและเชือกอาจจะยาวไม่ถึง ”
อาเธอร์นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่
“ เจ้าสังเกตดูน้ำสิว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ ”
เงียบไปเป็นครู่แล้วเด็กชายก็ร้องตอบ
“ น้ำในนี้ไหลเอื่อยๆ และข้างล่างนี่อาจเป็นถ้ำ ข้ารู้สึกว่าอากาศหมุนเวียนดี หายใจสะดวก ”
“ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รออยู่ตรงนั้นแหละพวกเราจะตามลงไปเอง ”
“ อะไรนะ เราไม่หาอะไรมาทำเชือกแล้วดึงเขาขึ้นมาหรือ ”
คาโลไรน์ตกใจ
“ ข้าเคยได้ยินมาว่าภายในหุบเขามีอุโมงค์ขุดเชื่อมไปยังเขาแต่ละลูก มันถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ซาเหวจหลอดเรืองอำนาจ บางทีเราอาจหาทางเดินทะลุออกไปได้โดยไม่ต้องปีนเขา ”
ถ้าไม่เจอกับรังมังกรเข้าซะก่อน
อาเธอร์ไม่กล้าต่อประโยคให้จบ
“ ฟิโลโซเฟอร์เจ้าเห็นไฟนี่ไหม ”
เขาว่าพลางยื่นคบเพลิงลงไป
“ รับเอาไว้นะ ”
เด็กชายตัวน้อยวิ่งไปรับคบเพลิงที่บิดาปล่อยลงมาได้ทันก่อนมันจะร่วงลงน้ำ
“ ว้าว ท่านพ่อข้าทำได้ ”
เสียงหัวเราะสดใสดังแว่วขึ้นมา
“ เจ้าทำดีมาก เอาหล่ะหลบไปข้างๆ ”
เขาร้องบอกบุตรชายก่อนที่จะพาคาโอเรียไถลลงไปตามหินที่เรียบลื่น
พวกเขาหล่นโครมลงในน้ำที่เย็นเฉียบ
คาโอเรียพยุงตัวเองลุกขึ้นลูปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนไหล่ของนาง
“ นี่มีใครอยู่ตรงไหนบ้าง ”
นางถามเสียงสั่น
“ ทางนี้ข้าอยู่ทางนี้ ”
เสียงฟิโลโซเฟอร์ดังขึ้นเบาๆ จากด้านหลังเขายื่นมือไปไขว่คว้าน้องสาวเอาไว้
มือข้างหนึ่งชูคบเพลิงไว้เหนือหัว
น้ำในนี้ลึกอยู่เหมือนกัน
“ คาโลไรน์เจ้าพร้อมหรือยัง ”
อาเธอร์ร้องถามมีเสียงอะไรบางอย่างหล่นโครมลงใกล้ๆ
ชายหนุ่มรีบคว้าขึ้นมาทันทีเพราะรู้ว่านั่นคือคาโลไรน์ผู้เป็นสุดที่รักของเขานั่นเอง
“ ดูสิน้ำทั้งนั้นเราคงไม่ต้องห่วงว่าจะอดน้ำไปอีกนาน ”
คาโลไรน์พูด
อาเธอร์รับคบเพลิงมาจากบุตรชาย
แสงสว่างขับไล่ความมืดให้ถอยห่างออกไปทำให้มองเห็นผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยเมือกเขียวคล้ำ
พวกเขากำลังติดอยู่ในอุโมงค์น้ำ
“ ไปทางนั้น เราจะเดินทวนน้ำขึ้นไป ”
อาเธอร์บอก
เขาเดินนำไปอีกครั้งแสงจากคบเพลิงสะท้อนกับพื้นน้ำทอประกายระยิบระยับ
“ ที่นี่เป็นถ้ำใช่ไหมคะ ”
คาโอเรียสงสัยนางกวาดตามองไปตามพื้นผนัง
“ จะว่าอย่างนั้นก็ได้หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่อุโมงค์ขุด หุบเขาแห่งนี้มีถ้ำอยู่มากมายสมัยก่อนซาเหวจหลอดได้สร้างอุโมงค์เชื่อมต่อกันไว้เพื่อซ่องสุมกองทัพปีศาจ หุบเขาแห่งนี้ในสมัยนั้นเกรียงไกรมากแต่หลังจากจอมมารถูกโค่นอำนาจ หุบเขาแห่งนี้ก็ทิ้งร้างเพราะไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามา ตำนานอันสยดสยองของยุคซาเหวจหลอดก็ปิดฉากลงเท่านี้ ”
อาเธอร์เล่า
“ ตำนานของซาเหวจหลอดเป็นเรื่องจริงหรือนี่ข้าไม่รู้มาก่อนเลย สำหรับซีนาร์ยแล้วมันเป็นเหมือนนิทานหลอกเด็กไม่ให้ซุกซน ถ้าอย่างนั้นของวิเศษทั้งเจ็ดที่ว่าก็มีจริงน่ะสิ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นบ้าง
“ ตำนานนั้นมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมปนเป บางทีของวิเศษที่ว่าอาจจะถูกเสริมเข้ามาเพื่อให้ตำนานน่าสนใจขึ้น ”
“ ถ้านี่เคยเป็นฐานทัพของซาเหวจหลอด แล้วทำไมเราไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีนักล่าสมบัติมาบุกที่นี่ ”
ฟิโลโซเฟอร์สงสัย
“ ไม่รู้สิ แต่ตามตำนานกล่าวว่าภายในนี้มีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ อีกทั้งคำเล่าลือถึงนักสำรวจหลายคนเคยเข้ามาในนี้แต่ไม่ได้กลับออกไป เมื่อไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเกิดเรื่องเล่าน่ากลัวมากมาย แต่ถ้าเป็นไปตามที่ผู้เฒ่าชาโคลเล่าในนี้อาจไม่มีอะไรเลย ”
“ อ้อ สรุปคือทั้งหมดยังเป็นเรื่องเล่าซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วใช่ไหมคาโอเรีย ”
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางหันไปมองน้องสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
นางไม่มีความเห็นสำหรับเรื่องนี้
ส่วนอาเธอร์ที่เดินอยู่หน้าสุดนั้นแอบยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
“ พูดถึงท่านชาโคลข้าได้ยินเขาเรียกพวกมันว่ามังกรไฟ ”
เด็กชายหมายถึงสิ่งที่บินอยู่เหนือกัลป์ทีลอท
“ แล้วมันต่างจากมังกรดำอย่างไร ”
“ มีมังกรบางสายพันธุ์สามารถพ่นไฟได้ มังกรดำมีเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดแต่พ่นไฟไม่ได้ แต่เจ้าจงรู้เอาไว้สิ่งที่เห็นว่าพ่นไฟได้อาจไม่ใช่มังกร ”
อาเธอร์ว่า
“ แล้วมันคือตัวอะไรล่ะ ”
เด็กน้อยถามด้วยความอยากรู้
“ ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรเอาเป็นว่าเราไม่ควรพบมันจะดีที่สุด ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ