โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  141.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) โพลงหิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พวกเขาเดินเลียบไปตามชะง่อนผาจนมาถึงทางลาดที่เต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำ   ต่างคนต่างค่อยๆ ปีนขึ้นไปอย่างระมัดระวัง   เมื่อมาถึงปลายทางอาเธอร์ก็ออกสำรวจหาที่ๆ พอจะเป็นที่พักพิงได้   คราวนี้ลูวิ่งตามเขาไปด้วยมันพาเขาไปพบกับโพลงหินตื้นๆ แห่งหนึ่งกว้างใหญ่พอที่จะเข้าไปอาศัยหลับนอนได้   อาเธอร์คลานเข้าไปสำรวจด้วยความพึงพอใจเขาอุ้มกระต่ายลูขึ้น

 

“ ขอบใจมาก   นี่ใช่ไหมที่เจ้าต้องการคราวนี้   ข้าต้องเข้าไปอยู่ในโพลงเหมือนกระต่ายแล้ว ”

 

            ฟิโลโซเฟอร์นั่งถ่างขาบนก้อนหินเขากินขนมปังจนหมดก้อน   มือข้างหนึ่งยังถือมะเขือเทศลูกใหญ่แม้มันจะเริ่มเหี่ยวแล้วแต่รสชาติยังดีอยู่   เขาคิดว่าการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยคงทำให้มะเขือเทศที่เขาเกลียดนักเกลียดหนาน่ากินขึ้นมาได้  

 

เสียงคาโอเรียสำลักน้ำทำให้เขาต้องหันไปมองนางคงเหนื่อยมากกับการเดินทางทั้งวัน   สำหรับเด็กผู้หญิงที่อยู่แต่ในบ้านฝึกงานบ้านงานเรือน   การเดินทางผาดโผนแบบนี้ก็สาหัสเอาการอยู่

 

แต่สำหรับเขาเด็กชายชาวไร่ชาวนาชื่นชอบบรรยากาศแบบนี้ท้องฟ้าเวิ้งว้างพร่างพรายด้วยแสงดาว   รอบกายรายล้อมไปด้วยผาชันที่เต็มไปด้วยใบหน้าลึกลับคอยจับจ้องอยู่   สายลมพัดมาแต่ละครั้งพวกชวนให้สะดุ้งจนขนลุกกับเสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึงอยู่ในอากาศ  

 

เบื้องล่างป่ารกชัฏแผ่ไกลออกไปเป็นเงาดำ   บางครั้งบางทีก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมา   ก่อนจะเงียบหายไปเฉยๆ  สถานที่แห่งนี้มีความสงบในแบบของมันเอง   พวกเขาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้โดยไม่มีใครล่วงรู้ชะตากรรม   ใครจะไปนึกว่าชาวไร่ชาวนาหนุ่มจะพาคณะที่เป็นเด็กและผู้หญิงข้ามหุบเขาต้องสาปนี้

 

            คาโลไรน์ค้นหาน้ำมันหมีผสมสมุนไพรออกมานางส่งไปรอบๆ วงให้ทุกคนได้นวดเท้า   ฟิโลโซเฟอร์ถอดรองเท้าออก   เขาเพิ่งจะรู้ว่าเท้าของเขาบวมแต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก   เวลานี้เขากำลังนึกถึงว่าจะตัวมีอะไรบ้างสามารถอาศัยอยู่ในหุบเขาเช่นนี้ได้พลันสายตาของเขาก็ไปปะกับลูเข้า   เขาส่งยิ้มอ่อนให้มันคราวนี้คงลำบากหน่อยนะกระต่ายตัวป่วนคงหาหญ้ากินไม่ได้บนนี้ไม่มีต้นพืชเลย   เด็กชายนึกเลยไปถึงมังกรดำเขารู้ว่ามีรังของพวกมันอยู่ที่ไหนสักแห่งในเทือกเขานี้   คาโลไรน์ส่งกระติกน้ำอีกอันให้เขาเด็กชายรับมาดื่มอึกๆ เขากัดมะเขือเทศคำสุดท้ายก่อนจะส่งส่วนที่เหลือให้กระต่ายลู

           

เสร็จจากการกินอะไรรองท้องแล้ว   พวกเขาก็มุดเข้าไปนอนด้านในสุดของโพลงโดยใช้ห่อผ้าต่างหมอน   ในโพลงหินนั้นมืดมากคาโอเรียควานมือเข้าไปในห่อผ้าของตัวเอง   นางหยิบหินก้อนเล็กๆ ที่พ่อมดดีมีนให้มา   หลังจากความพยายามอยู่นานที่จะทำให้มันส่องแสงไร้ผล   นางจึงเก็บไว้ที่เดิม   เวลาเช่นนี้นางต้องการแสงสว่างเหลือเกิน 

 

อาเธอร์นั่งพิงผนังโพลงหินด้านหนึ่ง   มองดูครอบครัวของตัวเองด้วยความรู้สึกผิด   ลูผงกหัวขึ้นดูสายตาของมันแวววาวด้วยความสงสัย   ครู่ต่อมาอาเธอร์ก็ลุกขึ้นเขามุดออกไปจากโพลงเงียบๆ พร้อมกับดาบคู่ใจ   อาเธอร์พาตัวเองออกมานั่งบนหิน   คอยฟังเสียงลมที่ส่งเสียงครางฮือๆ ดังมาเป็นระยะ   ใบหน้าลึกลับดูเหมือนจะจับจ้องมาจากทุกทิศทางอย่างมุ่งร้าย   

 

อาเธอร์ขยับตัวอย่างอึดอัดความทรงจำเก่าแก่ที่อยากจะลืม   ความเสียใจและหวาดกลัวพุ่งขึ้นเป็นระลอก   สถานที่แห่งนี้คือที่ๆ เขาไม่ควรมาเลยสักครั้ง   แต่เขากลับก้าวขามาเยือนเป็นคำรบสองช่างโง่เขลานัก   ได้แต่หวังว่าเรื่องราวคงไม่จบลงในแบบที่มันเคยจบมาแล้ว  

 

ค้างคาวกลุ่มใหญ่เริ่มออกหากิน   มันออกมาจากถ้ำที่ซ่อนตัวในหุบเขานี้   ต่างพากันบินเกาะกลุ่มเป็นลำเหมือนพายุหมุนสีดำขึ้นไปบนท้องฟ้า   พวกมันบิดตัวม้วนกลับไปยังขอบฟ้าอีกฟากหนึ่ง   อาเธอร์นั่งมองมันอย่างนั้นจนค้างคาวตัวสุดท้ายบินลับขอบฟ้าไป   นั่งใช้ความคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวบางทีเขาอาจจะคิดผิดที่เลือกเส้นทางนี้แต่ทางเลือกอื่นก็ดูเหมือนจะถูกปิดตายไปแล้ว   นับว่าพวกเขายังโชคดีที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้โดยไม่มีใครเสียสติไปเสียก่อน

 

“ ท่านพ่อ ”

 

เสียงหนึ่งเรียกขึ้นจากด้านหลัง

อาเธอร์ลุกพรวดพราดขึ้นเขาชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว

 

“ ข้าทำให้ท่านพ่อตกใจหรือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์พูดแบบใสซื่อ

ไม่มีท่าทีตกใจกับปฏิกิริยานั้น

 

“ น้อยไปเสียที่ไหนให้ตายสิทำไมเจ้ายังไม่นอนอีก ”

 

“ ข้างีบมาแล้ว  ท่านพ่อล่ะทำอะไรอยู่ ”

 

เด็กชายทรุดกายลงข้างเขา

 

“ เราต้องเดินทางกี่วันจึงจะพ้นหุบเขานี้ไปได้ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เปลี่ยนคำถามถามเมื่อเห็นว่าอาเธอร์ไม่ตอบคำถามนั้น

 

“ ลูกกลัวหรือถ้าหากว่าเราต้องติดอยู่ที่นี่นานๆ ”

 

อาเธอร์วางมือลงบนไหล่บุตรชาย

 

“ ไม่ใช่อย่างนั้น   แต่เสบียงของเราจะอยู่ได้อีกกี่วันล่ะ   ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะหาอาหารได้ในหุบเขาแห่งนี้ ”

 

เด็กชายเคาะลูกศรกับคันธนู

อาเธอร์มองบุตรชายของเขาอย่างพิศวงบุตรชายของเขาเติบโตขึ้นมาก

สำหรับเด็กอายุสิบสามที่รู้จักคิดและวางแผน

 

“ ท่านพ่อไม่เคยเล่าเรื่องโอรีเวียให้ฟังเลย   ตอนอยู่ที่นั่นท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ”

 

“ เจ้าคงต้องไปเห็นเองกับตา   ข้าจากมันมานานหนักหนาแล้ว   ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด ”

 

“ เราจะต้องอยู่ที่นั่นนานไหม ”

 

“ ชีวิตคนเรานั้นไม่แน่นอน   พ่อเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะละทิ้งโอรีเวียแต่ก็มีเหตุให้ต้องจากมา   จากที่ตั้งใจว่าจะไม่กลับไปเหยียบอีก   เวลานี้พวกเรากลับกำลังเดินทางไปที่นั่น   คำถามของเจ้าตอบยากนักสถานการณ์ตอนนี้มีปลายทางหลายแห่งคำตอบจึงอยู่ที่จุดสิ้นสุดของปัญหา   เว้นแต่เจ้าจะต้องการคำปลอบใจข้าก็คิดคำสวยๆ ไว้ให้แล้วเช่นกัน ”

 

เด็กชายยิ้มขื่น

เขานึกอยู่แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การแก้ปัญหา

แต่คือการหนีปัญหาเบื้องต้นเท่านั้น

 

ฟิโลโซเฟอร์นั่งใจลอยมองภาพประหลาดในเงาสลัว   แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่อยู่ๆ พระจันทร์ก็ดับแสงลง   อาเธอร์ลากเขาเข้าไปในเงื้อมผา  เบื้องบนมังกรดำตัวมหึมากำลังบินลดตัวลงต่ำ   ปีกของมันกางออกเต็มที่เงาดำปรากฏที่พื้นใต้ร่างดังวิญญาณอำมหิต   มันบินโฉบขึ้นเหนือยอดเขาพลางส่งเสียงร้อง   พลันก็มีเสียงกรีดแหลมร้องตอบดังบาดลึกและเชือดเฉือนคาโอเรียผุดลุกขึ้นอย่างหวาดกลัว   แต่ก็สะกดตัวเองไว้ไม่ให้ส่งเสียงนางรู้ว่านั่นอาจจะนำความตายมาสู่ทุกคน

 

 

ที่ปากถ้ำอาเธอร์ชักดาบออกจากฝักด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ  

เสียงกรีดแหลมนั่นดังสะท้านในความคิด

 

“ ไม่นะ! คงไม่ใช่มันอีกนะ ”

 

เขาอุทาน

เสียงร้องชวนสยองที่เขาอยากลืม

แต่มันคุ้นหูเหลือเกินในยามนี้

 

ร่างสีดำทะยานขึ้นบนฟากฟ้า   ปีกขนาดใหญ่กางออกไปจนมิดพระจันทร์ทั้งดวง   มันส่งเสียงร้องกรีดแหลมอีกครั้งก่อนจะบินนำมังกรดำอีกห้าตัวไป   ในความมืดสลัวร่างของมันคล้ายมังกรแต่เพียงมองแค่ปราดเดียวก็รู้ถึงความต่าง   มันคือบางสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น   เสียงร้องของมันห่างออกไปเรื่อยๆ พวกมันคงมีธุระที่อื่น   แม้ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี   แต่ความหวาดหวั่นก็ยังคงเกาะกุมอยู่   อาเธอร์ได้แต่ผลักดันมันออกไป

 

“ กลับเข้าไปข้างในซะ   ไปอยู่กับน้องสาวของเจ้า ”

 

อาเธอร์หันมาบอกบุตรชาย

 

“ ไม่! ”

 

เด็กชายตอบสั้นๆ

มือกำธนูแน่นนี่ไม่ใช่เวลามาหวาดกลัว  

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา