โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
124) ข้ารักเจ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเจ้าหญิงลูเซียน่าเดินทางมาที่สวนแห่งนั้นในเวลาเที่ยงคืน หนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง
“ เหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้ ใยไม่ไปหาข้าเป็นคนแรก ”
พระนางตัดพ้อเสียงเศร้า
ขอบพระเนตรทั้งสองเป็นสีคล้ำ
“ หลังจากได้ข่มขู่ท่านแล้วข้าก็ไม่อาจแบกความละอายแก่ใจไปสู้หน้าท่าน ”
ดารีลตอบ
พระนางจับมือเขาดึงให้ลุกขึ้น
แล้วสำรวจไปทั้งร่าง
“ เจ้าไม่บาดเจ็บนะ ”
“ แค่ยังไม่ตายก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ”
สองหัตถ์ของเจ้าหญิงประคองใบหน้าของเขาไว้
“ เหตุใดจึงเชื่อใจเด็กน้อยคนนั้นมากกว่า ทั้งที่ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ ข้านั้นเฝ้ารออยู่ในความมืดทั้งหวาดกลัวและเป็นทุกข์ ”
“ เจ้าหญิงท่านควรคิดถึงผู้คนมากมายที่อยู่ภายใต้ปกครองของท่าน มากกว่าจะมาคิดถึงข้าเพียงคนเดียว ชะตากรรมของข้านั้นไม่งดงามเอาเสียเลย ”
ดารีลว่าพลางจับหัตถ์ของเจ้าหญิง
เลื่องลงมาวางตรงหัวใจของเขา
“ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นดังหวัง แต่ท่านยังสามารถมีความสุขได้ เพียงท่านรู้จักปล่อยวางกับความสูญเสีย ยินดีกับสิ่งที่หลงเหลืออยู่ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนักอย่าได้ยึดติดกับข้าเลย ข้านั้นดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะเปิดเส้นทางใหม่ให้กับตนเอง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ปลายทางสุดท้ายก็ยังเป็นที่เดิมเสมอ ท่านหญิงท่านสมควรที่จะรักตัวเองให้มากกว่านี้ หากวันหนึ่งข้าต้องล่มสลาย ท่านก็จะสามารถปล่อยมือข้าไปโดยไม่ต้องลังเล แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”
เจ้าหญิงได้สวมกอดเขาไว้แน่น
น้ำพระเนตรหลั่งลงเป็นสาย
“ ข้านั้นอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ไม่ว่าต้องตกลงสู่นรกหรือฝ่าไปในทะเลเพลิง ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าก็ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ข้ารักเจ้าแล้วทั้งชีวิตก็วางไว้ในมือของเจ้า อย่าได้บอกให้ข้าไปเลยนะ ”
ดารีลไม่ตอบว่ากระไร
เขาเพียงแค่ลูบเรือนผมสีน้ำตาลแดงนั้นอย่างเบามือ
แล้วปล่อยให้ความเศร้าเข้าครอบงำพวกเขาทั้งคู่
ในเช้าตรู่ของวันถัดมา สภาแห่งโอรีเวียต้องเปิดประชุมอีกครั้ง ทุกคนในห้องนั้นล้วนอยู่ในอาการเครียดขรึม แม้แต่ดารีลก็ยังทนปั้นหน้าเป็นเด็กไร้เดียงสาต่อไปไม่ไหว เขานั่งหลังตรงสองมือประสานกันเหนือตัก สายตาว่างเปล่านั้นทอดยาวผ่านหน้าต่างออกไปไกล
“ ตกลงมีใครพอสรุปได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ”
สมาชิกสภาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่ผ่านมา ”
เบรนทรัส
ที่ปรึกษาแห่งวาลานก้มลงอ่านรายงานด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เคอร์คารอลได้พาฝูงมังกรไฟบินข้ามกำแพงมนตราแห่งโอรีเวีย เข้าโจมตีส่วนต่างๆ ของปราสาทขาว นอกจากนั้นยังมีฝูงเกรบ๊อคจำนวนมากมาย ที่ยังระบุไม่ได้ว่าพวกมัน ”
“ พอหยุด เรื่องนั้นพวกเรารู้ดีอยู่แล้ว แต่มันมาได้อย่างไรและเพื่ออะไรต่างหากล่ะที่พวกเราอยากรู้ ท่านนี่ก็ตั้งท่าแต่จะอ่านรายงานอย่างเดียว ”
พ่อมดโธรินว่า
“ รายงานของท่านเคียดันนี่ยาวหกสิบสี่หน้า ข้าเกรงว่าจะมีบางท่านอ่านไม่จบแล้วเกิดความเข้าใจผิด จึงพยายามสรุปให้เหลือหน้าเดียว ท่านโธรินท่านนั้นยังไม่อ่านรายงานเสียด้วยซ้ำอีกทั้งเมื่อคืนท่านก็อยู่นอกเมือง จะมาบอกว่ารู้ทุกอย่างนั้นไม่ได้ ผู้คนจะมองเห็นเป็นสองประการ หนึ่งคือท่านนั้นอวดอ้างเกินจริงหรือสองคือท่านนั่นแหละเป็นเคอร์คารอลจึงได้รู้ดีนัก ซึ่งไม่ว่าประการใดก็เสื่อมเสียทั้งนั้น ”
ที่ปรึกษาวาลานกล่าว
“ ใช่ เสื่อมเสียแน่นอน แต่เป็นเคอร์คารอลหรอกที่ต้องเสื่อมเสีย ถูกเข้าใจว่าเป็นพ่อมดกระจอกแบบนั้น ”
เสียงใครคนหนึ่งดังแว่วๆ
สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
แม้แต่ดารีลก็ยังต้องยกจอกน้ำขึ้นจิบ
เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มขบขัน
รินนั้นโกรธเคือง
แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้
จึงต้องนั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น
การปรึกษาหารือนั้นดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด สมาชิกเริ่มแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะเกิดความไม่ไว้วางใจกันเอง ตามความเชื่อเดิมนั้น ปีศาจร้ายไม่อาจข้ามกำแพงเมืองเข้ามาได้ แต่เหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมาทำให้ความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอน และหวาดระแวงกันเองว่าใครกันที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
“ ข้าว่าอย่าเพิ่งทะเลาะกันเองเลย เราควรสรุปให้ได้ก่อนว่าจะรักษาความปรอดภัยให้กับโอรีเวียด้วยวิธีใด ส่วนเรื่องอื่นค่อยทะเลาะกันวันหลังก็ยังไม่สาย ”
ดารีลว่าขึ้น
เมื่อเห็นความขัดแย้งท่าจะบานปลายเป็นหลายประเด็น
และได้ผล
เป้าหมายย้ายมาที่เขาทันที
“ เจ้านั่นแหละดารีล ปีศาจร้ายตัวนั้นพุ่งไปหาเจ้าโดยเฉพาะเลย เจ้ามีความสำพันธ์อย่างไรกับมันกันแน่ ”
เคียดันพ่นออกมา
“ พูดแบบนี้ข้าได้ขนลุกกันพอดี ใครอยากมีสำพันธ์กับเคอร์คารอลกัน หญิงหรือชายยังไม่รู้แน่แถมอัปลักษณ์แบบสุดกู่ ท่านคิดว่าอย่างข้านี่พึงใจกับปีศาจพันธุ์นั้นหรือ ”
ดารีลตอบโต้อย่างใจเย็น
“ เคอร์คารอลนั้นเป็นส่วนผสมระหว่างปีศาจกับมังกร พูดว่าอัปลักษณ์ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย มันมีทั้งความแข็งแกร่งและท่าเกรงขาม คำพูดเมื่อครู่นั้นใช้ได้ที่ไหน วาจาของเจ้านี่ชั่วร้ายพอๆ กับใจของเจ้าหรือไม่ ”
เบรนทรัสว่าบ้าง
“ ข้าก็ว่าไปตามที่ตาเห็น อาจจะด้วยความด้อยทั้งความรู้หรือประสบการณ์ก็ตามแต่ ไม่รู้ว่าไปแทงใจท่านเข้าให้ได้อย่างไร เช่นนั้นต้องขออภัยในความโง่เขลาของข้าด้วย ”
“ ไม่ต้องทำเป็นออกนอกเรื่อง ”
เคียดันยังไม่หยุด
“ อย่างน้อยเจ้าต้องมีสิ่งที่มันต้องการแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะพุ่งเป้าไปที่เจ้าได้อย่างไร ดารีลบอกความจริงมาเจ้าซ่อนอะไรเอาไว้ แต่เด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าจะครอบครองสิ่งสำคัญได้อย่างไร เจ้าต้องขโมยมาอย่างแน่นอน เอาล่ะแสดงมันออกมาว่าเจ้าซ่อนอะไร ”
ดารีลได้แต่ทอดถอนหายใจ
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะหาถ้อยคำมาแก้ต่างให้ตัวเอง
เมื่อเห็นว่าหนุ่มน้อยนั้นนิ่งเฉย
ผู้ใช้เวทมนตร์หลายคนก็เริ่มกล่าวหาเขา
ในที่สุดจอมเวทวาลานก็ทนไม่ไหว
จึงฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะดังโครม
ทั้งห้องก็มืดมิดลงทันที
แม้จะเป็นเวลากลางวันที่มีแดดส่อง
เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง
ผู้ใช้เวทมนตร์ต่างนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว
ต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย
มีเพียงดารีลเท่านั้นที่ชักเทียนไขออกมา
ด้วยสีหน้าใสซื่อ
“ โอ้ สว่างเสียแล้ว ข้ากำลังจะถามหาตะบันไฟอยู่พอดี โอรีเวียนี่พิลึกแท้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ข้าน่ะตามไม่ทันหรอกนะ ”
เขาว่าพลางหมุนแท่งเทียนสีขาวไปมาระหว่างนิ้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น
จอมเวทวาลานที่กำลังเกรี้ยวกราดก็สงบลง
ไม่มีใครสักคนกล้าล้อเล่นกับเขา
แต่ดารีลในเวลานี้น่าเอ็นดูที่สุด
การประชุมจบลง
โดยที่จอมเวทวาลานรับจะพิจารณา
เรื่องการที่โอรีเวียโดนบุกอีกครั้ง
ซึ่งในงานนี้
วาลานจะลงมือเอง
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว
ผู้คนต่างก็ทยอยออกไป
เหลือเพียงบางส่วนที่ยังนั่งเฉยอยู่
ในจำนวนนั้น
ก็รวมดารีลอยู่ด้วย
“ โดยทั่วไปแล้ว วัตถุโบราณในโอรีเวียเมื่อถูกทำลายจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ในครั้งนี้ต่างออกไปมีหลายอย่างที่เสียหายไปแล้วไม่อาจกลับคืนมาได้ ”
พ่อมดเคียดันกล่าว
“ แล้วมันอย่างไรล่ะ ”
วาลานว่า
“ ข้าเห็นสมควรหาทางทำให้มันกลับคืนดังเดิม โอรีเวียนั้นเป็นเมืองเก่า มีประวัติยาวนานควรแก่การเล่าขาน เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นมิใช่หรือ ”
“ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ท่านอย่าได้ยึดติดเลย แต่เอาเถอะถ้าท่านอยากลองซ่อมแซมดูก็ลองทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ทิ้งไปเสียเถิด อย่าให้เลาอันมีค่าต้องสิ้นไปเพราะของที่แตกหักแล้วเลย ”
เคียดันก้มหน้ารับคำ
แม้จะไม่ค่อยพอใจนัก
เขาต้องการพลังและความรู้อีกมาก
เพื่อที่จะซ่อมแซมสิ่งที่เสียไปให้คืนมาดังเดิม
ดารีลนั้นค่อยๆ ดึงปลายหอกออกมาจากห่อผ้า
มันมีสีส้มสนิมเหล็กไม่มีความมันวาว
แต่กลับคมกริบอย่างน่ากลัว
“ ข้าพบสิ่งนี้ ไม่รู้ว่ามีความสำคัญเพียงใด ท่านวาลานหากข้าปรารถนาอยากครอบครองต้องทำอย่างไร ”
หนุ่มน้อยว่า
“ มันเป็นสมบัติของโอรีเวีย ”
ท่านที่ปรึกษาชิงพูดขึ้นก่อน
“ ใครกันคือโอรีเวีย หืมเบรนทรัส เจ้าอยากได้ก็เอาไปเถิดเด็กน้อยคนดี ”
จอมเวทวาลานกล่าว
“ ฝ่าบาท นั่นมิใช่สมบัติส่วนบุคคล ท่านจะมอบ ”
“ เอาน่ามันก็แค่เศษเหล็กขึ้นสนิม ”
วาลานตัดบท
“ จะมอบให้ใครหรือโยนทิ้งไปก็ไม่ต่างกันจริงไหม ว่าแต่เจ้าจะเอาไปทำอะไร ของเก่าผุแบบนี้ ”
“ ข้ากำลังคิดอยากก่อเหตุฆาตกรรม ”
ดารีลตอบยิ้มๆ
ทำเอาวาลานหัวเราะลั่น
“ เด็กเอ๋ยเด็ก เจ้าเรียนรู้ถ้อยคำแบบนี้มาจากใครกัน แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าอุตส่าห์สั่งสอนเจ้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะจดจำถ้อยคำอัปมงคลได้มากกว่า อย่าถือสาคนแก่พวกนั้นเลยนะ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำตัวเกเรเพื่อข่มขู่ใครเลย ”
“ เหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้ ใยไม่ไปหาข้าเป็นคนแรก ”
พระนางตัดพ้อเสียงเศร้า
ขอบพระเนตรทั้งสองเป็นสีคล้ำ
“ หลังจากได้ข่มขู่ท่านแล้วข้าก็ไม่อาจแบกความละอายแก่ใจไปสู้หน้าท่าน ”
ดารีลตอบ
พระนางจับมือเขาดึงให้ลุกขึ้น
แล้วสำรวจไปทั้งร่าง
“ เจ้าไม่บาดเจ็บนะ ”
“ แค่ยังไม่ตายก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ”
สองหัตถ์ของเจ้าหญิงประคองใบหน้าของเขาไว้
“ เหตุใดจึงเชื่อใจเด็กน้อยคนนั้นมากกว่า ทั้งที่ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกันได้ ข้านั้นเฝ้ารออยู่ในความมืดทั้งหวาดกลัวและเป็นทุกข์ ”
“ เจ้าหญิงท่านควรคิดถึงผู้คนมากมายที่อยู่ภายใต้ปกครองของท่าน มากกว่าจะมาคิดถึงข้าเพียงคนเดียว ชะตากรรมของข้านั้นไม่งดงามเอาเสียเลย ”
ดารีลว่าพลางจับหัตถ์ของเจ้าหญิง
เลื่องลงมาวางตรงหัวใจของเขา
“ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นดังหวัง แต่ท่านยังสามารถมีความสุขได้ เพียงท่านรู้จักปล่อยวางกับความสูญเสีย ยินดีกับสิ่งที่หลงเหลืออยู่ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนักอย่าได้ยึดติดกับข้าเลย ข้านั้นดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะเปิดเส้นทางใหม่ให้กับตนเอง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ปลายทางสุดท้ายก็ยังเป็นที่เดิมเสมอ ท่านหญิงท่านสมควรที่จะรักตัวเองให้มากกว่านี้ หากวันหนึ่งข้าต้องล่มสลาย ท่านก็จะสามารถปล่อยมือข้าไปโดยไม่ต้องลังเล แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”
เจ้าหญิงได้สวมกอดเขาไว้แน่น
น้ำพระเนตรหลั่งลงเป็นสาย
“ ข้านั้นอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ไม่ว่าต้องตกลงสู่นรกหรือฝ่าไปในทะเลเพลิง ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าก็ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ข้ารักเจ้าแล้วทั้งชีวิตก็วางไว้ในมือของเจ้า อย่าได้บอกให้ข้าไปเลยนะ ”
ดารีลไม่ตอบว่ากระไร
เขาเพียงแค่ลูบเรือนผมสีน้ำตาลแดงนั้นอย่างเบามือ
แล้วปล่อยให้ความเศร้าเข้าครอบงำพวกเขาทั้งคู่
ในเช้าตรู่ของวันถัดมา สภาแห่งโอรีเวียต้องเปิดประชุมอีกครั้ง ทุกคนในห้องนั้นล้วนอยู่ในอาการเครียดขรึม แม้แต่ดารีลก็ยังทนปั้นหน้าเป็นเด็กไร้เดียงสาต่อไปไม่ไหว เขานั่งหลังตรงสองมือประสานกันเหนือตัก สายตาว่างเปล่านั้นทอดยาวผ่านหน้าต่างออกไปไกล
“ ตกลงมีใครพอสรุปได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ”
สมาชิกสภาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่ผ่านมา ”
เบรนทรัส
ที่ปรึกษาแห่งวาลานก้มลงอ่านรายงานด้วยสีหน้าจริงจัง
“ เคอร์คารอลได้พาฝูงมังกรไฟบินข้ามกำแพงมนตราแห่งโอรีเวีย เข้าโจมตีส่วนต่างๆ ของปราสาทขาว นอกจากนั้นยังมีฝูงเกรบ๊อคจำนวนมากมาย ที่ยังระบุไม่ได้ว่าพวกมัน ”
“ พอหยุด เรื่องนั้นพวกเรารู้ดีอยู่แล้ว แต่มันมาได้อย่างไรและเพื่ออะไรต่างหากล่ะที่พวกเราอยากรู้ ท่านนี่ก็ตั้งท่าแต่จะอ่านรายงานอย่างเดียว ”
พ่อมดโธรินว่า
“ รายงานของท่านเคียดันนี่ยาวหกสิบสี่หน้า ข้าเกรงว่าจะมีบางท่านอ่านไม่จบแล้วเกิดความเข้าใจผิด จึงพยายามสรุปให้เหลือหน้าเดียว ท่านโธรินท่านนั้นยังไม่อ่านรายงานเสียด้วยซ้ำอีกทั้งเมื่อคืนท่านก็อยู่นอกเมือง จะมาบอกว่ารู้ทุกอย่างนั้นไม่ได้ ผู้คนจะมองเห็นเป็นสองประการ หนึ่งคือท่านนั้นอวดอ้างเกินจริงหรือสองคือท่านนั่นแหละเป็นเคอร์คารอลจึงได้รู้ดีนัก ซึ่งไม่ว่าประการใดก็เสื่อมเสียทั้งนั้น ”
ที่ปรึกษาวาลานกล่าว
“ ใช่ เสื่อมเสียแน่นอน แต่เป็นเคอร์คารอลหรอกที่ต้องเสื่อมเสีย ถูกเข้าใจว่าเป็นพ่อมดกระจอกแบบนั้น ”
เสียงใครคนหนึ่งดังแว่วๆ
สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
แม้แต่ดารีลก็ยังต้องยกจอกน้ำขึ้นจิบ
เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มขบขัน
รินนั้นโกรธเคือง
แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้
จึงต้องนั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น
การปรึกษาหารือนั้นดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด สมาชิกเริ่มแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เพราะเกิดความไม่ไว้วางใจกันเอง ตามความเชื่อเดิมนั้น ปีศาจร้ายไม่อาจข้ามกำแพงเมืองเข้ามาได้ แต่เหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมาทำให้ความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอน และหวาดระแวงกันเองว่าใครกันที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
“ ข้าว่าอย่าเพิ่งทะเลาะกันเองเลย เราควรสรุปให้ได้ก่อนว่าจะรักษาความปรอดภัยให้กับโอรีเวียด้วยวิธีใด ส่วนเรื่องอื่นค่อยทะเลาะกันวันหลังก็ยังไม่สาย ”
ดารีลว่าขึ้น
เมื่อเห็นความขัดแย้งท่าจะบานปลายเป็นหลายประเด็น
และได้ผล
เป้าหมายย้ายมาที่เขาทันที
“ เจ้านั่นแหละดารีล ปีศาจร้ายตัวนั้นพุ่งไปหาเจ้าโดยเฉพาะเลย เจ้ามีความสำพันธ์อย่างไรกับมันกันแน่ ”
เคียดันพ่นออกมา
“ พูดแบบนี้ข้าได้ขนลุกกันพอดี ใครอยากมีสำพันธ์กับเคอร์คารอลกัน หญิงหรือชายยังไม่รู้แน่แถมอัปลักษณ์แบบสุดกู่ ท่านคิดว่าอย่างข้านี่พึงใจกับปีศาจพันธุ์นั้นหรือ ”
ดารีลตอบโต้อย่างใจเย็น
“ เคอร์คารอลนั้นเป็นส่วนผสมระหว่างปีศาจกับมังกร พูดว่าอัปลักษณ์ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย มันมีทั้งความแข็งแกร่งและท่าเกรงขาม คำพูดเมื่อครู่นั้นใช้ได้ที่ไหน วาจาของเจ้านี่ชั่วร้ายพอๆ กับใจของเจ้าหรือไม่ ”
เบรนทรัสว่าบ้าง
“ ข้าก็ว่าไปตามที่ตาเห็น อาจจะด้วยความด้อยทั้งความรู้หรือประสบการณ์ก็ตามแต่ ไม่รู้ว่าไปแทงใจท่านเข้าให้ได้อย่างไร เช่นนั้นต้องขออภัยในความโง่เขลาของข้าด้วย ”
“ ไม่ต้องทำเป็นออกนอกเรื่อง ”
เคียดันยังไม่หยุด
“ อย่างน้อยเจ้าต้องมีสิ่งที่มันต้องการแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะพุ่งเป้าไปที่เจ้าได้อย่างไร ดารีลบอกความจริงมาเจ้าซ่อนอะไรเอาไว้ แต่เด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าจะครอบครองสิ่งสำคัญได้อย่างไร เจ้าต้องขโมยมาอย่างแน่นอน เอาล่ะแสดงมันออกมาว่าเจ้าซ่อนอะไร ”
ดารีลได้แต่ทอดถอนหายใจ
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะหาถ้อยคำมาแก้ต่างให้ตัวเอง
เมื่อเห็นว่าหนุ่มน้อยนั้นนิ่งเฉย
ผู้ใช้เวทมนตร์หลายคนก็เริ่มกล่าวหาเขา
ในที่สุดจอมเวทวาลานก็ทนไม่ไหว
จึงฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะดังโครม
ทั้งห้องก็มืดมิดลงทันที
แม้จะเป็นเวลากลางวันที่มีแดดส่อง
เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง
ผู้ใช้เวทมนตร์ต่างนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว
ต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย
มีเพียงดารีลเท่านั้นที่ชักเทียนไขออกมา
ด้วยสีหน้าใสซื่อ
“ โอ้ สว่างเสียแล้ว ข้ากำลังจะถามหาตะบันไฟอยู่พอดี โอรีเวียนี่พิลึกแท้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ข้าน่ะตามไม่ทันหรอกนะ ”
เขาว่าพลางหมุนแท่งเทียนสีขาวไปมาระหว่างนิ้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น
จอมเวทวาลานที่กำลังเกรี้ยวกราดก็สงบลง
ไม่มีใครสักคนกล้าล้อเล่นกับเขา
แต่ดารีลในเวลานี้น่าเอ็นดูที่สุด
การประชุมจบลง
โดยที่จอมเวทวาลานรับจะพิจารณา
เรื่องการที่โอรีเวียโดนบุกอีกครั้ง
ซึ่งในงานนี้
วาลานจะลงมือเอง
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว
ผู้คนต่างก็ทยอยออกไป
เหลือเพียงบางส่วนที่ยังนั่งเฉยอยู่
ในจำนวนนั้น
ก็รวมดารีลอยู่ด้วย
“ โดยทั่วไปแล้ว วัตถุโบราณในโอรีเวียเมื่อถูกทำลายจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่ในครั้งนี้ต่างออกไปมีหลายอย่างที่เสียหายไปแล้วไม่อาจกลับคืนมาได้ ”
พ่อมดเคียดันกล่าว
“ แล้วมันอย่างไรล่ะ ”
วาลานว่า
“ ข้าเห็นสมควรหาทางทำให้มันกลับคืนดังเดิม โอรีเวียนั้นเป็นเมืองเก่า มีประวัติยาวนานควรแก่การเล่าขาน เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นมิใช่หรือ ”
“ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ท่านอย่าได้ยึดติดเลย แต่เอาเถอะถ้าท่านอยากลองซ่อมแซมดูก็ลองทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ทิ้งไปเสียเถิด อย่าให้เลาอันมีค่าต้องสิ้นไปเพราะของที่แตกหักแล้วเลย ”
เคียดันก้มหน้ารับคำ
แม้จะไม่ค่อยพอใจนัก
เขาต้องการพลังและความรู้อีกมาก
เพื่อที่จะซ่อมแซมสิ่งที่เสียไปให้คืนมาดังเดิม
ดารีลนั้นค่อยๆ ดึงปลายหอกออกมาจากห่อผ้า
มันมีสีส้มสนิมเหล็กไม่มีความมันวาว
แต่กลับคมกริบอย่างน่ากลัว
“ ข้าพบสิ่งนี้ ไม่รู้ว่ามีความสำคัญเพียงใด ท่านวาลานหากข้าปรารถนาอยากครอบครองต้องทำอย่างไร ”
หนุ่มน้อยว่า
“ มันเป็นสมบัติของโอรีเวีย ”
ท่านที่ปรึกษาชิงพูดขึ้นก่อน
“ ใครกันคือโอรีเวีย หืมเบรนทรัส เจ้าอยากได้ก็เอาไปเถิดเด็กน้อยคนดี ”
จอมเวทวาลานกล่าว
“ ฝ่าบาท นั่นมิใช่สมบัติส่วนบุคคล ท่านจะมอบ ”
“ เอาน่ามันก็แค่เศษเหล็กขึ้นสนิม ”
วาลานตัดบท
“ จะมอบให้ใครหรือโยนทิ้งไปก็ไม่ต่างกันจริงไหม ว่าแต่เจ้าจะเอาไปทำอะไร ของเก่าผุแบบนี้ ”
“ ข้ากำลังคิดอยากก่อเหตุฆาตกรรม ”
ดารีลตอบยิ้มๆ
ทำเอาวาลานหัวเราะลั่น
“ เด็กเอ๋ยเด็ก เจ้าเรียนรู้ถ้อยคำแบบนี้มาจากใครกัน แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าอุตส่าห์สั่งสอนเจ้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะจดจำถ้อยคำอัปมงคลได้มากกว่า อย่าถือสาคนแก่พวกนั้นเลยนะ ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำตัวเกเรเพื่อข่มขู่ใครเลย ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ