โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  135.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

124) ข้ารักเจ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เจ้าหญิงลูเซียน่าเดินทางมาที่สวนแห่งนั้นในเวลาเที่ยงคืน   หนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม   ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง

 

“ เหตุใดมานั่งอยู่ตรงนี้   ใยไม่ไปหาข้าเป็นคนแรก ”

 

พระนางตัดพ้อเสียงเศร้า

ขอบพระเนตรทั้งสองเป็นสีคล้ำ

 

“ หลังจากได้ข่มขู่ท่านแล้วข้าก็ไม่อาจแบกความละอายแก่ใจไปสู้หน้าท่าน ”

 

ดารีลตอบ

 

พระนางจับมือเขาดึงให้ลุกขึ้น

แล้วสำรวจไปทั้งร่าง

 

“ เจ้าไม่บาดเจ็บนะ ”

 

“ แค่ยังไม่ตายก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ”

 

สองหัตถ์ของเจ้าหญิงประคองใบหน้าของเขาไว้

 

“ เหตุใดจึงเชื่อใจเด็กน้อยคนนั้นมากกว่า   ทั้งที่ข้าสามารถทำสิ่งเดียวกันได้   ข้านั้นเฝ้ารออยู่ในความมืดทั้งหวาดกลัวและเป็นทุกข์ ”  

 

“ เจ้าหญิงท่านควรคิดถึงผู้คนมากมายที่อยู่ภายใต้ปกครองของท่าน   มากกว่าจะมาคิดถึงข้าเพียงคนเดียว   ชะตากรรมของข้านั้นไม่งดงามเอาเสียเลย ”  

 

ดารีลว่าพลางจับหัตถ์ของเจ้าหญิง

เลื่องลงมาวางตรงหัวใจของเขา

 

“ มีเรื่องราวมากมายที่ไม่อาจเป็นดังหวัง   แต่ท่านยังสามารถมีความสุขได้   เพียงท่านรู้จักปล่อยวางกับความสูญเสีย   ยินดีกับสิ่งที่หลงเหลืออยู่   ชีวิตคนเรานั้นสั้นนักอย่าได้ยึดติดกับข้าเลย   ข้านั้นดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะเปิดเส้นทางใหม่ให้กับตนเอง   แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร   ปลายทางสุดท้ายก็ยังเป็นที่เดิมเสมอ   ท่านหญิงท่านสมควรที่จะรักตัวเองให้มากกว่านี้   หากวันหนึ่งข้าต้องล่มสลาย   ท่านก็จะสามารถปล่อยมือข้าไปโดยไม่ต้องลังเล   แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ ”  

 

เจ้าหญิงได้สวมกอดเขาไว้แน่น

น้ำพระเนตรหลั่งลงเป็นสาย

 

“ ข้านั้นอยู่เคียงข้างเจ้ามาตลอด   เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น   ไม่ว่าต้องตกลงสู่นรกหรือฝ่าไปในทะเลเพลิง   ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าก็ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด   ข้ารักเจ้าแล้วทั้งชีวิตก็วางไว้ในมือของเจ้า   อย่าได้บอกให้ข้าไปเลยนะ ”  

 

ดารีลไม่ตอบว่ากระไร

เขาเพียงแค่ลูบเรือนผมสีน้ำตาลแดงนั้นอย่างเบามือ

แล้วปล่อยให้ความเศร้าเข้าครอบงำพวกเขาทั้งคู่

 

           

            ในเช้าตรู่ของวันถัดมา   สภาแห่งโอรีเวียต้องเปิดประชุมอีกครั้ง   ทุกคนในห้องนั้นล้วนอยู่ในอาการเครียดขรึม   แม้แต่ดารีลก็ยังทนปั้นหน้าเป็นเด็กไร้เดียงสาต่อไปไม่ไหว   เขานั่งหลังตรงสองมือประสานกันเหนือตัก   สายตาว่างเปล่านั้นทอดยาวผ่านหน้าต่างออกไปไกล

 

“ ตกลงมีใครพอสรุปได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ”

 

สมาชิกสภาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

“ เวลาประมาณสองทุ่มของคืนที่ผ่านมา ”

 

เบรนทรัส

ที่ปรึกษาแห่งวาลานก้มลงอ่านรายงานด้วยสีหน้าจริงจัง 

 

“ เคอร์คารอลได้พาฝูงมังกรไฟบินข้ามกำแพงมนตราแห่งโอรีเวีย   เข้าโจมตีส่วนต่างๆ ของปราสาทขาว   นอกจากนั้นยังมีฝูงเกรบ๊อคจำนวนมากมาย   ที่ยังระบุไม่ได้ว่าพวกมัน ”  

 

“ พอหยุด   เรื่องนั้นพวกเรารู้ดีอยู่แล้ว   แต่มันมาได้อย่างไรและเพื่ออะไรต่างหากล่ะที่พวกเราอยากรู้   ท่านนี่ก็ตั้งท่าแต่จะอ่านรายงานอย่างเดียว ”

 

พ่อมดโธรินว่า

 

“ รายงานของท่านเคียดันนี่ยาวหกสิบสี่หน้า   ข้าเกรงว่าจะมีบางท่านอ่านไม่จบแล้วเกิดความเข้าใจผิด   จึงพยายามสรุปให้เหลือหน้าเดียว   ท่านโธรินท่านนั้นยังไม่อ่านรายงานเสียด้วยซ้ำอีกทั้งเมื่อคืนท่านก็อยู่นอกเมือง   จะมาบอกว่ารู้ทุกอย่างนั้นไม่ได้   ผู้คนจะมองเห็นเป็นสองประการ   หนึ่งคือท่านนั้นอวดอ้างเกินจริงหรือสองคือท่านนั่นแหละเป็นเคอร์คารอลจึงได้รู้ดีนัก   ซึ่งไม่ว่าประการใดก็เสื่อมเสียทั้งนั้น ”

 

ที่ปรึกษาวาลานกล่าว

 

“ ใช่ เสื่อมเสียแน่นอน   แต่เป็นเคอร์คารอลหรอกที่ต้องเสื่อมเสีย   ถูกเข้าใจว่าเป็นพ่อมดกระจอกแบบนั้น ” 

 

เสียงใครคนหนึ่งดังแว่วๆ

สร้างเสียงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง

 

แม้แต่ดารีลก็ยังต้องยกจอกน้ำขึ้นจิบ

เพื่อกลบเกลื่อนรอยยิ้มขบขัน

 

รินนั้นโกรธเคือง

แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้

จึงต้องนั่งหน้าแดงอยู่อย่างนั้น

 

 

            การปรึกษาหารือนั้นดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด   สมาชิกเริ่มแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย   เพราะเกิดความไม่ไว้วางใจกันเอง   ตามความเชื่อเดิมนั้น   ปีศาจร้ายไม่อาจข้ามกำแพงเมืองเข้ามาได้   แต่เหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมาทำให้ความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอน   และหวาดระแวงกันเองว่าใครกันที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

 

“ ข้าว่าอย่าเพิ่งทะเลาะกันเองเลย   เราควรสรุปให้ได้ก่อนว่าจะรักษาความปรอดภัยให้กับโอรีเวียด้วยวิธีใด   ส่วนเรื่องอื่นค่อยทะเลาะกันวันหลังก็ยังไม่สาย ”

 

ดารีลว่าขึ้น

เมื่อเห็นความขัดแย้งท่าจะบานปลายเป็นหลายประเด็น

 

และได้ผล

เป้าหมายย้ายมาที่เขาทันที

 

“ เจ้านั่นแหละดารีล   ปีศาจร้ายตัวนั้นพุ่งไปหาเจ้าโดยเฉพาะเลย   เจ้ามีความสำพันธ์อย่างไรกับมันกันแน่ ”

 

เคียดันพ่นออกมา

 

“ พูดแบบนี้ข้าได้ขนลุกกันพอดี   ใครอยากมีสำพันธ์กับเคอร์คารอลกัน   หญิงหรือชายยังไม่รู้แน่แถมอัปลักษณ์แบบสุดกู่   ท่านคิดว่าอย่างข้านี่พึงใจกับปีศาจพันธุ์นั้นหรือ ”

 

ดารีลตอบโต้อย่างใจเย็น

 

“ เคอร์คารอลนั้นเป็นส่วนผสมระหว่างปีศาจกับมังกร   พูดว่าอัปลักษณ์ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย   มันมีทั้งความแข็งแกร่งและท่าเกรงขาม   คำพูดเมื่อครู่นั้นใช้ได้ที่ไหน   วาจาของเจ้านี่ชั่วร้ายพอๆ กับใจของเจ้าหรือไม่ ”

 

เบรนทรัสว่าบ้าง

 

“ ข้าก็ว่าไปตามที่ตาเห็น   อาจจะด้วยความด้อยทั้งความรู้หรือประสบการณ์ก็ตามแต่   ไม่รู้ว่าไปแทงใจท่านเข้าให้ได้อย่างไร   เช่นนั้นต้องขออภัยในความโง่เขลาของข้าด้วย ”

 

“ ไม่ต้องทำเป็นออกนอกเรื่อง ”

 

เคียดันยังไม่หยุด

 

“ อย่างน้อยเจ้าต้องมีสิ่งที่มันต้องการแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันจะพุ่งเป้าไปที่เจ้าได้อย่างไร   ดารีลบอกความจริงมาเจ้าซ่อนอะไรเอาไว้   แต่เด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้าจะครอบครองสิ่งสำคัญได้อย่างไร   เจ้าต้องขโมยมาอย่างแน่นอน   เอาล่ะแสดงมันออกมาว่าเจ้าซ่อนอะไร ”

 

ดารีลได้แต่ทอดถอนหายใจ

รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะหาถ้อยคำมาแก้ต่างให้ตัวเอง

 

เมื่อเห็นว่าหนุ่มน้อยนั้นนิ่งเฉย

ผู้ใช้เวทมนตร์หลายคนก็เริ่มกล่าวหาเขา

 

ในที่สุดจอมเวทวาลานก็ทนไม่ไหว

จึงฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะดังโครม

 

ทั้งห้องก็มืดมิดลงทันที

แม้จะเป็นเวลากลางวันที่มีแดดส่อง

 

เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง

ผู้ใช้เวทมนตร์ต่างนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว

ต่ออารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย

 

มีเพียงดารีลเท่านั้นที่ชักเทียนไขออกมา

ด้วยสีหน้าใสซื่อ

 

“ โอ้   สว่างเสียแล้ว   ข้ากำลังจะถามหาตะบันไฟอยู่พอดี   โอรีเวียนี่พิลึกแท้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง   ข้าน่ะตามไม่ทันหรอกนะ ”

 

เขาว่าพลางหมุนแท่งเทียนสีขาวไปมาระหว่างนิ้ว

 

เมื่อได้ยินดังนั้น

จอมเวทวาลานที่กำลังเกรี้ยวกราดก็สงบลง

 

ไม่มีใครสักคนกล้าล้อเล่นกับเขา

แต่ดารีลในเวลานี้น่าเอ็นดูที่สุด

 

การประชุมจบลง

โดยที่จอมเวทวาลานรับจะพิจารณา

เรื่องการที่โอรีเวียโดนบุกอีกครั้ง

 

ซึ่งในงานนี้

วาลานจะลงมือเอง

 

เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว

ผู้คนต่างก็ทยอยออกไป

 

เหลือเพียงบางส่วนที่ยังนั่งเฉยอยู่

ในจำนวนนั้น

ก็รวมดารีลอยู่ด้วย

 

“ โดยทั่วไปแล้ว   วัตถุโบราณในโอรีเวียเมื่อถูกทำลายจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้   แต่ในครั้งนี้ต่างออกไปมีหลายอย่างที่เสียหายไปแล้วไม่อาจกลับคืนมาได้ ”

 

พ่อมดเคียดันกล่าว

 

“ แล้วมันอย่างไรล่ะ ”

 

วาลานว่า

 

“ ข้าเห็นสมควรหาทางทำให้มันกลับคืนดังเดิม   โอรีเวียนั้นเป็นเมืองเก่า   มีประวัติยาวนานควรแก่การเล่าขาน   เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นมิใช่หรือ ”

 

“ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง   ท่านอย่าได้ยึดติดเลย   แต่เอาเถอะถ้าท่านอยากลองซ่อมแซมดูก็ลองทำไป   ถ้าทำไม่ได้ก็ทิ้งไปเสียเถิด   อย่าให้เลาอันมีค่าต้องสิ้นไปเพราะของที่แตกหักแล้วเลย ”

 

เคียดันก้มหน้ารับคำ

แม้จะไม่ค่อยพอใจนัก

 

เขาต้องการพลังและความรู้อีกมาก

เพื่อที่จะซ่อมแซมสิ่งที่เสียไปให้คืนมาดังเดิม

 

ดารีลนั้นค่อยๆ ดึงปลายหอกออกมาจากห่อผ้า

มันมีสีส้มสนิมเหล็กไม่มีความมันวาว

แต่กลับคมกริบอย่างน่ากลัว

 

“ ข้าพบสิ่งนี้   ไม่รู้ว่ามีความสำคัญเพียงใด   ท่านวาลานหากข้าปรารถนาอยากครอบครองต้องทำอย่างไร ”

 

หนุ่มน้อยว่า

 

“ มันเป็นสมบัติของโอรีเวีย ”

 

ท่านที่ปรึกษาชิงพูดขึ้นก่อน

 

“ ใครกันคือโอรีเวีย   หืมเบรนทรัส   เจ้าอยากได้ก็เอาไปเถิดเด็กน้อยคนดี ” 

 

จอมเวทวาลานกล่าว

 

“ ฝ่าบาท   นั่นมิใช่สมบัติส่วนบุคคล   ท่านจะมอบ ”

 

“ เอาน่ามันก็แค่เศษเหล็กขึ้นสนิม ”

 

วาลานตัดบท

 

“ จะมอบให้ใครหรือโยนทิ้งไปก็ไม่ต่างกันจริงไหม   ว่าแต่เจ้าจะเอาไปทำอะไร   ของเก่าผุแบบนี้ ”

 

“ ข้ากำลังคิดอยากก่อเหตุฆาตกรรม ”

 

ดารีลตอบยิ้มๆ

ทำเอาวาลานหัวเราะลั่น

 

“ เด็กเอ๋ยเด็ก   เจ้าเรียนรู้ถ้อยคำแบบนี้มาจากใครกัน   แบบนี้ไม่ดีแน่   ข้าอุตส่าห์สั่งสอนเจ้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะจดจำถ้อยคำอัปมงคลได้มากกว่า   อย่าถือสาคนแก่พวกนั้นเลยนะ   ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องเจ้าอยู่แล้ว   ไม่เห็นต้องทำตัวเกเรเพื่อข่มขู่ใครเลย ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา