โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
121) เจ้าเด็กนรกหัดดูเวลาเสียบ้าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความการต่อสู้เหมือนว่าจะไม่มีทางสิ้นสุด เช่นเดียวกับความช่วยเหลือที่ไม่มีวันมาถึง สัตว์ปีศาจยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด และเด็กๆ ก็เริ่มเหนื่อยอ่อน
ดารีลต้องเติมผงจำยานลงในกองเพลิงให้เข้มขึ้น เพื่อตัดความสามารถในการดมกลิ่นของเกรบ๊อกให้มากที่สุด แต่ในตอนนี้พวกเขาก็เริ่มแสบจมูกกันเองบ้างแล้ว จนต้องหาผ้ามาปิดหน้าไว้
เหมือนการเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อเสียงกรีดร้องได้ดังขึ้นอีก มันหนาวเยือกบาดลึกอย่างปวดร้าว ราวกับเสียงคร่ำครวญของผู้สิ้นหวังสะท้อนออกมา
ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่แต่ฝูงเกรบ๊อกยังค้างเติ่งราวกับต้องมนต์สะกด พริบตาต่อมาพวกมันก็หันหลังกลับ แล้ววิ่งผ่านประตูออกไป
เด็กๆ ต่างทรุดกายลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน
“ จบได้หรือยังข้าไม่ไหวแล้วนะ ”
อีเลียสว่า
นั่งลงพลางหอบเหนื่อย
“ ใช่ งานนี้หนักไม่น้อย ประเดี๋ยวตอนเย็นเราไปถล่มร้านอร่อยกัน ข้ากับฟีไลร่าจ่ายคนละครึ่งดื่มกินกันได้ไม่อั้น ”
คู่หูร่างอ้วนทรุดลงข้างๆ
“ เย็นไหน ตอนนี้ดึกแล้วเวลาแบบนี้ใครเขาเปิดร้านกัน อีกอย่างเจ้าเป็นคนชวน ยังจะหวังให้สตรีช่วยจ่ายอีกหรือ ได้อย่างไรกัน ”
อีเลียสท้วง
“ ใครใช้ให้นางรวยล่ะ ข้าก็หารครึ่งแล้วไง ยังเป็นสุภาพบุรุษไม่พออีกหรือ ”
เด็กน้อยร่างผอมได้แต่ส่ายหน้า
“ ถอยออกจากหน้าประตู ”
ดารีลเสียงเข้ม
เขาเดินอย่างสง่าผ่าเผยไปยืนกลางโถง
หันหน้าออกสู่ประตูที่เปิดกว้าง
คทาสีเงินกำแน่นอยู่ในมือข้างหนึ่ง
เด็กๆ รีบตะกายออกจากตรงนั้นอย่างว่าง่าย
พวกเขาเข้าไปยืนเบียดกันตามขอบนอก
เว้นแต่ดัลลัจเขาเข้ามาขวางพ่อมดน้อยเอาไว้
“ คิดว่าเก่งคนเดียวหรือ อยากจบงานนี้ด้วยตัวคนเดียวสินะ ทั้งที่คนอื่นสู้มาแทบตายแต่เจ้าตั้งใจจะเอาความดีความชอบไปแต่เพียงผู้เดียว ”
“ สิ่งที่อยู่ด้านนอกนั่น ข้าไม่คิดว่าใครจะสามารถเอาชนะได้ อย่าเพิ่งคิดถึงชื่อเสียงแค่หาทางเอาตัวรอดยังเป็นไปไม่ได้เลย ”
“ เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคิดจะสู้คนเดียวอีกหรือ ”
หนุ่มน้อยกล้ามโตขึ้นเสียง
“ ทำไม เกิดเป็นห่วงข้าขึ้นมาหรือไง เสียใจด้วยนะข้าไม่ได้มีรสนิยมอะไรแบบนั้น ”
ดารีลหลิ่วตาข้างหนึ่งด้วยสีหน้าสุดกวน
คำพูดนั้นแทงใจ
เป็นความจริงที่ดัลลัจห่วงใยเขา
เพราะความตายของบุรุษผู้นี้
จะนำพาความเสียใจอย่างใหญ่หลวงมาสู่เจ้าหญิงลูเซียน่า
ชายหนุ่มรู้สึกขัดเคืองใจที่มีคนรู้ทัน
เขาจึงผลักไหล่ดารีลจนเซถอยหลัง
ฟิโลโซเฟอร์ได้พุ่งเข้ามาคว้าร่างบอบบางเอาไว้
ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นเลย
“ ให้ตายสิ แค่ถูกปฏิเสธความรักถึงกับต้องทำร้ายร่างกายเลยหรือ แบบนี้ไม่ไหวเลยนะ เกิดเป็นผู้ชายทั้งทีหัดใจกว้างกว่านี้หน่อยได้ไหม ในเมื่อคนเขาไม่มีใจให้ ยังจะบังคับขู่เข็ญอีก ”
เด็กชายว่า
พลางยิ้มให้คนในอ้อมแขนแบบมีเลศนัย
ดัลลัจถึงกับยืนงง
เขาไม่เข้าใจมุกตลกของเด็กน้อย
ดารีลสลัดร่างออกมาจนพ้น
เขาจ้องเด็กชายด้วยสายตาคมกริบ
“ ถอยไปห่างๆ ”
น้ำเสียงของเขาก็เข้มมากเช่นกัน
“ เจ้าไล่ข้าไม่ได้หรอกดารีล อย่างน้อยข้าก็กุมความลับของคืนนั้นเอาไว้ เจ้าคงไม่อยากให้ข้าเอาไปโพนทะนาใช่ไหม ”
ฟิโลโซเฟอร์เริ่มทำตัวเจ้าเล่ห์
“ คืนไหน ”
คิ้วเรียวงามของพ่อมดน้อยขมวดเข้าหากัน
เขาดูจริงจังพอๆ กับดัลลัจเลย
“ คืนก่อนนี้ไง ที่เจ้าอุ๊บ ”
ปากของเขาโดนรวบปิดไว้เสียก่อน
“ เจ้าเด็กนรกหัดดูเสียบ้าง นี่ไม่ใช่เวลามาเพ้อเจ้อ เก็บปากของเจ้าเสียแล้วไปอยู่กับเพื่อนของเจ้า ”
ความดุดันนั้นมีมากมายนัก
แต่เด็กชายชาวซีนาร์ยกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
และกิริยาของดารีล
กลับไปกระตุ้นความสงสัยของเด็กๆ
ว่าคืนนั้นมันยังไงกัน
“ ดารีล ข้าจะไม่ยอมยืนดูเจ้าตายหรอกนะ ”
พ่อมดน้อยไม่ตอบ
เขาลากฟิโลโซเฟอร์ไปหาเพื่อนทั้งสอง
คว้าริ้วผ้าสีทองมามัดเด็กชายเอาไว้
รวดเร็วจนไม่สามารถสลัดออกได้ทัน
“ ปล่อยนะ เจ้ากล้าทำแบบนี้กับข้าหรือ อีเลียสช่วยข้าด้วย ”
โลธอร์ได้แต่ยืนทำตาปริบๆ
ส่วนสหายร่างผอมนั้นส่ายหน้าเอือมระอา
“ ใครกล้าปลดเชือกข้าจะสาปให้กลายเป็นสลอธพิการ ”
ดารีลขู่
มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่หน้าประตู
ร่างครึ่งคนครึ่งมังกรก้าวเข้ามา
ปีศาจตนนั้นสูงใหญ่เป็นสามเท่าของคนปรกติ
ดวงตาสีส้มแสดและผิวสีน้ำตาลแดง
ดัลลัจยังคงยืนจังก้า
ดาบหนากำมั่นอยู่ในมือข้างหนึ่ง
ในขณะที่คนอื่นต่างหวาดกลัวลนลาน
เด็กหนุ่มร่างกำยำได้พุ่งเข้าใส่
แต่เคอร์คารอลนั้นว่องไวนัก
มันเบี่ยงตัวหลบ
แล้วเหวี่ยงแขนฟาด
เจ้าหนุ่มผู้กล้านั่นถึงกับกระเด็นไปชนเข้ากับหุ่นปัน
เขาหล่นลงพื้นพร้อมกับเศษปูนปั้นที่แตกเกลื่อน
ปีศาจร้ายตัวนั้นย่างสามขุมเข้าไปหา
ด้วยท่าทีมุ่งร้าย
ดารีลไปถึงได้ก่อน
เขาร่ายคาถาสร้างกำแพงน้ำแข็งขวางทางไว้
แล้วลากดัลลัจที่นอนสลบไสล
ออกมาจนพ้นระยะโจมตี
แต่กำแพงน้ำแข็งนั้นก็แตกลง
เพียงเพราะโดนหมัดกระแทกเข้าครั้งเดียว
ฟิโลโซเฟอร์มองเห็นประกายสีแดง
ในมือของเคอร์คารอล
เด็กชายตัวน้อยพอจะเดาออกว่ามันคือสิ่งใด
เขารู้สึกหวั่นใจจนแทบคลั่ง
ในเวลานี้มีเพียงดารีลเท่านั้นที่ยืนหยัดต่อหน้าสิ่งชั่วร้าย
เขานั้นว่องไวอย่างน่าประหลาด
แต่เคอร์คารอลแข็งแกร่งกว่าโดยไร้ข้อโต้แย้ง
หนุ่มน้อยร่างบางระหงทำได้เพียงแค่ถอยร่น
การโจมตีใดๆ ด้วยคาถาของเขา
ไม่อาจระคายผิวของปีศาจร้ายตรงหน้าได้เลย
สุดท้ายดารีลก็ถูกต้อนไปจนมุม
เคอร์คารอลตะปบรูปปั้นเทพีผู้ถือถาดใส่ปลายหอกศักดิ์สิทธิ์แตกเกลื่อน
ดารีลสร้างม่านน้ำแข็งเป็นหลังคาคุ้มกันตนเอง
และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง
ปีศาจร่างแดงทิ้งหมัดลงตรงนั้น
พ่อมดน้อยใช้ความรวดเร็วไถลร่างออกมาพ้นแรงประทะได้หวุดหวิด
เขาดีดตัวลุกขึ้นหันกลับไปเผชิญกับเคอร์คารอลที่กำลังร้องโหยหวน
ดูเหมือนเขาจะว่างจัด
เพราะยังมีเวลาจัดชุดให้เข้าที่เข้าทาง
หลังจากม้วนตัวหลายตลบ
ปีศาจตัวนั้นชูมือที่มีหอกศักดิ์สิทธิ์ปักอยู่ขึ้นมา
แท้จริงดารีลแอบจับปลายหอกตั้งรอไว้แล้ว
เมื่อกำปั้นขนาดใหญ่ทุบลงมาโดยไม่ระวังจึงเกิดเหตุดังกล่าว
เลือดสีดำหยดลงพื้นกลายเป็นหลุมยุบดังโดนน้ำกรด
“ เป็นแผลได้เหมือนกันหรือ ”
ดารีลว่า
พร้อมกับยิ้มยั่วน้อยๆ
เคอร์คารอลคำรามลั่น
มันดึงปลายหอกออกจากมือ
แล้วปาเข้าใส่หนุ่มน้อยคนนั้นด้วยความเร็วและรุนแรง
ดารีลเบี่ยงตัวหลบได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไร
หอกนั้นพุ่งเฉียดร่างไปเพียงเล็กน้อย
ตอนนี้ปีศาจร้ายได้เดือดดาลอย่างหนัก
และพ่อมดน้อยก็ยังยั่วยุมันไม่หยุด
เสียงคำรามลั่นจนพื้นสะเทือน
เลือดไหลนองรวมตัวกันเป็นดาบดีดำ
อัญมณีในมือก็เปล่งประกายสุดเยือกเย็น
ฟิโลโซเฟอร์ใจหายวาบ
เขาดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
ชั่วพริบตาหนึ่งเคอร์คารอลได้หันมาทางเขา
แล้วพันธนาการทั้งปวงก็ร่วงหล่น
เด็กชายเป็นอิสระในทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ