โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
120) อย่าสู้กันเองสิ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในคืนที่ยาวนาน เด็กๆ ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ความช่วยเหลือไม่อาจมาถึงได้ เพราะปราสาทขาวนั้นถูกความมืดเข้าครอบงำเสียแล้ว
แต่ด้วยสายเลือดนักรบที่เข้มข้น แม้มีอันตรายอยู่ตรงหน้าทั้งหมดก็พร้อมพุ่งเข้าใส่ เด็กทั้งหลายถืออาวุธมั่นในมือ สายตาไม่ได้ละไปจากประตูบานนั้นเลย
เสียงปริแตกดังลากยาว เมื่อประตูบานหนาถูกฉีกออก พร้อมกับตัวประหลาดร่างแห้งเหี่ยวหลั่งไหลเข้ามาดังฝูงมด เสียงร้องครืดคราดของมันดังสนั่นหวั่นไหว
ดารีลโยนโซ่เส้นเล็กๆ ไปพันกับราวระเบียงด้านบน แล้วโหนตัวขึ้นไปยืนที่ระเบียงทางเดินชั้นสาม พร้อมกับธนูในมือ
เมื่อเห็นดังนั้นนักแม่นธนูฝึกหัดก็วิ่งขึ้นบันใดตามเขาไป แล้วสาดลูกศรลงมาใส่เกรบ๊อกที่อยู่ด้านล่าง ส่วนผู้กล้าวัยเยาว์ที่ถนัดต่อสู้ระยะประชิด ก็ตะลุมบอนอยู่กับสัตว์ปีศาจอย่างไม่หวาดหวั่น
โลธอร์เหวี่ยงขวานและค้อนฟาดหัวพวกมันล้มตายไปหลายตัว แม้แต่อีเลียสผู้ถือสมุดปกเหล็กกล้า ก็ยังสามารถตบหัวเกรบ๊อกแตกเลือดอาบไปไม่น้อย
“ ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยให้ตายสิ ”
อีเลียสบ่นขณะหันหลังชนกับคู่หูร่างอ้วน
“ ผู้มีปัญญาเขาไม่ใช้กำลังกันหรอก ”
“ แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ หรือจะลองชวนสหายร่างแห้งของเจ้าเข้าไปในหอสมุด บางทีปีศาจพวกนี้อาจจะต้องการแค่มาเรียนหนังสือ แต่พอดีไม่เข้าใจธรรมเนียมเลยเกิดเรื่องเข้าใจผิด ”
โลธอร์ว่า
เจ้าเด็กร่างผอมบางแยกเขี้ยวค้อนให้เพื่อนครั้งหนึ่ง
แม้เกรบ๊อกจะล้มตายเป็นจำนวนมาก
แต่พวกมันก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
ฟิโลโซเฟอร์ก็สู้อยู่กับเพื่อนทั้งสอง
เขาฟาดฟันด้วยขาเก้าอี้ที่หยิบมาจากแถวนั้น
สัตว์ปีศาจก็ยับลงด้วยมือของเขาไม่น้อย
ขณะกำลังเดินเข้าไปหาเพื่อน
ลูกธนูน้ำแข็งดอกหนึ่งปักฉึกลงเฉียดปลายเท้า
เมื่อเงยหน้าขึ้นเพื่อตามหาคนยิงธนู
จึงทันได้เห็นเกรบ๊อกตัวหนึ่งร่วงหล่นลงมา
พร้อมกับลูกธนูน้ำแข็งสีขาวปักกลางหัว
เหมือนแผนการจะเปลี่ยนไป
ฝูงเกรบ๊อกเริ่มไต่ขึ้นตามผนังขึ้นไปหานักแม่นธนู
บางส่วนก็ทิ้งตัวลงมาใส่คนด้านล่าง
ฟิโลโซเฟอร์ร้องเตือนเพื่อนๆ
ให้ระวังอันตรายจากด้านบน
ดารีลนั้นขึ้นลูกศรครั้งละสี่ดอก
แต่ก็ไม่สามารถกวาดพวกมันลงมาหมด
เนื่องด้วยปริมาณที่มากเกินไป
เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กชายชาวซีนาร์ยก็พุ่งขึ้นบันไดเวียน
มุ่งหน้าไปหาทันที
แต่ยังไม่ทันไปถึงชั้นสองดี
พ่อมดน้อยก็กระโดดหนีลงมา
เขาคว้าเอาสัตว์ปีศาจตัวหนึ่งติดมือมาด้วย
จับมันเสียบเข้ากับปลายแหลมของรูปสลักหิน
ก่อนจะทิ้งร่างลงสู่พื้นอย่างสวยงาม
ฟิโลโซเฟอร์ได้กระโดดจากระเบียงชั้นสอง
ลงมายืนเคียงข้างหนุ่มน้อยคนนั้น
“ ขอบใจ ”
เด็กชายพูด
“ อ้อ อันที่จริงข้ายิงพลาดไปน่ะ ไม่ได้คิดจะช่วยสักนิด บอกตามตรงต่อให้เจ้าตายตรงนี้ ข้าก็หาได้เสียใจไม่ ”
ดารีลตอบเสียงเย็น
แล้วเดินจากไป
เขาหมุนธนูในมือให้กลับกลายมาเป็นคทาเช่นเดิม
เด็กชายชาวซีนาร์ยตีหน้าย่น
ปากแบบนี้หรือ
เขานึก
ถ้ามีโอกาสได้นอนร่วมเตียงกันอีกจะเล่นงานให้หนัก
เอาให้ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะจบสิ้น
เหล่าสัตว์ปีศาจก็ยังคืบคลานเข้ามาไม่หยุด
“ ดารีล เจ้าไม่คิดจะทำอะไรสักหน่อยหรือ ตั้งใจจะปล่อยพวกเราให้ถูกฆ่าตายหมดสินะ ”
ดัลลัจตะโกนมาถาม
“ ในพื้นที่แคบจะให้ข้าทำอะไรล่ะ ถล่มเพดานลงมาทับพวกเรากันเองหรืออย่างไร ”
หนุ่มน้อยนักเวทตอบอย่างใจเย็น
“ ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาเรื่องแค่นี้ก็จัดการไม่ได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์กระโดดเข้าไปยืนขวางหน้า
พร้อมกับเอ่ย
“ ใยไม่จัดการเองล่ะพ่อคนเก่ง ถ้ามันง่ายนัก ”
“ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถอยไปนะ ”
ดัลลัจตวาด
“ เรื่องของดารีลไม่มีทางไม่เกี่ยวกับข้า ”
หนุ่มร่างกำยำมองเด็กชายที่ถือขาเก้าอี้เปื้อนเลือดอยู่ตรงหน้า
“ ข้าไม่สู้กับคนไร้อาวุธหรอก ”
“ แล้วกัน ไม่ใช่ว่าขี้ขลาดแม้แต่กับเด็กอมมือหรือ ”
สายตาของฟิโลโซเฟอร์นั้นยียวนนัก
“ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเข้ามา แล้วอย่าหาว่าข้าใจร้ายล่ะ ”
ดัลลัจว่าพลางเงื้อดาบขึ้น
เด็กชายตัวน้อยเองก็ไม่คิดจะถอยสักก้าว
ก่อนที่การต่อสู้จะบานปลาย
เกรบ๊อกตัวหนึ่งก็หล่นโครมลงตรงกลางระหว่างสองคน
สองคู่หูอ้วนผอมนั่นเองที่ช่วยกันยันมันเข้ามา
คู่ต่อสู้ทั้งสองจึงช่วยกันรุมกระหน่ำจนมันตายกองอยู่ตรงนั้น
“ ข้าเห็นพวกเจ้าว่างมากเกินไป เลยช่วยหางานให้ ”
อีเลียสว่าพลางปาดเหงื่อ
ส่วนสหายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ
“ เวลาแบบนี้อย่าสู้กันเองสิ ”
พ่อมดน้อยตำหนิ
แต่ดวงตามีประกายขบขัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ