โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

116) ลั่นระฆัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มันเป็นวันอันแสนสุขอีกวันหนึ่ง   เด็กๆ ได้สังสรรค์กันท่ามกลางเสียงเพลงและอาหารเลศรส   เสียงหัวเราะพูดคุยดังไปทั่ว   แม้ต้องยอมรับว่ามีเด็กมาเข้าเรียนในปราสาทขาวน้อยลงทุกปี   แต่งานรื่นเริงก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

 

เสียงระฆังดังเจ็ดครั้ง   ท้องฟ้าด้านนอกได้มืดมัว   เพราะขณะนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง   อีกไม่กี่ชั่วโมงงานเลี้ยงก็จะปิดลง   เสียงดนตรีได้เปลี่ยนไปจากท่วงทำนองสบายๆ กลายเป็นคึกคักขึ้น

 

ฟีไลร่าได้ดึงแกมบังคับให้ฟอโลโซเฟอร์ออกไปเต้นรำกับนาง   แต่เด็กชายยังข้องใจว่าใครกันที่น้องสาวบอกว่าได้นัดไว้   เขาจึงดูขัดขืนไม่เต็มใจ   เพราะกลัวน้องสาวจะคลาดไปจากสายตา

 

คาโอเรียชวนโลธอร์ลงไปลานเต้นรำ   อีเลียสกับเลโอน่าก็ตามลงมาด้วย   เจ้าเด็กร่างอ้วนนั้นดูเก้ๆ กังๆ อย่างเห็นได้ชัด   แต่เขาก็สุภาพมากๆ

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าห่างกันไม่กี่คืบ   เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงสังเกตเห็นว่าฟีไลร่านั้นสวยสง่าเพียงใด   นางนั้นสูงเพรียวระหง   ผิวขาวเนียนตัดกับริมฝีปากสีสด   ไหล่เชิดคอตั้งตรงดูทรงอำนาจในชุดเรียบหรู

 

แต่เขาก็ไม่มีเวลาชื่นชมความงามนานนัก   เพราะเมื่อจังหวะดนตรีเปลี่ยนไปเด็กๆ ต่างหมุนตัวเพื่อเปลี่ยนคู่เต้น   คาโอเรียนั้นขยับห่างออกไปและจับคู่กับใครไม่รู้   ทำเอาคนเป็นพี่อยู่ไม่สุข   คอยชะเง้อหาจนแทบไม่สนใจคู้เต้น   ในใจก็คิด

 

‘ หนุ่มหน้าตาดีที่ว่านั่นคนไหนกัน ’

 

“ ไงฟิโลโซเฟอร์   ดูไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลยนะ ”  

 

เสียงนุ่มนวลของเจ้าหญิงลูเซียน่าทำเอาเด็กชายสะดุ้ง

พระนางจับคู่กับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัวเลย

 

“ อ้อ   คือ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ตะลึงตาค้างทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

 

“ โดนน้องสาวแกล้งเข้าให้แล้วล่ะสิ ”

 

พระนางกล่าวเหมือนรู้ทัน

 

“ แต่ก็ต้องชมเจ้า   เหม่อขนาดนั้นยังไม่เหยียบโดนเท้าข้าแม้สักครั้ง   งานนี้ข้าขอก้มหัวให้ ”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยได้ใกล้ชิดบุคคลผู้สูงศักดิ์

แม้จะรู้ว่านี่คือคู่รักของดารีล

และพระนางก็ดูไม่ถือพระองค์แม้แต่น้อย

เขาก็ยังไม่อาจละทิ้งความประหม่าได้

 

ฟิโลโซเฟอร์เปลี่ยนคู่เต้นไปอีกสองสามคน

แต่เขาก็จำไม่ได้สักคน

 

เพราะคาโอเรียได้หายเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว

มันทำให้เขาหงุดหงิดใจไม่น้อย

 

เมื่อดนตรีได้เปลี่ยนทำนองอีกครั้ง

เด็กชายชาวซีนาร์ยจึงขยับเปลี่ยนคู่

 

เขาได้กลิ่นหอมละมุนที่คุ้นเคย

จึงหันขวับ

 

นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบกัน

ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้

 

“ เจ้าหมุนผิดฝั่งแล้ว   คู่ของเจ้าอยู่ทางโน้น ”

 

หนุ่มน้อยกล่าวเรียบๆ

แต่คิ้วเรียวงามนั้นขมวดมุ่น

เขาไม่ถูกใจกับอะไรที่อยู่ผิดที่ผิดทาง

 

ฟิโลโซเฟอร์นิ่งอึ้ง

เขามีความในใจมากมายอยากถาม

แต่กลัวว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่รับฟัง

 

ดารีลที่บาดเจ็บหนักในวันนั้น

แต่ไม่ยอมเอ่ยปากบอก

 

ทั้งที่นอนบนเตียงเดียวกันแท้ๆ

เขากลับรู้เรื่องนี้จากคนอื่น

 

ตกลงแล้วดารีลไว้ใจเขา

หรือเขาแค่คิดไปเอง

 

“ เป็นอะไรไปล่ะ   เหตุใดยืนทื่อแบบนี้   ถ้าไม่อยากเต้นแล้วก็ควรออกไปเสีย   เจ้าขวางทางคนอื่นอยู่นะ ”

 

“ ข้าเข้ามาอยู่ในหอนอนนานแล้วใยเจ้าไม่เคยมาพบข้า ”

 

ฟิโลโซเฟอร์เอ่ยถาม

 

“ ไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้ข้าต้องไปนี่นา ”

 

หนุ่มน้อยคนนั้นตอบ

 

“ เจ้าทำทุกอย่างตามหลักเหตุผลเท่านั้นหรือ ”

 

ดารีลถึงกับกระพริบตาปริบๆ

รู้สึกงุนงงกับคำถามนั้น

 

“ มันก็สมควรต้องเป็นเช่นนั้นเพราะข้ามิใช่คนเพ้อเจ้อ ”

 

“ อ้อ ” 

 

เด็กชายว่า

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

ดารีลสนใจแค่สิ่งที่เขาพอใจจะสนใจเท่านั้น

 

เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน

พวกเขายืนมองหน้ากันอยู่เช่นนั้น

 

คู่ชายหญิงมากมายจับคู่เต้นรำ

หมุนกายอยู่รายรอบคนทั้งสอง

 

เสียงเหง่งหง่างของระฆังดังขึ้นอีก

ผู้คนในโถงใหญ่ต่างหยุดชะงัก

แม้แต่ดนตรีก็ยังหยุดลง

 

 ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ระฆังก็ยังดังไม่หยุด

 

เสียงของมันสะท้อนก้องไปมาดูหลอกหลอน

เหมือนมันเคยดังแบบนี้ครั้งหนึ่ง

 

ในงานพิธีเฉลิมฉลอง

หลายคนอาจจำไม่ได้

แต่ฟิโลโซเฟอร์จำได้ดี

 

“ ท่านหญิง ”

 

ดารีลอุทาน

สีเลือดเลือนหายไปจากใบหน้า

 

แต่ไม่ทันที่เขาจะออกตามหา

เจ้าหญิงลูเซียน่าก็แหวกผู้คนมารวดเร็วราวกับพายุ

 

“ ดารีล ”

 

พระนางว่า

ก่อนจะหันไปเห็นฟิโลโซเฟอร์

 

“ พวกเจ้าไม่เป็นอะไรนะ ”

 

เด็กชายได้แต่โค้งให้ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี

 

ดารีลเอื้อมมือไปสัมผัสอัญมณีสีแดงที่ประดับบนพระศอของเจ้าหญิง

ซึ่งในขณะนี้มันส่องประกายประหลาด

 

มือของเขาสั่นระริก

แต่เขาก็ไม่เอ่ยปากว่ากระไร

 

เมื่อเขาหดมือกลับ

แสงสีแดงก็ดับลงพร้อมกับเสียงระฆังที่หยุดทันใด

 

“ มันไม่มีอะไรใช่ไหม ”

 

เสียงของเจ้าหญิงนั้นหวาดหวั่น

ดารีลส่ายหน้าช้าๆ

 

“ ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วท่านหญิง   ปัญหาตอนนี้คือพวกเราทั้งหมดจะหนีพ้นได้อย่างไร ”

 

“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”

 

ฟิโลโซเฟอร์ถามขึ้นบ้าง

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา