โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  137.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

112) งานประลอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
หลังจากเหตุการณ์พายุหิมะถล่มผ่านไป   ท่ามกลางความหวั่นวิตกของหลายๆ ฝ่ายว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีก   แต่เมื่อวันเวลาได้เคลื่อนไป   วันแล้ววันเล่าเหตุการณ์ก็ยังดูปรกติดี   จนฤดูหนาวได้ผ่านพ้นความกลัวและหวาดระแวงก็จางหายไปตามวันเวลา
 
            ในชั้นเรียนฟันดาบการเรียนก้าวหน้าไปมาก   อาจารย์ผู้สอนได้จัดการประลองของเด็กนักเรียนชั้นโตๆ  ป้ายประกาศปิดตามที่ต่างๆ เพื่อแสดงวันและเวลาในการแข่งขัน   มันเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นทุกปีจนกลายเป็นประเพณี   คนที่ลงแข่งได้ต้องเป็นเด็กนักเรียนในวิชาฟันดาบเท่านั้น   การประลองมีขึ้นในวันสิ้นสุดสัปดาห์ฟิโลโซเฟอร์ไม่รอช้าที่จะไปเกาะขอบเวทีด้านหนึ่ง   เด็กผู้ชายต่างชื่นชอบการประลองนี้แม้แต่ฟีไลร่าก็ตามมาด้วย   พวกเขายึดหอประชุมเล็กเป็นลานประลอง
 
“ พวกเขาน่าจะให้เราลงแข่งได้นะ ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ออกความเห็น
 
“ อย่าดีกว่า   อย่างเจ้าน่ะยังไม่มีความชำนาญ   ขืนลงไปรังแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ ”
 
เลโอน่าค้าน
 
“ มันก็แค่การแข่งขันน่า   คงไม่มีใครอยากทำให้ใครถึงตายหรอก   ไม่อย่างนั้นก็คงลองของจริงไปแล้ว ”
 
โลธอร์ว่า
 
“ แต่เขาใช้ดาบจริงกัน   งานนี้ถ้าพลาดก็เจ็บตัวไม่น้อย ”
 
อีเลียสเห็นด้วยกับแม่สาวผิวเข้ม
 
เลโอน่ามองดูผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในห้อง
นางอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นเด็กหญิงหลายคนให้ความสนใจการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
 
และแน่นอนมีเด็กหญิงลงวิชาฟันดาบ
บางทีเทอมหน้านางอาจลงบ้าง
 
 
           
            ที่มุมห้องด้านหนึ่ง   เขายืนอยู่ที่นั่น   เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมดำมือข้างหนึ่งถือคทาเงินอีกข้างเกาะเกี่ยวอยู่กับเจ้าหญิงลูเซียน่าผู้มีผมสีน้ำตาลอมแดง   
 
เลโอน่าไม่รู้สึกประหลาดใจเลยหากว่าฟีไลร่าจะแอบมองคนทั้งสอง   นางคงไม่พอใจเท่าไหร่กับเรื่องแบบนี้แต่ฟีไลร่าไม่เคยฟังสิ่งที่นางเตือนเลย  
 
ไม่เพียงแต่ฟีไลร่าเท่านั้น   เด็กนักเรียนหญิงที่รับรู้ถึงการมาของเขาก็อดที่จะหันไปมองบ่อยๆ ไม่ได้   เพราะเป็นเรื่องยากที่เห็นนักเรียนชั้นเวทมนตร์มาปะปนอยู่ในกลุ่มพวกเขา 
 
 
            ในบางครั้งฟีไลร่าเคยถามตัวเองว่า   หากนางเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์เฉกเช่นเดียวกับเจ้าหญิงลูเซียน่า   นางจะมีค่าในสายตาของเขาหรือเปล่า   นักเวทน้อยผู้เงียบขรึมผู้นี้   สิ่งใดกันที่สามารถมัดใจเขาได้
 
“ เฮ้  ดูสิท่านอาจารเฮอร์เมสมาควบคุมการประลองด้วยตัวเองเลย ”
 
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนบอก 
เด็กๆ ต่างหันไปสนใจบนเวที
 
อาจารย์ยืนเด่นอยู่กลางเวที
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดผ่านกลางใบหน้า
เห็นได้อย่างชัดเจนจากตรงนี้
 
“ และนี่เป็นเวทีแห่งศักดิ์ศรีของยอดฝีมือ   ที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วทั้งหกคน ”
 
เขาผายมือไปทางเด็กหนุ่มร่างกำยำที่อยู่เบื้องหลัง
มีคนหนึ่งดูเด่นเป็นพิเศษ
 
เขามีแววตาดุดันเหมือนสิงโตที่มือมีผ้าเปื้อนเลือดพันไว้
นามของเขาคือดัลลัจ
 
“ เวทีแห่งนี้แท้จริงแล้วมีไว้เพื่อแสดงพลังขับเคลื่อนของตน   หาได้มีไว้ชิงชัยไม่   ข้าอยากให้คนที่อยู่ข้างล่างดูและจดจำไว้เพื่อพัฒนาตนเอง   ส่วนนักรบของข้า   ข้าขอเตือนเจ้า   ดาบนั้นมีอำนาจข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าทำร้ายพวกเดียวกันเอง   ฉะนั้นจงระวังและระรึกอยู่เสมอว่าคนตรงน้านั้นคือมิตรหาใช่ศัตรูไม่ ”
 
จากนั้นพวกเขาทั้งหกก็จับคู่กันออกมาประลองดาบทีละคู่
จนได้ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว 
 
เสียงโห่ร้องด้วยความพอใจดังอยู่นาน
ผู้ชนะก้าวออกมาเขาชูมือขึ้นพูดด้วยเสียงอันดัง
 
“ พี่น้องทั้งหลาย   วันนี้เราได้เห็นแล้วว่าพลังของนักดาบนั้นมีมากมายเพียงใด   เราต่อสู้ฟันฝ่าด้วยศักดิ์ศรีแลกด้วยเลือดเนื้อ   ดังนั้นผู้ที่ถือดาบเท่านั้นจึงควรจะเป็นผู้ชนะและกุมอำนาจสูงสุด   หาใช่ผู้ที่พยายามจะเอาชนะด้วยเล่ห์กลผู้ถือไม้กระบองคอยร่ายมนต์ใส่ผู้คนทีเผลอไม่   แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยินดีที่วันนี้มีนักเรียนชั้นเวทมนตร์คนหนึ่งอยู่ที่นี่   ร่วมเป็นพยานในชัยชนะของข้า   แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาคนนั้นจะทิ้งคทาที่เขายึดเป็นที่พึ่ง   ลุกขึ้นมาสู้กับข้าอย่างเท่าเทียม   เพื่อยืนยันว่าหากพวกเขาไร้ซึ่งท่อนเหล็กเส็งเคร็งนั้น   พวกเขาก็เป็นได้แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง ”
 
ดัลลัจจ้องมาที่ดารีลโดยตรงเลยทีเดียว   หนุ่มน้อยรูปงามเลิกคิ้วขึ้นสายตาจับจ้องไปที่ดัลลัจอย่างสนใจใคร่รู้ท่าทางของเขาสงบนิ่งราวกับผืนน้ำ   ครั้นแล้วเขาก็ยิ้มพลางยัดเยียดคทาให้เจ้าหญิงลูเซียน่าถือไว้   เจ้าหญิงพยายามรั้งเขาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น   ดารีลหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับนาง   พร้อมกับแกะมือเจ้าหญิงออกอย่างนุ่มนวล   ฟิโลโซเฟอร์หันกับไปบนเวที   เขาต้องประหลาดใจที่เห็นแววเจ็บปวดบนสายตาของดัลลัจ   แต่ครู่ต่อมาเขาก็คิดว่าคงตาฝาดไป
 
            ดารีลเดินขึ้นบันใดไปอย่างใจเย็น   ชายเสื้อคลุมของเขายาวลากไปถึงพื้น   ในที่สุดเขาก็ขึ้นไปประจันหน้ากับดัลลัจ   ห่างกันไม่กี่ก้าวหงายมือทั้งสองข้างให้กับคู่ต่อสู้   เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธใด
 
“ ว่าแต่ยอดนักรบของเรา   ตั้งใจจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ไร้อาวุธจริงๆ นะหรือ   มิน่าเขาถึงว่าพวกเจ้ารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง   เป็นแบบแล้วนี้ถ้าแพ้คงแปลกพิลึก ”
 
ดัลลัจพยักหน้าไปทางพรรคพวกที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มีใครบางคนยื่นดาบออกมา
เขาหมุนตัวกลับชักดาบออกเหวี่ยงๆ เพื่อคะเนน้ำหนักในมือ
 
“ ขอสองอันได้ไหมข้ายังไม่แน่ใจว่าถนัดมือข้างไหน ”
 
ดารีลยังต่อรอง
 
“ หมอนี่บ้าจริงๆ ปรกติพ่อมดไม่ฝากคทาไว้กับคนอื่น   หรอกแม้จะเป็นคนรักก็ตามที ”
 
อีเลียสว่า
 
“ เขาบ้าตั้งแต่รับคำท้าของดัลลัจแล้ว ”
 
โลธอร์ว่าบ้าง
ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
 
เพราะเขาเห็นคนผู้นี้ฝากคทาไว้กับทหารอารักขาอยู่บ่อยครั้ง
แต่การที่ดารีลรับคำท้ามันทำให้เด็กชายอดใจสั่นไม่ได้
 
นักรบฝึกหัดอย่างดัลลัจ
ไม่ใช่ของเล่นเลย
 
“ ไม่นะ   ใครก็ได้ช่วยห้ามพวกเขาที   แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยพวกนักเวทไม่ได้ฝึกมาให้ใช้ดาบนะ ”
 
ฟีไลร่าร่ำร้อง
 
“ ไม่เป็นไรหรอก   อาจารย์ก็อยู่ตรงนั้น   ดัลลัจคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง ”
 
เลโอน่าปลอบปลอบ
 
            แม้การต่อสู้ในครั้งนี้จะอยู่นอกเหนือจากแผนการ   แต่อาจารย์ผู้สอนกลับดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก   เจ้าหญิงลูเซียน่าจ้องมองบนเวทีด้วยสีหน้าซีดเผือด   ดารีลตัวสูงกว่าคู่ต่อสู้ก็จริงแต่ดูบอบบางมากจนน่าตกใจ   เขาทั้งสองโค้งให้กัน   คนหนึ่งสุภาพงดงามแต่อีกคนกลับดูแข็งกระด้างเหลือเกิน
 
“ นี่เป็นแบบอย่างธรรมเนียมการเสแสร้งสินะ ”
 
น้ำเสียงของดารีลแสดงอาการล้อเลียนมากกว่าจะเหยียดหยาม
 
“ จะฆ่ากันอยู่แล้วก็ยังต้องมากพิธี ”  
 
ดัลลัจคำรามลั่น
ดาบใหญ่หนาเตอะฟาดปังลงตรงที่ดารีลเคยยืนอยู่ 
 
เด็กหนุ่มหมุนตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว
เขาก้าวถอยหลังจนถึงขอบเวทีด้วนความเร็วที่คู่ต่อสู้เกือบจะตามทัน
 
จากนั้นจึงหลบฉากออกด้านข้าง
ปล่อยให้ดัลลัจที่กำลังกระโจนเข้าใส่ด้วยอารมณ์ดุเดือดหล่นโครมลงไป 
เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังครืน
 
“ แก   เจ้าคนขี้ขลาด   เล่นขี้โกงนี่ ”
 
เสียงดัลลัจตะโกนด่า
 
ดารีลกลับยิ้มหวานตอบรับ
 
“ ขอบคุณ   แต่มาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ข้าก็เขินแย่สิ ”    
 
ดัลลัจตะกายขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งด้วยสีหน้าแดงก่ำ
เขาบุกเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง
 
ดารีลหนีขึ้นบนกองไม้ที่วางอยู่ข้างเวที
เขาทั้งว่องไวและแผ่วเบาราวกับแมวน้อย
 
ดัลลัจพยายามตะเกียกตะกายตามขึ้นไป
แต่คนตัวเล็กกว่าก็ชิงกระโดดลงมาก่อน
 
นักรบฝึกหัดกล้ามโตพากองไม้กลิ้งหลุนๆ ตามลงมาทั้งแผง
เขาจึงถูกท่อนไม้มากมายกองลงมาทับร่างไว้
 
นักเวทน้อยนั่งลงอย่างสงบคอยคู่ต่อสู้ให้ลุกขึ้นมา
และเป็นอีกครั้งที่ดัลลัจกลายเป็นตัวตลก
 
“ เจ็บไหมน่ะ   ให้ข้าช่วยหรือเปล่า ”
 
เสียงของดารีลนั้นจริงใจแบบขั้นสุด
 
 
ดัลลัจลุกขึ้นมาจนได้
คราวนี้เขาหน้าแดงจนเขียวคล้ำ
 
“ เจ้าคนขี้ขลาด   อย่าเอาแต่หนีสิวะ   แน่จริงก็บุกเข้ามาเลย ”
 
“ อยากลองเป็นผู้ถูกล่าบ้างอย่างนั้นหรือ   ข้าไม่แนะนำนะ   แต่ถ้าเจ้าต้องการจะลองดูก็ได้ ”
 
หนุ่มน้อยคนนั้นกวัดแกว่งดาบทั้งสองไปมาด้วยท่วงท่าที่งดงาม
รอจนกว่าคู่ต่อสู้ตั้งตัวได้เขาจึงพุ่งเข้าใส่
 
รวดเร็วและรุนแรงจนดัลลัจต้องถอยร่นไป
เขาตื่นตระหนกกับการจู่โจมที่ไม่คาดคิด
 
เมื่อถอยไปจนสุดกำแพง
ดาบแรกก็ฟันดาบของดัลลัจหักสองท่อน
ดาบเล่มที่สองจ่อที่คอหอยของนักรบร่างใหญ่พอดี
 
“ หยุดนะ ”
 
อาจารย์เธอร์เมสตวาดลั่น
 
“ เจ้าทำเกินไปแล้วดารีล   นี่เป็นแค่การแข่งขัน   อย่าได้ถือว่าเป็นบุตรของที่ปรึกษาสภาสูงแล้วจะทำอะไรตามใจ   ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี   ไม่อยากให้เจ้าหลงระเริงจนเข้าสู่ด้านมืด   มันไม่ดีแน่และจุดจบจะเป็นอย่างไรเจ้าก็เห็นตัวอย่างอยู่แล้ว ”
 
ดารีลหันไปหาอาจารย์เขาเดินช้าๆ สีหน้าไม่สื่ออารมณ์ใดๆ 
เขายกดาบขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าแล้วปล่อยให้ร่วงลงแทบเท้าอาจารย์
 
“ นี่อย่างไรล่ะ   คำตอบที่ค้างคาในใจท่านมานานแสนนาน   ในเวลาที่ท่านตกต่ำมากจนต้องดิ้นรนหาใครมาแทน   ท่านรู้ไหมหน้าของท่านมีแผลเป็นได้อย่างไร   คงไม่ใช่ความเก่งกล้าอย่างที่ท่านพยายามบอกแน่   แต่เป็นเพราะผลของการที่ใช้แต่กำลังแต่ไม่ใช้สมองต่างหาก   ถ้าแต่นี้ยังคิดไม่ได้ก็จงเป็นครูสอนฟันดาบต่อไปอย่าได้ออกไปสนามรบเลย   เปลืองหลุมฝังศพเปล่าๆ ”
 
ดารีลพูดเสียงเย็น
 
“ เจ้า ”
 
อาจารย์เธอร์เมสกำหมัดแน่น
เขาโกรธจนถึงขีดสุดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
 
เขารู้ดีดารีลนั้นเหนือกว่า
ทั้งตำแหน่งหน้าที่และพลังอำนาจ
 
พ่อมดน้อยหมุนตัวกลับ
เสื้อคลุมสีดำของเขาสะบัดในอากาศเหมือนปีกค้างคาว
แล้วเดินทื่อๆ จากไป
 
“ เจ้ายังไปไม่ได้ ”
 
แต่ดารีลก็พ้นประตูออกไปแล้ว
 
“ พอที ”
 
เจ้าหญิงลูเซียน่าแผดเสียง
 
“ พวกท่านบ้าไปแล้วหรือไง   พอเขาไม่สู้ก็หาว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด   พอแพ้ขึ้นมาก็หาว่าเขาเป็นปีศาจร้าย   ทำไมล่ะ   เพราะพวกท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้เกิดคำสาบมรณะขึ้น   ทำให้ผู้คนมากมายต้องล้มตาย   พอแก้ปัญหาไม่ได้ก็พาลใครเขาไปทั่ว   แท้จริงแล้วพวกท่านนั่นแหละคือปีศาจร้าย   ดารีลเขาอดทนมามากพอแล้วพวกท่านก็ยังไปยั่วยุเขาอีก   ตกลงต้องการอะไรกันแน่ ”
 
“ เจ้าหญิงหมอนั่นไม่ได้รักท่านจริง   ท่านดูไม่ออกหรืออย่างไร ”
 
ดัลลัจคราง
 
“ หุบปาก ”
 
แววตาของเจ้าหญิงวาวโรจ
พร้อมกับอัญมณีสีแดงบนพระศอเปล่งประกาย
 
“ ใจเจ้ามันสกปรกไม่พอ   ปากของเจ้ายังสกปรกอีกด้วย   ถ้าขืนยังพูดพล่อยๆ ไม่เลิกข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย ”
 
ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ผลุนผลันออกไปอีกคน
 
ดัลลัจมองตามอย่างเสียใจ
 
โลธอร์ได้แต่ทำตาปริบๆ
 
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา