โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
112) งานประลอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเหตุการณ์พายุหิมะถล่มผ่านไป ท่ามกลางความหวั่นวิตกของหลายๆ ฝ่ายว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีก แต่เมื่อวันเวลาได้เคลื่อนไป วันแล้ววันเล่าเหตุการณ์ก็ยังดูปรกติดี จนฤดูหนาวได้ผ่านพ้นความกลัวและหวาดระแวงก็จางหายไปตามวันเวลา
ในชั้นเรียนฟันดาบการเรียนก้าวหน้าไปมาก อาจารย์ผู้สอนได้จัดการประลองของเด็กนักเรียนชั้นโตๆ ป้ายประกาศปิดตามที่ต่างๆ เพื่อแสดงวันและเวลาในการแข่งขัน มันเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นทุกปีจนกลายเป็นประเพณี คนที่ลงแข่งได้ต้องเป็นเด็กนักเรียนในวิชาฟันดาบเท่านั้น การประลองมีขึ้นในวันสิ้นสุดสัปดาห์ฟิโลโซเฟอร์ไม่รอช้าที่จะไปเกาะขอบเวทีด้านหนึ่ง เด็กผู้ชายต่างชื่นชอบการประลองนี้แม้แต่ฟีไลร่าก็ตามมาด้วย พวกเขายึดหอประชุมเล็กเป็นลานประลอง
“ พวกเขาน่าจะให้เราลงแข่งได้นะ ”
ฟิโลโซเฟอร์ออกความเห็น
“ อย่าดีกว่า อย่างเจ้าน่ะยังไม่มีความชำนาญ ขืนลงไปรังแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ ”
เลโอน่าค้าน
“ มันก็แค่การแข่งขันน่า คงไม่มีใครอยากทำให้ใครถึงตายหรอก ไม่อย่างนั้นก็คงลองของจริงไปแล้ว ”
โลธอร์ว่า
“ แต่เขาใช้ดาบจริงกัน งานนี้ถ้าพลาดก็เจ็บตัวไม่น้อย ”
อีเลียสเห็นด้วยกับแม่สาวผิวเข้ม
เลโอน่ามองดูผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในห้อง
นางอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นเด็กหญิงหลายคนให้ความสนใจการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
และแน่นอนมีเด็กหญิงลงวิชาฟันดาบ
บางทีเทอมหน้านางอาจลงบ้าง
ที่มุมห้องด้านหนึ่ง เขายืนอยู่ที่นั่น เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมดำมือข้างหนึ่งถือคทาเงินอีกข้างเกาะเกี่ยวอยู่กับเจ้าหญิงลูเซียน่าผู้มีผมสีน้ำตาลอมแดง
เลโอน่าไม่รู้สึกประหลาดใจเลยหากว่าฟีไลร่าจะแอบมองคนทั้งสอง นางคงไม่พอใจเท่าไหร่กับเรื่องแบบนี้แต่ฟีไลร่าไม่เคยฟังสิ่งที่นางเตือนเลย
ไม่เพียงแต่ฟีไลร่าเท่านั้น เด็กนักเรียนหญิงที่รับรู้ถึงการมาของเขาก็อดที่จะหันไปมองบ่อยๆ ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องยากที่เห็นนักเรียนชั้นเวทมนตร์มาปะปนอยู่ในกลุ่มพวกเขา
ในบางครั้งฟีไลร่าเคยถามตัวเองว่า หากนางเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์เฉกเช่นเดียวกับเจ้าหญิงลูเซียน่า นางจะมีค่าในสายตาของเขาหรือเปล่า นักเวทน้อยผู้เงียบขรึมผู้นี้ สิ่งใดกันที่สามารถมัดใจเขาได้
“ เฮ้ ดูสิท่านอาจารเฮอร์เมสมาควบคุมการประลองด้วยตัวเองเลย ”
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนบอก
เด็กๆ ต่างหันไปสนใจบนเวที
อาจารย์ยืนเด่นอยู่กลางเวที
รอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดผ่านกลางใบหน้า
เห็นได้อย่างชัดเจนจากตรงนี้
“ และนี่เป็นเวทีแห่งศักดิ์ศรีของยอดฝีมือ ที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วทั้งหกคน ”
เขาผายมือไปทางเด็กหนุ่มร่างกำยำที่อยู่เบื้องหลัง
มีคนหนึ่งดูเด่นเป็นพิเศษ
เขามีแววตาดุดันเหมือนสิงโตที่มือมีผ้าเปื้อนเลือดพันไว้
นามของเขาคือดัลลัจ
“ เวทีแห่งนี้แท้จริงแล้วมีไว้เพื่อแสดงพลังขับเคลื่อนของตน หาได้มีไว้ชิงชัยไม่ ข้าอยากให้คนที่อยู่ข้างล่างดูและจดจำไว้เพื่อพัฒนาตนเอง ส่วนนักรบของข้า ข้าขอเตือนเจ้า ดาบนั้นมีอำนาจข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้าทำร้ายพวกเดียวกันเอง ฉะนั้นจงระวังและระรึกอยู่เสมอว่าคนตรงน้านั้นคือมิตรหาใช่ศัตรูไม่ ”
จากนั้นพวกเขาทั้งหกก็จับคู่กันออกมาประลองดาบทีละคู่
จนได้ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว
เสียงโห่ร้องด้วยความพอใจดังอยู่นาน
ผู้ชนะก้าวออกมาเขาชูมือขึ้นพูดด้วยเสียงอันดัง
“ พี่น้องทั้งหลาย วันนี้เราได้เห็นแล้วว่าพลังของนักดาบนั้นมีมากมายเพียงใด เราต่อสู้ฟันฝ่าด้วยศักดิ์ศรีแลกด้วยเลือดเนื้อ ดังนั้นผู้ที่ถือดาบเท่านั้นจึงควรจะเป็นผู้ชนะและกุมอำนาจสูงสุด หาใช่ผู้ที่พยายามจะเอาชนะด้วยเล่ห์กลผู้ถือไม้กระบองคอยร่ายมนต์ใส่ผู้คนทีเผลอไม่ แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยินดีที่วันนี้มีนักเรียนชั้นเวทมนตร์คนหนึ่งอยู่ที่นี่ ร่วมเป็นพยานในชัยชนะของข้า แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาคนนั้นจะทิ้งคทาที่เขายึดเป็นที่พึ่ง ลุกขึ้นมาสู้กับข้าอย่างเท่าเทียม เพื่อยืนยันว่าหากพวกเขาไร้ซึ่งท่อนเหล็กเส็งเคร็งนั้น พวกเขาก็เป็นได้แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่ง ”
ดัลลัจจ้องมาที่ดารีลโดยตรงเลยทีเดียว หนุ่มน้อยรูปงามเลิกคิ้วขึ้นสายตาจับจ้องไปที่ดัลลัจอย่างสนใจใคร่รู้ท่าทางของเขาสงบนิ่งราวกับผืนน้ำ ครั้นแล้วเขาก็ยิ้มพลางยัดเยียดคทาให้เจ้าหญิงลูเซียน่าถือไว้ เจ้าหญิงพยายามรั้งเขาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ดารีลหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับนาง พร้อมกับแกะมือเจ้าหญิงออกอย่างนุ่มนวล ฟิโลโซเฟอร์หันกับไปบนเวที เขาต้องประหลาดใจที่เห็นแววเจ็บปวดบนสายตาของดัลลัจ แต่ครู่ต่อมาเขาก็คิดว่าคงตาฝาดไป
ดารีลเดินขึ้นบันใดไปอย่างใจเย็น ชายเสื้อคลุมของเขายาวลากไปถึงพื้น ในที่สุดเขาก็ขึ้นไปประจันหน้ากับดัลลัจ ห่างกันไม่กี่ก้าวหงายมือทั้งสองข้างให้กับคู่ต่อสู้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธใด
“ ว่าแต่ยอดนักรบของเรา ตั้งใจจะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ไร้อาวุธจริงๆ นะหรือ มิน่าเขาถึงว่าพวกเจ้ารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เป็นแบบแล้วนี้ถ้าแพ้คงแปลกพิลึก ”
ดัลลัจพยักหน้าไปทางพรรคพวกที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มีใครบางคนยื่นดาบออกมา
เขาหมุนตัวกลับชักดาบออกเหวี่ยงๆ เพื่อคะเนน้ำหนักในมือ
“ ขอสองอันได้ไหมข้ายังไม่แน่ใจว่าถนัดมือข้างไหน ”
ดารีลยังต่อรอง
“ หมอนี่บ้าจริงๆ ปรกติพ่อมดไม่ฝากคทาไว้กับคนอื่น หรอกแม้จะเป็นคนรักก็ตามที ”
อีเลียสว่า
“ เขาบ้าตั้งแต่รับคำท้าของดัลลัจแล้ว ”
โลธอร์ว่าบ้าง
ฟิโลโซเฟอร์ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะเขาเห็นคนผู้นี้ฝากคทาไว้กับทหารอารักขาอยู่บ่อยครั้ง
แต่การที่ดารีลรับคำท้ามันทำให้เด็กชายอดใจสั่นไม่ได้
นักรบฝึกหัดอย่างดัลลัจ
ไม่ใช่ของเล่นเลย
“ ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยห้ามพวกเขาที แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยพวกนักเวทไม่ได้ฝึกมาให้ใช้ดาบนะ ”
ฟีไลร่าร่ำร้อง
“ ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ก็อยู่ตรงนั้น ดัลลัจคงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง ”
เลโอน่าปลอบปลอบ
แม้การต่อสู้ในครั้งนี้จะอยู่นอกเหนือจากแผนการ แต่อาจารย์ผู้สอนกลับดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก เจ้าหญิงลูเซียน่าจ้องมองบนเวทีด้วยสีหน้าซีดเผือด ดารีลตัวสูงกว่าคู่ต่อสู้ก็จริงแต่ดูบอบบางมากจนน่าตกใจ เขาทั้งสองโค้งให้กัน คนหนึ่งสุภาพงดงามแต่อีกคนกลับดูแข็งกระด้างเหลือเกิน
“ นี่เป็นแบบอย่างธรรมเนียมการเสแสร้งสินะ ”
น้ำเสียงของดารีลแสดงอาการล้อเลียนมากกว่าจะเหยียดหยาม
“ จะฆ่ากันอยู่แล้วก็ยังต้องมากพิธี ”
ดัลลัจคำรามลั่น
ดาบใหญ่หนาเตอะฟาดปังลงตรงที่ดารีลเคยยืนอยู่
เด็กหนุ่มหมุนตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว
เขาก้าวถอยหลังจนถึงขอบเวทีด้วนความเร็วที่คู่ต่อสู้เกือบจะตามทัน
จากนั้นจึงหลบฉากออกด้านข้าง
ปล่อยให้ดัลลัจที่กำลังกระโจนเข้าใส่ด้วยอารมณ์ดุเดือดหล่นโครมลงไป
เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังครืน
“ แก เจ้าคนขี้ขลาด เล่นขี้โกงนี่ ”
เสียงดัลลัจตะโกนด่า
ดารีลกลับยิ้มหวานตอบรับ
“ ขอบคุณ แต่มาชมกันซึ่งหน้าแบบนี้ข้าก็เขินแย่สิ ”
ดัลลัจตะกายขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งด้วยสีหน้าแดงก่ำ
เขาบุกเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง
ดารีลหนีขึ้นบนกองไม้ที่วางอยู่ข้างเวที
เขาทั้งว่องไวและแผ่วเบาราวกับแมวน้อย
ดัลลัจพยายามตะเกียกตะกายตามขึ้นไป
แต่คนตัวเล็กกว่าก็ชิงกระโดดลงมาก่อน
นักรบฝึกหัดกล้ามโตพากองไม้กลิ้งหลุนๆ ตามลงมาทั้งแผง
เขาจึงถูกท่อนไม้มากมายกองลงมาทับร่างไว้
นักเวทน้อยนั่งลงอย่างสงบคอยคู่ต่อสู้ให้ลุกขึ้นมา
และเป็นอีกครั้งที่ดัลลัจกลายเป็นตัวตลก
“ เจ็บไหมน่ะ ให้ข้าช่วยหรือเปล่า ”
เสียงของดารีลนั้นจริงใจแบบขั้นสุด
ดัลลัจลุกขึ้นมาจนได้
คราวนี้เขาหน้าแดงจนเขียวคล้ำ
“ เจ้าคนขี้ขลาด อย่าเอาแต่หนีสิวะ แน่จริงก็บุกเข้ามาเลย ”
“ อยากลองเป็นผู้ถูกล่าบ้างอย่างนั้นหรือ ข้าไม่แนะนำนะ แต่ถ้าเจ้าต้องการจะลองดูก็ได้ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นกวัดแกว่งดาบทั้งสองไปมาด้วยท่วงท่าที่งดงาม
รอจนกว่าคู่ต่อสู้ตั้งตัวได้เขาจึงพุ่งเข้าใส่
รวดเร็วและรุนแรงจนดัลลัจต้องถอยร่นไป
เขาตื่นตระหนกกับการจู่โจมที่ไม่คาดคิด
เมื่อถอยไปจนสุดกำแพง
ดาบแรกก็ฟันดาบของดัลลัจหักสองท่อน
ดาบเล่มที่สองจ่อที่คอหอยของนักรบร่างใหญ่พอดี
“ หยุดนะ ”
อาจารย์เธอร์เมสตวาดลั่น
“ เจ้าทำเกินไปแล้วดารีล นี่เป็นแค่การแข่งขัน อย่าได้ถือว่าเป็นบุตรของที่ปรึกษาสภาสูงแล้วจะทำอะไรตามใจ ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี ไม่อยากให้เจ้าหลงระเริงจนเข้าสู่ด้านมืด มันไม่ดีแน่และจุดจบจะเป็นอย่างไรเจ้าก็เห็นตัวอย่างอยู่แล้ว ”
ดารีลหันไปหาอาจารย์เขาเดินช้าๆ สีหน้าไม่สื่ออารมณ์ใดๆ
เขายกดาบขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าแล้วปล่อยให้ร่วงลงแทบเท้าอาจารย์
“ นี่อย่างไรล่ะ คำตอบที่ค้างคาในใจท่านมานานแสนนาน ในเวลาที่ท่านตกต่ำมากจนต้องดิ้นรนหาใครมาแทน ท่านรู้ไหมหน้าของท่านมีแผลเป็นได้อย่างไร คงไม่ใช่ความเก่งกล้าอย่างที่ท่านพยายามบอกแน่ แต่เป็นเพราะผลของการที่ใช้แต่กำลังแต่ไม่ใช้สมองต่างหาก ถ้าแต่นี้ยังคิดไม่ได้ก็จงเป็นครูสอนฟันดาบต่อไปอย่าได้ออกไปสนามรบเลย เปลืองหลุมฝังศพเปล่าๆ ”
ดารีลพูดเสียงเย็น
“ เจ้า ”
อาจารย์เธอร์เมสกำหมัดแน่น
เขาโกรธจนถึงขีดสุดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เขารู้ดีดารีลนั้นเหนือกว่า
ทั้งตำแหน่งหน้าที่และพลังอำนาจ
พ่อมดน้อยหมุนตัวกลับ
เสื้อคลุมสีดำของเขาสะบัดในอากาศเหมือนปีกค้างคาว
แล้วเดินทื่อๆ จากไป
“ เจ้ายังไปไม่ได้ ”
แต่ดารีลก็พ้นประตูออกไปแล้ว
“ พอที ”
เจ้าหญิงลูเซียน่าแผดเสียง
“ พวกท่านบ้าไปแล้วหรือไง พอเขาไม่สู้ก็หาว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด พอแพ้ขึ้นมาก็หาว่าเขาเป็นปีศาจร้าย ทำไมล่ะ เพราะพวกท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้เกิดคำสาบมรณะขึ้น ทำให้ผู้คนมากมายต้องล้มตาย พอแก้ปัญหาไม่ได้ก็พาลใครเขาไปทั่ว แท้จริงแล้วพวกท่านนั่นแหละคือปีศาจร้าย ดารีลเขาอดทนมามากพอแล้วพวกท่านก็ยังไปยั่วยุเขาอีก ตกลงต้องการอะไรกันแน่ ”
“ เจ้าหญิงหมอนั่นไม่ได้รักท่านจริง ท่านดูไม่ออกหรืออย่างไร ”
ดัลลัจคราง
“ หุบปาก ”
แววตาของเจ้าหญิงวาวโรจ
พร้อมกับอัญมณีสีแดงบนพระศอเปล่งประกาย
“ ใจเจ้ามันสกปรกไม่พอ ปากของเจ้ายังสกปรกอีกด้วย ถ้าขืนยังพูดพล่อยๆ ไม่เลิกข้าจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย ”
ว่าแล้วเจ้าหญิงก็ผลุนผลันออกไปอีกคน
ดัลลัจมองตามอย่างเสียใจ
โลธอร์ได้แต่ทำตาปริบๆ
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ