โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
102) เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมแลกทุกอย่าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กชายฟิโลโซเฟอร์นอนเอาผ้านวมคลุมหัว ไม่ใส่ใจกับเสียงสายลมที่ครางหวีดหวิว หรือแม้แต่เคอร์คารอลที่บินโฉบไปมารอบๆ ตัวบ้าน ขณะนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
สายลมแรงกระแทกเข้ากับตัวบ้านอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงคล้ายกรงเล็บขนาดใหญ่ ครูดไปตามผนังด้านนอกของตัวบ้าน ฟิโลโซเฟอร์ตวัดผ้าห่มออกจากร่าง
มองเห็นดารีลกำลังยกมือปิดหน้า เกลือกกลิ้งร่างไปมาบนที่นอนด้วยท่าทางทุรนทุราย แหวนรูปงูบนนิ้วของเขาส่องประกายประหลาด
เด็กชายรีบคลานเข้าไปหา พยายามเรียกชื่อแต่ไร้การตอบรับ ฟิโลโซเฟอร์จึงกดร่างบอบบางนั้นแนบลงบนเตียง เพราะไม่อยากให้เขากลิ้งไปกระแทกกำแพงจนบาดเจ็บ
สายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ ดารีลเลื่อนมือมาปิดปาก เด็กน้อยรู้ว่าเขากำลังจะกัดมือตัวเองจึงได้ดึงมือนั้นออก
แล้วส่งข้อมือตัวเองให้แทน เขารู้สึกถึงคมเขียวที่บาดลงในผิวจนเจ็บแปลบ แต่นั่นหาใช่สาระสำคัญไม่
เสียงกรงเล็บลากยาวมาถึงหน้าประตูบ้าน หนุ่มน้อยคนนั้นสะดุ้งเฮือก พลางชี้นิ้วข้างที่สวมแหวนไปที่ประตู เสียงทุกอย่างก็เงียบกริบลง ดารีลนั้นเริ่มหอบหายใจหนักหน่วง เลือดสีเข้มซึมมาถึงขอบริมฝีปาก
ฟิโลโซเฟอร์ครางเบาๆ เขาซับเลือดนั้นด้วยมืออันสั่นระริก
พ่อมดน้อยกระพริบตาถี่
เหมือนว่าสตินั้นจะคืนมาแล้ว
“ ข้าไม่เป็นไร ”
เขาบอกด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ นี่เรากำลังรอความตายอยู่หรือเปล่า ”
เด็กชายเอ่ยถาม
“ เจ้าไม่ตายหรอก ”
ดารีลว่า
“ อย่างน้อย ตราบที่ข้ายังอยู่เจ้าจะไม่เป็นอะไร ”
นี่คือคำตอบของความสงสัยทั้งปวง ว่าเหตุใดเขาจึงยืนอยู่ได้ในขณะที่คนอื่นล้มลง นั่นเป็นดารีลทุ่มพลังรักษาทั้งหมดมาที่เขา เป็นครั้งแรกที่เด็กชายตัวน้อยนั้นรู้สึกว่าดารีลช่างโง่นัก เขาควรปกป้องตัวเองให้แข็งแรงเอาไว้มิใช่หรือ เพราะตัวเขานั้นสำคัญกว่าคนทั้งปวง
ฟิโลโซเฟอร์ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม เขาจะต้องออกไปข้างนอก ถึงแม้จะรู้ว่าลมพายุนั้นรุนแรงเพียงใด เขาไม่สนอะไรทั้งนั้นต่อให้มีสิบเคอร์คารอลยืนเรียงรายรอต้อนรับที่หน้าประตู ก็ไม่ทำให้รู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย
เด็กชายกลับขึ้นไปบนเตียง คลุมผ้าให้ดารีลที่กำลังหลับ เขาเกลี่ยเส้นผมออกไปจากใบหน้าขาวซีดนั้นอย่างแผ่วเบา ในใจก็นึกสงสัยว่าใครกันช่างโหดร้าย กล้าทำลายสิ่งที่งดงามที่สุดได้
ฟิโลโซเฟอร์บีบมือของดารีลด้วยความห่วงใย แต่นั่นกลับกระตุ้นให้หนุ่มน้อยคนนั้นตื่น เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าสวมชุดคลุมหนา เขาก็คว้าข้อมือเอาไว้
“ จะไปไหน ”
“ ข้าจะไปตามคนมาช่วย ”
เด็กชายตอบ
“ ใคร เจ้าไม่รู้หรือพ่อมดดีมีนไปต่างเมือง ”
“ ข้ารู้ ”
“ เจ้าจะไปหาใครกันแน่ ”
ดารีลมีท่าทีหวาดระแวง
เด็กชายก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าตอบคำถามนั้น
“ เช่นนั้น บอกมาว่าจะไปที่แห่งใด ”
“ ข้าไปไม่ไกลหรอก แค่หัวมุมถนนตรงสี่แยกเปลี่ยวร้างสักที่ ”
พ่อมดน้อยตกตะลึง
“ เจ้าจะไปหาสตรีชุดแดง ข้าบอกเจ้าแล้ว ”
“ ใช่ เจ้าบอกข้า เจ้าบอกว่าคำแนะนำของนางเชื่อถือได้ แม้เจือด้วยความประสงค์ร้ายก็ตามที แต่ข้ามั่นใจว่าจะสามารถรับมือนางได้ ข้าตั้งใจเก็บนางไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย และตอนนี้เราก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ”
เด็กชายขึ้นเสียง
“ นางไม่ใช่ทางเลือก ไม่สมควรคิดถึงนางเสียด้วยซ้ำ ข้าบอกว่าข้ายังไหวเจ้าไม่เชื่อหรือไง ”
ฟิโลโซเฟอร์น้ำตาร่วง
เขาพร้อมจะเชื่อดารีลทุกอย่าง
เว้นแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว
ที่ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้แล้ว
หนุ่มน้อยกำมือให้กระชับเข้า
ทำให้รับรู้ว่าเรี่ยวแรงนั้นบางเบาเพียงใด
เด็กชายใจหายวาบ
ดารีลเคยแข็งแกร่งเสมอ
เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
แต่ฟิโลโซเฟอร์ก็ไม่กล้าดึงมือนั้นออก
ทำได้แค่เพียงนิ่งอยู่
และคิดว่าเมื่อดารีลหลับ
เขาจะรีบไปให้เร็วที่สุด
เพื่อเจ้าแล้วข้ายอมแลกทุกอย่าง
เสียงร้องกรีดแหลมดังขึ้นอีกคราวนี้มันดังตรงหน้าประตูเลยทีเดียว
เหมือนบ้านทั้งหลังสั่นไหว
ไฟในเตาดับวูบเหลือเพียงถ่านแดงๆ ที่ยังพอให้แสงสวาง
ดารีลสูดลมหายใจเฮือก
เขาเริ่มทุรนทุรายอีกครั้ง
ฟิโลโซเฟอร์กดไหล่เพื่อนรักเอาไว้
ไม่อยากให้เขาดิ้นรนมากไปกว่านี้
ในใจรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก
สิ่งที่อยู่ด้านนอกจะเป็นผู้ใช้มนต์ดำหรือปีศาจก็ตามแต่
เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย
ในความมืดสลัวดารีลได้พูดบางอย่างกับเขา
แต่เสียงนั้นแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน
เด็กชายจึงก้มลงไปเอาหน้าแนบชิด
“ ดาบของเจ้าล่ะ ”
ฟิโลโซเฟอร์คว้าดาบโบราณเล่มนั้น
ส่งให้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
อัญมณีสีแดงที่ประดับตรงด้ามดาบส่องประกายสีแดงเข้มสุดอำมหิต
แต่เมื่อดารีลเอื้อมมือไปสัมผัส
ประกายนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงอบอุ่นงดงามในทันที
แล้วทุกอย่างก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
ความมืดหายไปพร้อมกับแสงสว่างที่ปรากฏบนท้องฟ้า
ไฟในเตาก็กลับมาสว่างไสว
เสียงลมเสียงกรีดร้องหายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่
ฟิโลโซเฟอร์เปิดม่านหน้าต่างให้แสงแดดทอเข้ามา
แม้จะไม่ทำให้อุ่นมากนักแต่ก็ใจชื้นขึ้นได้
ดารีลนั้นหลับไปอีกครั้งด้วยลมหายใจที่สม่ำเสมอ
สีเลือดเริ่มกลับมาปรากฏบนใบหน้า
เด็กชายวางดาบเล่มนั้นไว้ใกล้ๆ เขา
จับสองมือวางประสานกันตรงช่วงท้อง
แล้วคลุมผ้าให้
ดารีลเวลาหลับนั้นเหมือนเด็ก
งดงามบริสุทธิ์และไร้เดียงสา
ต่างกับตอนตื่น
ที่ดูเคร่งขรึมและเจ้าระเบียบตลอดเวลา
เด็กชายชาวซีนาร์ยเดินไปเปิดประตูบ้าน
เขาต้องตกตะลึง
ที่เห็นทุ่งหญ้าสีเขียวฉาบไปด้วยน้ำแข็ง
แม้แต่บนกลังคาบ้านก็ยังมีน้ำแข็งงอกลงมาเป็นแท่งๆ
ราวกับเขี้ยวของปีศาจร้าย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ