โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
7.3
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
188 บทที่
11 วิจารณ์
137.92K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
100) ยาขม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อเช้าวันใหม่ย่างกรายเข้ามาท้องฟ้ามีแสงแดดจางๆ แต่อากาศก็ยังไม่สู้ดี ฟิโลโซเฟอร์ตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตามตัว คาโอเรียนั่งคลุมผ้านวมตรงหน้ากองไฟก่อนแล้ว ข้างกายมีถ้วยนมร้อนวางอยู่มันพร่องไปกว่าครึ่ง นางหันมาส่งยิ้มให้พี่ชายที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ใบหน้าของทั้งคู่นั้นยังคงมีวี่แววของความอิดโรย
“ ตื่นแล้วหรือลูก ”
คาโลไรน์ร้องทักนางยกน้ำซุบร้อนๆ ลงจากเตา ใต้ขอบตาของนางมีวงดำคล้ำ เด็กชายรู้สึกหิวขึ้นมาทันที เขายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นวาน
วันนี้พวกเขาหยุดเรียน คาโอเรียออกอาการว่าจะเป็นไข้ อาเธอร์สอนให้ลูกๆ นวดเท้าทั้งวันเพราะมันบวมเป่ง โชคดีที่คาโอเรียไม่เป็นอะไรมาก พ่อมดดีมีนแวะมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น เขาแนะนำว่าควรจะให้เด็กทั้งสองย้ายเข้าไปอยู่ในหอนอนของปราสาทขาว เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเดินทางไปกลับ พ่อมดยังบอกอีกว่าเด็กทั้งสองโชคดีเพราะมีนักเดินทางห้าคนที่สูญหายไปในพายุ จนป่านนี้ยังหาตัวไม่พบ และเขาต้องเดินทางไปกัลทีลอท คงไม่ได้แวะมาบ่อยๆ แล้วยังเตือนฟิโลโซเฟอร์ให้ดื่มยาจนหมดถ้วย
เช้าวันถัดมาแสงแดดได้หายไปอีกครั้ง พร้อมกับอาการไข้ของเด็กๆ ก็กลับมา แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนคนอื่นๆ ต่างก็ล้มป่วยไปด้วย ฟิโลโซเฟอร์พยุงร่างไปดูพ่อกับแม่เห็นพวกเขานอนเพ้อไม่รู้สึกตัว คาโอเรียก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เด็กชายรู้สึกทันทีว่านี่ไม่ดีแน่ตัวเขาเองก็หนาวทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก
เด็กชายผู้พลัดถิ่นเดินไปที่ลังไม้เก็บฟืนตรงข้างห้อง จัดการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในเตาผิง เขามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆสีดำหมุนคว้าง ไฟในเตาลุกโชนแต่ไม่สามารถทำให้ห้องอุ่นขึ้นเลย ถึงเขาจะยังเด็กแต่ก็สามารถเข้าใจได้ พายุกำลังก่อตัวอีกครั้งและมันดูไม่ปรกติเอามากๆ
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาอันเป็นห้องนอนของเขา หยิบดาบโบราณเล่มนั้นออกมา อัญมณีสีแดงที่ประดับบนด้ามดาบเปร่งประกายขุ่นมัวน่าสยองขวัญ แต่เด็กชายไม่ทันสังเกตและไม่คิดสงสัย เขานำมันมาซ่อนไว้ใต้ที่นอนชั่วคราวในชั้นล่าง ตรงห้องรับแขกใกล้กับเตาผิง
แต่ความวิตกกังวลยังไม่หายไป ในขณะที่คนอื่นไม่ได้สติและตัวของเขาก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เด็กชายตัวน้อยจึงหยิบกระพรวนทองเหลืองของดารีลขึ้นมา มันทอประกายงดงามกับเปลวไฟ เขาไม่กล้าเขย่าเพราะไม่แน่ใจว่าขณะนี้เจ้าของกระพรวนกำลังทำอะไรอยู่ บางทีหมอนั่นอาจกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยาก
“ ดารีล เจ้าปรอดภัยหรือเปล่า ”
ฟิโลโซเฟอร์กระซิบกับกระพรวนในมือ ทันใดสายลมก็พัดมาวูบหนึ่ง โดยไร้ที่มาที่ไปทั้งที่ห้องนั้นปิดแน่น มันเป็นสายลมที่ละเมียดละไม น่าลุ่มหลง เด็กชายหันมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่พบสิ่งใด เขาคิดว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ดีแน่ จึงตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม คิดแค่ว่าต้องตามคนมาช่วย
เขาควานตามโต๊ะเก้าอี้เพื่อใช้พยุงร่างไปจนถึงประตู ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแต่บรรยากาศด้านนอกกลับมืดสลัว แม้จะเหนื่อยอ่อนจนแทบยืนไม่ไหวเด็กชายชาวซีนาร์ยก็ยังฝืนทน เขากัดฟันดึงประตูเปิดออกพร้อมกับลมแรงที่โหมซัดเข้ามา หิมะตกแล้วแต่มันกลับกลายเป็นไอสีดำปลิวคละคลุ้ง เป็นภาพที่คุ้นเคยเหมือนกับที่มักปรากฏในฝันร้าย
ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาด้วยความงุนงง แล้วสิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างสูงสีดำยืนอยู่ตรงนั้น เด็กชายอ้าปากค้างนี่เขาฝันอีกแล้วหรือ แต่คราวนี้มันชัดเจนและดูเป็นจริงเป็นจังมาก ซ้ำร้ายร่างนั้นยังเคลื่อนใกล้เข้ามา เด็กชายก้าวถอยหลังอย่างหวาดหวั่น คนตรงหน้านี่เป็นใครกัน
เด็กน้อยคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้องสาว เขาจำเป็นต้องสู้หรือเปล่า คนผู้นี้ประสงค์สิ่งใดแต่ทุกอย่างก็เริ่มพร่าเลือน เขาฝืนต่อไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเขาก็ล้มลงในอ้อมแขนของใครบางคน ก่อนที่สติจะสิ้นไปเขายังได้กลิ่นหอมจางๆ กลิ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
รสขมปร่าที่ริมฝีปากทำให้เขาพยายามป่ายปัดออก
“ หยุดนะเจ้ากำลังทำยาหกหมด ”
เสียงนุ่มนวลเอ่ยเตือนจากที่ใกล้ๆ
โลโซเฟอร์เปิดเปลือกตาขึ้นมาทันที
ดารีลอยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วยเขากำลังพยายามจับถ้วยยาเข้าไปชิดริมฝีปากของเด็กชาย
เด็กน้อยก้มลงดื่มยาที่กลิ่นฉุนและขมรุนแรงนั้นแล้วสำลัก
“ เสียใจด้วย ข้าเติมน้ำตาลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้าต้องดื่มให้หมดในคราเดียว ”
เหมือนต้องมนต์สะกด
โลโซเฟอร์ได้ฝืนดื่มยาจนหมดแม้จะขมเพียงใดก็ตาม
กลางห้องมีหม้อดินใบใหญ่ตั้งอยู่บนเตาหิน
มันเดือดพล่านส่งกล่นหอมที่สูดแล้วทำให้ร่างกายอุ่นวูบวาบ
รายล้อมหม้อนั้นคืออาเธอร์คาโลไรน์และคาโอเรีย
ไฟในเตาผิงลุกโชตช่วง
มันเป็นไฟสีฟ้าที่ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง
ฟิโลโซเฟอร์รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเวทมนต์ของดารีล
“ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ”
เด็กชายถามพลางยันร่างขึ้นจากที่นอน
“ ขี่ม้ามา ”
หนุ่มน้อยตอบสั้นๆ แล้วเดินโซเซไปยังหม้อต้มยา
ใบหน้าของเขาขาวซีด
และร่างของเขาก็เย็นเฉียบ
“ ข้าหมายถึงเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการความช่วยเหลือ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเงียบไปนานก่อนจะตอบ
“ ก็เจ้าเรียกข้าเอง มิใช่หรือ ”
“ อ้อ กระพรวนอันนั้น ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลยรู้ไหม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโอรีเวียคนอื่นๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง ข้าหมายถึง ”
“ ช่างมันเถอะ ”
พ่อมดน้อยตัดบทก่อนที่เขาจะพูดจบ
“ ทุกอย่างได้จบลงแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เจ้าหมายถึงคิดว่าปรอดภัยดีกันทุกคน เมื่อเจ้ากลับไปปราสาทขาวก็จะรู้เรื่องทุกอย่าง ข้าเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ ”
เขาว่า
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์เรียกด้วยน้ำเสียงกังวล
ดารีลหันมาช้าๆ เอียงคอน้อยๆ ตามแบบของเขาเวลาข้องใจ
ไฟสีฟ้าจากเตาส่องกระทบใบหน้าครึ่งหนึ่ง
เกิดแสงเงาที่ดูประหลาด
“ เจ้าปรกติดีหรือเปล่า ”
“ ถ้าข้าตอบว่าไม่เป็นไร ก็คงเป็นการโกหกคำโตเลยล่ะ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่าพลางเทผงอย่างหนึ่งลงในหม้อดิน
จนเกิดไอสีเขียวลอยคลุ้งขึ้นมา
“ ข้าแอบเข้าครัวของเจ้า หิวหรือไม่ มีข้าวโอตต้มกับซุบถั่วอยู่นะ ”
ดารีลเปลี่ยนเรื่อง
ก่อนที่เด็กชายตัวยุ่งจะถามมากไปกว่านี้
“ ขอซุบถั่ว ”
เพียงเวลาไม่นานเขาก็ตักอาหารออกมาให้
ฟิโลโซเฟอร์กินด้วยความหิวโหย
เขารู้สึกประหลาดใจที่ซุบถั่วนี้ไม่หนักเครื่องเทศตามแบบของโอรีเวีย
“ นี่เจ้าปรุงเองหรือ ”
“ ทำไมล่ะ รสชาติแย่มากหรือไง พอดีว่าข้าไม่ถนัดเข้าครัวและไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ต้องมานั่งทำอาหารเพื่อใคร ฝืนกินไปก่อนแล้วกัน รอแม่ของเจ้าฟื้นค่อยว่ากันใหม่ ”
ดารีลตอบ
ตอนนี้เขาอยู่กับคาโอเรีย
มือข้างหนึ่งรั้งร่างนางเอาไว้เพื่อที่จะป้อนยา
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่ประหลาดใจที่มันอร่อยเกินคาด ข้าคิดว่าอย่างเจ้านี่เปิดร้านขายอาหารได้สบายเลย ”
เด็กชายชื่นชม
“ ตลกละ ”
พ่อมดน้อยว่า
“ ข้าอยากให้เจ้าพักบ้าง ดูเหมือนเจ้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์เป็นห่วง
ดารีลเงยหน้าขึ้นมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ เป็นข้อเสนอที่เข้าท่า ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ”
คืนนั้นดารีลยังอยู่กับครอบครัวของอาเธอร์
เขาตรวจดูอาการไข้
ป้อนยา
และช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงให้ด้วย
กลางดึกคืนนั้นฟิโลโซเฟอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนาวสั่น เขาหันไปมองเตาผิงไฟสีฟ้าในเตาลดลงกว่าครึ่ง ส่วนดารีลนั้นนั่งอยู่กับพื้นข้างๆ เตียงของเขา ใบหน้านั้นซุกซ่อนอยู่เหนือเข่า เด็กชายตัวน้อยเชื่อว่าเจ้าของร่างนั้นคงหลับไปแล้ว จึงค่อยๆ คลานลงจากเตียงเพื่อไปหา เมื่อเขาวางมือบนไหล่ดารีลก็ตอบสนองรวดเร็วแบบที่คุ้นเคยกันดี มีดสีดำเล่มเล็กได้มาจ่อที่ปลายคางของเด็กน้อยในชั่วพริบตา ก่อนที่เจ้าของร่างผู้สวมชุดคลุมดำจะเงยหน้าขึ้น เมื่อแล้วเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าเขาก็หดมีดกลับ พร้อมกับกล่าวพึมพำที่ฟังดูเหมือนคำขอโทษ ฟิโลโซเฟอร์มองเห็นความอิดโรยของเขาก็รู้สึกเศร้าใจ
“ ดารีลเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ มันกว้างใหญ่พอสำหรับคนสองคน ”
เด็กน้อยว่า
“ ข้าไม่ชิน ”
“ โธ่เอ๋ย ก็แค่นอนลงไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความชำนาญอะไรเลย ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาฟุบหน้าลงบนเข่าแล้วนิ่งเงียบ
“ เอาล่ะ ข้าคิดว่าคงต้องใช้กำลังกับเจ้าแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
เขาช้อนเอาร่างดารีลแล้วลากขึ้นบนเตียง
หนุ่มน้อยหน้ามนพยายามขัดขืน
แต่เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
เด็กชายประคองเขาให้เข้าไปด้านในชิดผนังริมหน้าต่าง
เพื่อเขาจะได้นอนอีกฟากหนึ่ง
คอยกันไม่ให้หนุ่มคนนั้นกลิ้งตกเตียง
ดารีลพยายามลุกขึ้น
แต่ก็ถูกจับกดราบลงบนเตียงอีกครั้ง
“ อยู่เฉยๆ ข้าไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัวหรอก เชื่อเถอะมันไม่ได้แย่เลย บางทีเจ้าอาจติดใจก็ได้ ”
“ ข้าสมควรต้องโมโหหรือยัง ”
“ ดารีลข้าขอล่ะ เจ้าต้องพักผ่อนเสียบ้าง ถ้าขืนยังดิ้นไม่หยุดข้าจะทำให้ลืมไม่ลงเลย ”
เด็กชายทำตาเจ้าเล่ห์
และได้ผลดารีลถึงกับชะงักกึก
“ คิดจะทำอะไรกันแน่ ”
ยังไม่ทันได้ตอบ
สายลมแรงก็กระแทกเข้ากับตัวบ้าน
ไฟในเตาลดวูบลงอีกแต่ก็ถึงกับไม่ดับ
ดารีลดึงผ้าม่านปิดหน้าต่างกระจกนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทั้งที่มันเป็นพายุหิมะแต่กลับมีฟ้าแลบแปลบปลาบ
ดูน่าพิศวงยิ่งนัก
ลมโหมกระหน่ำใส่ตัวบ้านรุนแรง
พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ
อากาศในบ้านเย็นเยือกลงทันใด
ฟิโลโซเฟอร์รีบเติมฟืนให้เตาผิง
แต่ก็ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย
ไฟในเตาค่อยๆ ดับลง
“ ไม่มีประโยชน์หรอก ”
ดารีลว่าพลางโยนห่อกำยานไปให้
“ เผามัน ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยก็รับมาเผาอย่างว่าง่าย
กลิ่นกำยานหอมฟุ้งทั่วห้อง
ไฟในเตากลับมาสว่างพรึบห้องของพวกเขาจึงอบอุ่นขึ้น
แม้แต่ลมพายุด้านนอกก็จางลง
“ มีคนใช้มนต์ดำหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตกใจ
เพราะดารีลเคยบอกว่าผงกำยานสามารถทำลายมนต์ดำได้
“ จากที่อื่นน่ะ อย่าวิตกไป มันแค่สะเทือนมาถึงเท่านั้นเอง ”
เด็กชายผู้พลัดถิ่นจึงไปตรวจดูคนอื่นๆ
ว่าห่มผ้าเรียบร้อยดีหรือยัง
จากนั้นจึงเอาผ้านวมไปอังไฟให้อุ่นจัด
แล้วนำมาคลุมร่างให้ดารีลอย่างเบามือ
หนุ่มน้อยนั้นไม่คุ้นเคยกับการนอนบนเตียง
เขาพลิกไปมาเพื่อหามุมที่เหมาะสม
ฟิโลโซเฟอร์ล้มตัวลงนอนข้างๆ พลางอมยิ้ม
ไม่คิดว่าดารีลจะไร้เดียงสาเป็นกับเขาด้วย
เขาเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบโบราณเล่มนั้น
และหวังว่าจะสามารถปกป้องทุกคนได้
“ ตื่นแล้วหรือลูก ”
คาโลไรน์ร้องทักนางยกน้ำซุบร้อนๆ ลงจากเตา ใต้ขอบตาของนางมีวงดำคล้ำ เด็กชายรู้สึกหิวขึ้นมาทันที เขายังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นวาน
วันนี้พวกเขาหยุดเรียน คาโอเรียออกอาการว่าจะเป็นไข้ อาเธอร์สอนให้ลูกๆ นวดเท้าทั้งวันเพราะมันบวมเป่ง โชคดีที่คาโอเรียไม่เป็นอะไรมาก พ่อมดดีมีนแวะมาเยี่ยมอีกครั้งในตอนบ่ายของวันนั้น เขาแนะนำว่าควรจะให้เด็กทั้งสองย้ายเข้าไปอยู่ในหอนอนของปราสาทขาว เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเดินทางไปกลับ พ่อมดยังบอกอีกว่าเด็กทั้งสองโชคดีเพราะมีนักเดินทางห้าคนที่สูญหายไปในพายุ จนป่านนี้ยังหาตัวไม่พบ และเขาต้องเดินทางไปกัลทีลอท คงไม่ได้แวะมาบ่อยๆ แล้วยังเตือนฟิโลโซเฟอร์ให้ดื่มยาจนหมดถ้วย
เช้าวันถัดมาแสงแดดได้หายไปอีกครั้ง พร้อมกับอาการไข้ของเด็กๆ ก็กลับมา แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนคนอื่นๆ ต่างก็ล้มป่วยไปด้วย ฟิโลโซเฟอร์พยุงร่างไปดูพ่อกับแม่เห็นพวกเขานอนเพ้อไม่รู้สึกตัว คาโอเรียก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เด็กชายรู้สึกทันทีว่านี่ไม่ดีแน่ตัวเขาเองก็หนาวทิ่มแทงเข้าถึงกระดูก
เด็กชายผู้พลัดถิ่นเดินไปที่ลังไม้เก็บฟืนตรงข้างห้อง จัดการเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในเตาผิง เขามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเมฆสีดำหมุนคว้าง ไฟในเตาลุกโชนแต่ไม่สามารถทำให้ห้องอุ่นขึ้นเลย ถึงเขาจะยังเด็กแต่ก็สามารถเข้าใจได้ พายุกำลังก่อตัวอีกครั้งและมันดูไม่ปรกติเอามากๆ
ฟิโลโซเฟอร์วิ่งขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาอันเป็นห้องนอนของเขา หยิบดาบโบราณเล่มนั้นออกมา อัญมณีสีแดงที่ประดับบนด้ามดาบเปร่งประกายขุ่นมัวน่าสยองขวัญ แต่เด็กชายไม่ทันสังเกตและไม่คิดสงสัย เขานำมันมาซ่อนไว้ใต้ที่นอนชั่วคราวในชั้นล่าง ตรงห้องรับแขกใกล้กับเตาผิง
แต่ความวิตกกังวลยังไม่หายไป ในขณะที่คนอื่นไม่ได้สติและตัวของเขาก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เด็กชายตัวน้อยจึงหยิบกระพรวนทองเหลืองของดารีลขึ้นมา มันทอประกายงดงามกับเปลวไฟ เขาไม่กล้าเขย่าเพราะไม่แน่ใจว่าขณะนี้เจ้าของกระพรวนกำลังทำอะไรอยู่ บางทีหมอนั่นอาจกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องยุ่งยาก
“ ดารีล เจ้าปรอดภัยหรือเปล่า ”
ฟิโลโซเฟอร์กระซิบกับกระพรวนในมือ ทันใดสายลมก็พัดมาวูบหนึ่ง โดยไร้ที่มาที่ไปทั้งที่ห้องนั้นปิดแน่น มันเป็นสายลมที่ละเมียดละไม น่าลุ่มหลง เด็กชายหันมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่พบสิ่งใด เขาคิดว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ดีแน่ จึงตัดสินใจคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวม คิดแค่ว่าต้องตามคนมาช่วย
เขาควานตามโต๊ะเก้าอี้เพื่อใช้พยุงร่างไปจนถึงประตู ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแต่บรรยากาศด้านนอกกลับมืดสลัว แม้จะเหนื่อยอ่อนจนแทบยืนไม่ไหวเด็กชายชาวซีนาร์ยก็ยังฝืนทน เขากัดฟันดึงประตูเปิดออกพร้อมกับลมแรงที่โหมซัดเข้ามา หิมะตกแล้วแต่มันกลับกลายเป็นไอสีดำปลิวคละคลุ้ง เป็นภาพที่คุ้นเคยเหมือนกับที่มักปรากฏในฝันร้าย
ฟิโลโซเฟอร์กระพริบตาด้วยความงุนงง แล้วสิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างสูงสีดำยืนอยู่ตรงนั้น เด็กชายอ้าปากค้างนี่เขาฝันอีกแล้วหรือ แต่คราวนี้มันชัดเจนและดูเป็นจริงเป็นจังมาก ซ้ำร้ายร่างนั้นยังเคลื่อนใกล้เข้ามา เด็กชายก้าวถอยหลังอย่างหวาดหวั่น คนตรงหน้านี่เป็นใครกัน
เด็กน้อยคิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้องสาว เขาจำเป็นต้องสู้หรือเปล่า คนผู้นี้ประสงค์สิ่งใดแต่ทุกอย่างก็เริ่มพร่าเลือน เขาฝืนต่อไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเขาก็ล้มลงในอ้อมแขนของใครบางคน ก่อนที่สติจะสิ้นไปเขายังได้กลิ่นหอมจางๆ กลิ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
รสขมปร่าที่ริมฝีปากทำให้เขาพยายามป่ายปัดออก
“ หยุดนะเจ้ากำลังทำยาหกหมด ”
เสียงนุ่มนวลเอ่ยเตือนจากที่ใกล้ๆ
โลโซเฟอร์เปิดเปลือกตาขึ้นมาทันที
ดารีลอยู่ตรงนี้จริงๆ ด้วยเขากำลังพยายามจับถ้วยยาเข้าไปชิดริมฝีปากของเด็กชาย
เด็กน้อยก้มลงดื่มยาที่กลิ่นฉุนและขมรุนแรงนั้นแล้วสำลัก
“ เสียใจด้วย ข้าเติมน้ำตาลมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้าต้องดื่มให้หมดในคราเดียว ”
เหมือนต้องมนต์สะกด
โลโซเฟอร์ได้ฝืนดื่มยาจนหมดแม้จะขมเพียงใดก็ตาม
กลางห้องมีหม้อดินใบใหญ่ตั้งอยู่บนเตาหิน
มันเดือดพล่านส่งกล่นหอมที่สูดแล้วทำให้ร่างกายอุ่นวูบวาบ
รายล้อมหม้อนั้นคืออาเธอร์คาโลไรน์และคาโอเรีย
ไฟในเตาผิงลุกโชตช่วง
มันเป็นไฟสีฟ้าที่ให้ความอบอุ่นอย่างทั่วถึง
ฟิโลโซเฟอร์รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเวทมนต์ของดารีล
“ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ”
เด็กชายถามพลางยันร่างขึ้นจากที่นอน
“ ขี่ม้ามา ”
หนุ่มน้อยตอบสั้นๆ แล้วเดินโซเซไปยังหม้อต้มยา
ใบหน้าของเขาขาวซีด
และร่างของเขาก็เย็นเฉียบ
“ ข้าหมายถึงเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการความช่วยเหลือ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นเงียบไปนานก่อนจะตอบ
“ ก็เจ้าเรียกข้าเอง มิใช่หรือ ”
“ อ้อ กระพรวนอันนั้น ข้าเป็นห่วงเจ้ามากเลยรู้ไหม แล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโอรีเวียคนอื่นๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง ข้าหมายถึง ”
“ ช่างมันเถอะ ”
พ่อมดน้อยตัดบทก่อนที่เขาจะพูดจบ
“ ทุกอย่างได้จบลงแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เจ้าหมายถึงคิดว่าปรอดภัยดีกันทุกคน เมื่อเจ้ากลับไปปราสาทขาวก็จะรู้เรื่องทุกอย่าง ข้าเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ ”
เขาว่า
“ ดารีล ”
ฟิโลโซเฟอร์เรียกด้วยน้ำเสียงกังวล
ดารีลหันมาช้าๆ เอียงคอน้อยๆ ตามแบบของเขาเวลาข้องใจ
ไฟสีฟ้าจากเตาส่องกระทบใบหน้าครึ่งหนึ่ง
เกิดแสงเงาที่ดูประหลาด
“ เจ้าปรกติดีหรือเปล่า ”
“ ถ้าข้าตอบว่าไม่เป็นไร ก็คงเป็นการโกหกคำโตเลยล่ะ ”
หนุ่มน้อยคนนั้นว่าพลางเทผงอย่างหนึ่งลงในหม้อดิน
จนเกิดไอสีเขียวลอยคลุ้งขึ้นมา
“ ข้าแอบเข้าครัวของเจ้า หิวหรือไม่ มีข้าวโอตต้มกับซุบถั่วอยู่นะ ”
ดารีลเปลี่ยนเรื่อง
ก่อนที่เด็กชายตัวยุ่งจะถามมากไปกว่านี้
“ ขอซุบถั่ว ”
เพียงเวลาไม่นานเขาก็ตักอาหารออกมาให้
ฟิโลโซเฟอร์กินด้วยความหิวโหย
เขารู้สึกประหลาดใจที่ซุบถั่วนี้ไม่หนักเครื่องเทศตามแบบของโอรีเวีย
“ นี่เจ้าปรุงเองหรือ ”
“ ทำไมล่ะ รสชาติแย่มากหรือไง พอดีว่าข้าไม่ถนัดเข้าครัวและไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้ต้องมานั่งทำอาหารเพื่อใคร ฝืนกินไปก่อนแล้วกัน รอแม่ของเจ้าฟื้นค่อยว่ากันใหม่ ”
ดารีลตอบ
ตอนนี้เขาอยู่กับคาโอเรีย
มือข้างหนึ่งรั้งร่างนางเอาไว้เพื่อที่จะป้อนยา
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก แค่ประหลาดใจที่มันอร่อยเกินคาด ข้าคิดว่าอย่างเจ้านี่เปิดร้านขายอาหารได้สบายเลย ”
เด็กชายชื่นชม
“ ตลกละ ”
พ่อมดน้อยว่า
“ ข้าอยากให้เจ้าพักบ้าง ดูเหมือนเจ้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์เป็นห่วง
ดารีลเงยหน้าขึ้นมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ เป็นข้อเสนอที่เข้าท่า ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ”
คืนนั้นดารีลยังอยู่กับครอบครัวของอาเธอร์
เขาตรวจดูอาการไข้
ป้อนยา
และช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงให้ด้วย
กลางดึกคืนนั้นฟิโลโซเฟอร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนาวสั่น เขาหันไปมองเตาผิงไฟสีฟ้าในเตาลดลงกว่าครึ่ง ส่วนดารีลนั้นนั่งอยู่กับพื้นข้างๆ เตียงของเขา ใบหน้านั้นซุกซ่อนอยู่เหนือเข่า เด็กชายตัวน้อยเชื่อว่าเจ้าของร่างนั้นคงหลับไปแล้ว จึงค่อยๆ คลานลงจากเตียงเพื่อไปหา เมื่อเขาวางมือบนไหล่ดารีลก็ตอบสนองรวดเร็วแบบที่คุ้นเคยกันดี มีดสีดำเล่มเล็กได้มาจ่อที่ปลายคางของเด็กน้อยในชั่วพริบตา ก่อนที่เจ้าของร่างผู้สวมชุดคลุมดำจะเงยหน้าขึ้น เมื่อแล้วเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้าเขาก็หดมีดกลับ พร้อมกับกล่าวพึมพำที่ฟังดูเหมือนคำขอโทษ ฟิโลโซเฟอร์มองเห็นความอิดโรยของเขาก็รู้สึกเศร้าใจ
“ ดารีลเจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ มันกว้างใหญ่พอสำหรับคนสองคน ”
เด็กน้อยว่า
“ ข้าไม่ชิน ”
“ โธ่เอ๋ย ก็แค่นอนลงไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความชำนาญอะไรเลย ”
หนุ่มน้อยไม่ตอบ
เขาฟุบหน้าลงบนเข่าแล้วนิ่งเงียบ
“ เอาล่ะ ข้าคิดว่าคงต้องใช้กำลังกับเจ้าแล้ว ”
ฟิโลโซเฟอร์กล่าว
เขาช้อนเอาร่างดารีลแล้วลากขึ้นบนเตียง
หนุ่มน้อยหน้ามนพยายามขัดขืน
แต่เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว
เด็กชายประคองเขาให้เข้าไปด้านในชิดผนังริมหน้าต่าง
เพื่อเขาจะได้นอนอีกฟากหนึ่ง
คอยกันไม่ให้หนุ่มคนนั้นกลิ้งตกเตียง
ดารีลพยายามลุกขึ้น
แต่ก็ถูกจับกดราบลงบนเตียงอีกครั้ง
“ อยู่เฉยๆ ข้าไม่ทำให้เจ้าเจ็บตัวหรอก เชื่อเถอะมันไม่ได้แย่เลย บางทีเจ้าอาจติดใจก็ได้ ”
“ ข้าสมควรต้องโมโหหรือยัง ”
“ ดารีลข้าขอล่ะ เจ้าต้องพักผ่อนเสียบ้าง ถ้าขืนยังดิ้นไม่หยุดข้าจะทำให้ลืมไม่ลงเลย ”
เด็กชายทำตาเจ้าเล่ห์
และได้ผลดารีลถึงกับชะงักกึก
“ คิดจะทำอะไรกันแน่ ”
ยังไม่ทันได้ตอบ
สายลมแรงก็กระแทกเข้ากับตัวบ้าน
ไฟในเตาลดวูบลงอีกแต่ก็ถึงกับไม่ดับ
ดารีลดึงผ้าม่านปิดหน้าต่างกระจกนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทั้งที่มันเป็นพายุหิมะแต่กลับมีฟ้าแลบแปลบปลาบ
ดูน่าพิศวงยิ่งนัก
ลมโหมกระหน่ำใส่ตัวบ้านรุนแรง
พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงใกล้ๆ
อากาศในบ้านเย็นเยือกลงทันใด
ฟิโลโซเฟอร์รีบเติมฟืนให้เตาผิง
แต่ก็ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรเลย
ไฟในเตาค่อยๆ ดับลง
“ ไม่มีประโยชน์หรอก ”
ดารีลว่าพลางโยนห่อกำยานไปให้
“ เผามัน ”
เด็กชายชาวซีนาร์ยก็รับมาเผาอย่างว่าง่าย
กลิ่นกำยานหอมฟุ้งทั่วห้อง
ไฟในเตากลับมาสว่างพรึบห้องของพวกเขาจึงอบอุ่นขึ้น
แม้แต่ลมพายุด้านนอกก็จางลง
“ มีคนใช้มนต์ดำหรือ ”
ฟิโลโซเฟอร์ตกใจ
เพราะดารีลเคยบอกว่าผงกำยานสามารถทำลายมนต์ดำได้
“ จากที่อื่นน่ะ อย่าวิตกไป มันแค่สะเทือนมาถึงเท่านั้นเอง ”
เด็กชายผู้พลัดถิ่นจึงไปตรวจดูคนอื่นๆ
ว่าห่มผ้าเรียบร้อยดีหรือยัง
จากนั้นจึงเอาผ้านวมไปอังไฟให้อุ่นจัด
แล้วนำมาคลุมร่างให้ดารีลอย่างเบามือ
หนุ่มน้อยนั้นไม่คุ้นเคยกับการนอนบนเตียง
เขาพลิกไปมาเพื่อหามุมที่เหมาะสม
ฟิโลโซเฟอร์ล้มตัวลงนอนข้างๆ พลางอมยิ้ม
ไม่คิดว่าดารีลจะไร้เดียงสาเป็นกับเขาด้วย
เขาเอื้อมมือไปแตะด้ามดาบโบราณเล่มนั้น
และหวังว่าจะสามารถปกป้องทุกคนได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ