โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )
เขียนโดย shilen
วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
99) พบกันในความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟิโลโซเฟอร์รู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยผ้านวมทับจนหนัก แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะอุ่นขึ้นสักเท่าไหร่ ฟันของเขากระทบกันกึกๆ เมื่อลืมตาขึ้นภาพที่เห็นยังพร่ามัว ประกายไฟเต้นยิบๆ ติดตรงเพดาน เขาพยายามขยับตัวแต่ไม่สำเร็จร่างกายของเขาปวดระบมไปทั้งร่าง เสียงพึมพำเหมือนใครกำลังพูดคุยกันดังมาจากที่แสนไกลจนแทบจะจับใจความไม่ได้ เด็กชายเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกัน เสียงเหล่านั้นฟังดูคุ้นเคย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ
“ พอข้าได้ยินพวกนั้นพูดกันข้าก็รีบตามออกมาทันที ”
เสียงพ่อมดดีมีนพูดขึ้น
“ แต่ก็ยังช้าไปอยู่ดี ตอนที่ก้าวพ้นกำแพงเมืองความมืดก็คลุมอยู่ก่อนแล้ว ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยข้าได้แต่หวัง ”
“ ขอบคุณจริงๆ ที่มันไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ”
เสียงคาโลไรน์เหมือนจะร้องให้
“ ต้องโทษข้าที่ไม่ทันระวังว่าจะมีเด็กคนไหนเดินฝ่าออกมา ทั้งที่สภาพอากาศเลวร้ายอย่างนั้น ”
“ ข้าแทบไม่เชื่อ โอรีเวียเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร ”
อาเธอร์ว่า
“ มันไม่ใช่พายุธรรมดาหากแต่เกิดจากมนต์ดำ มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เขาคนนั้นร่ายมนต์ฝ่าคาถาป้องกัน นี่ถ้าไม่ถูกสกัดไว้ก่อนพายุจะรุนแรงกว่านี้อีก ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยว่าจะมีนักเวทย์ที่มีพลังมากมายขนาดนี้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาข้าเคยพบเห็นเพียงคนๆ เดียวแต่คนผู้นั้นก็ไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว ข้าเกรงว่าสภาพ่อมดจะเจอกับปัญหาใหญ่เสียแล้ว ”
“ แล้วเขาเป็นใครกัน มีจุดประสงค์อันใดจึงทำร้ายลูกของข้า ”
คาโลไรน์ว่า
“ เขาไม่ได้ประสงค์ชีวิตใครเป็นพิเศษหรอก บุคคลผู้นี้จะเป็นใครก็ตาม ข้าเชื่อว่าถ้าเขาลงมือคงไม่ใช่แค่อยากฆ่าใครเล่นเท่านั้น ”
พ่อมดเฒ่าว่า
“ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเป็นทายาทของกษัตริย์ควอซาร์ ”
พ่อมดส่งสัญญาณให้เบาเสียงลง
“ อย่าพูดดังไป ทางสภาคงไม่ชอบใจแน่ แต่ข้าเชื่อว่าหลายคนก็กังวลเรื่องนี้ ท่านประธานสภาไม่ชอบให้ใครเอ่ยถึงจึงไม่มีการกล้าเอ่ยในที่ประชุม อีกทั้งก็ยังไม่มีหลักฐานว่าเขามีทายาทอยู่จริง ถึงอย่างไรเรื่องทายาทอะไรนั่นตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ข่าวลือ ”
“ เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นตัวเขาเองที่ทำเรื่องแบบนี้ ”
คาโลไรน์พูดขึ้นบ้าง
“ ไม่มีทางหรอก เพราะข้าเองที่เป็นคนส่งร่างของเขา จึงมั่นใจว่าเขาได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่เอาเข้าจริงทั้งค่ายมนต์ดำในป่า ทั้งการโจมตีในโอรีเวีย ข้าเชื่อว่าเป็นฝีมือของคนเดียวกัน ที่น่าตกใจคือพลังที่ดำมืดนั้นมีส่วนคล้ายควอซาร์เป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคนผู้นี้ไม่ใช่ควอซาร์ก็ต้องเป็นสายเลือดใกล้ชิด และการมาของเขาคงไม่ได้แค่มาทักทายด้วยความคิดถึง ”
ดีมีนให้ความเห็น
“ จากที่ท่านเล่ามา การโจมตีที่รุนแรงขนาดนั้นแต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับน้อยเกินคาด บางทีคนๆ นี้อาจไม่ได้ตั้งใจทำในสิ่งที่เรากำลังคิดกันอยู่ เขาอาจประสงค์สิ่งอื่น ”
อาเธอร์ว่า
“ อย่างเช่นอะไร ”
พ่อมดถาม
“ ข้าไม่รู้ แค่เดาจากความเป็นไปได้ ถ้าเขาเป็นชาวเมืองคาเลที่พกความแค้นมาเต็มเปี่ยม บุกเข้าไปจนถึงกลางเมืองขนาดนั้น เป็นท่านๆ จะทำอะไรบ้าง คงไม่ได้แค่ร่ายมนต์ขำๆ แล้วหนีไปหรอกนะ ”
พ่อมดดีมีนไม่มีความเห็นสำหรับประเด็นนี้
แต่คาโลไรน์พูดขึ้นว่า
“ ถ้าเขาไม่คิดจะฆ่าทิ้งทั้งหมดในคราวเดียวล่ะ แต่ทำเป็นวูบไปวูบมาเหมือนปีศาจร้าย ทำให้คนทั้งเมืองอยู่ไม่สุข หวาดระแวงกันจนคลุ้มคลั่งไล่สังหารกันเอง ในขณะที่เขานั่งดูอยู่เฉยๆ ว่าแต่มนต์ตราแห่งโอรีเวียเสื่อมไปแล้วหรือเหตุใดจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ”
“ ดารีลเคยบอกว่า ปราการแห่งโอรีเวียกันได้เฉพาะความชั่วร้ายที่ผ่านมาจากข้างนอก แต่ถ้ามันเริ่มจากข้างในแค่คาถาน้อยนิดก็ไม่อาจปกป้องได้ ”
ฟิโลโซเฟอร์พูดเบาๆ มาจากที่นอน
“ ลูกแม่ เจ้าฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ”
คาโลไรน์รีบถลาเข้าไปหา
เด็กชายยกมือกุมศีรษะรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งร่าง
“ ดารีลอย่างนั้นหรือ เจ้าพูดแบบนั้นเคยคุยกับเขาหรืออย่างไร ”
พ่อมดดีมีนประหลาดใจ
เพราะเป็นที่รู้กันว่าดารีลนั้นมีเพื่อนน้อย
“ อย่าเพิ่งถามอะไรเขาเลย ฟิโลโซเฟอร์เพิ่งจะฟื้นเอง คงยังสับสนอยู่ ”
ในตอนนี้คาโลไรน์เป็นห่วงอาการบุตรชาย
มากกว่าที่จะสนใจเรื่องอื่น
“ คาโอเรียล่ะฮะนางอยู่ไหน ”
เขาละล่ำละลักถาม
เมื่อสติเริ่มกลับคืนมา
“ อย่ากังวลไปเลยนางก็ปลอดภัยดีแล้ว เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ที่สามารถพานางกลับมาได้ ”
พ่อมดว่า
เด็กชายหันไปมองรอบๆ ห้อง
พบว่าตอนนี้เขาและทุกคนอยู่ในห้องรับแขก
บิดาของเขาคงย้ายเตียงลงมาจากห้องนอน
เพราะที่นี่มีเตาผิงที่จะช่วยให้ความอบอุ่น
ส่วนคาโอเรียก็นอนหลับอยู่บนเตียงอีกฟากหนึ่ง
แน่นิ่งเหมือนคนไร้สติ
ขณะที่ไฟในเตาก็ลุกโชติช่วง
ความอบอุ่นเหมือนจะมีไม่เพียงพอ
ฟิโลโซเฟอร์หลับตาลง
เหมือนภาพบางอย่างยังคงติดตา
สิ่งที่ค้างคาอยู่ในความฝันอันดำมืด
แม้มันจะดูรางเลือนแต่สลัดไม่เคยหลุดไปจากความทรงจำ
บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา
ทำให้ยากแก่การมองเห็น
มือข้างหนึ่งถือคทาเหล็กสีดำ
ส่วนอีกข้างกำโซ่แขวนกระถางเผากำยาน
ทันใดเจ้าของร่างปริศนานั้นก็มองมาทางนี้
เด็กชายสะดุ้งสุดตัว
ลืมตาขึ้นแล้วตะโกนว่า
“ เขาอยู่ข้างนอกนั่น อย่าปล่อยให้เข้ามาได้ เขาจะฆ่าพวกเราทุกคน ”
อาเธอร์และพ่อมดวิ่งไปที่ประตู
ดีมีนวางไม้เท้าแนบบานประตูพลางขมวดคิ้ว
ส่วนคาโลไรน์กอดบุตรชายไว้แน่น
ในขณะที่ฟิโลโซเฟอร์พยายามดิ้นรน
ครู่ต่อมาพ่อมดเฒ่าก็ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
“ เจ้าคงฝันร้ายน่ะ ไม่มีใครอยู่ข้างนอกหรอกฟิโลโซเฟอร์เอ๋ย ”
สิ้นเสียงของพ่อมด
เด็กชายตัวน้อยก็สงบลงและหลับไป
“ ไม่เป็นไรแล้วนะเจ้าปรอดภัยแล้ว ”
คาโลไรน์ปลอบโยน
นางประคองลูกชายอยู่ในอ้อมแขนพลางโยกตัวเบาๆ
และน้ำตาได้ร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ