Memory of Tomorrow วันพรุ่งนี้ในความทรงจำ
-
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 13.24 น.
40 ตอน
0 วิจารณ์
34.18K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 14.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
37) บทที่37 ถูกโจมตีทุกทาง(1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่37 ถูกโจมตีทุกทาง(1)
หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว วันหยุดฤดูหนาวจึงค่อยมาถึงอย่างเชื่องช้า นักศึกษาภายในหอพักก็จากไปทีละคน อี้เป่ยซีรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่เวลาผ่านไปเร็ว เสียใจที่เกียจคร้านมาตลอดภาคเรียน แล้วไปเก็บกระเป๋าอย่างดีอกดีใจ
“เป่ยซี” ถังเสวี่ยอยู่ข้างหลังเธอที่กำลังยุ่ง เอ่ยปากอย่างลังเลอยู่บ้าง“คือว่า…”
อี้เป่ยซีเงยหน้ามอง หยุดงานในมือชั่วคราว“มีอะไรเหรอ?”
“เธอกับรุ่นพี่หลาน…คือว่า มีอะไร...” เธอกัดริมฝีปาก“มีอะไรบางอย่างกันจริงหรือเปล่า?”
“หา?”
ถังเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึก“ถ้าเธอกับรุ่นพี่หลานรู้สึกอะไรกันจริง ฉัน...ที่จริงฉันดีใจมากนะ แต่ว่า ทำไมสนิทกับรุ่นพี่เขาขนาดนั้นแล้วยังไม่ชัดเจนกับผู้ชายคนอื่นอีก แล้วก็ เธอเป็นเหมือนที่พวกเขาว่ากันจริงๆ แค่อยากเล่นๆ แค่เอารุ่นพี่หลานมาเป็นไพ่ตายในมือของตัวเอง เป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น เป่ยซี เธอ…”
“เธอพูดอะไรน่ะ แปลกๆ นะ” อี้เป่ยซีไม่อยากสนใจ เริ่มเก็บหนังสือของตัวเองไป
อีกฝ่ายเห็นท่าทางไม่แยแสของอี้เป่ยซีก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย“อี้เป่ยซี ฉันถามเธออยู่นะ เธอกับรุ่นพี่หลานตกลงเป็นอะไรกัน สุดท้ายแล้วในใจเธอมีเขาจริงหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีทิ้งหนังสือลงบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า“ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยพูดไปแล้ว เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เธอ”
ทำไมทุกคนต้องคิดไปในทางอื่นด้วย เธออี้เป่ยซีดูเหมือนคนที่โปรยเสน่ห์ไปทั่วและคิดจะยกระดับตัวเองขึ้นสูงงั้นเหรอ? เธออยู่บนนั้นตั้งแต่แรกแล้วโอเคไหม
ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็อาศัยจินตนาการของตัวเองสร้างเรื่องขึ้นมามากมายแบบนี้
เธอเดินออกไปนอกหอพักอย่างหงุดหงิด แววตาไม่เป็นมิตรตรงทางเดินแคบๆ แทบทำให้เธออึดอัดตาย ใบหน้าแต่ละคนมีความดูถูกเหน็บแนมที่แตกต่างกัน เธอเดินไปข้างหน้า แผ่นหลังยังคงยืดตรง
“บอกตั้งนานแล้วว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร ถึงปล่อยให้เธอสนิทกับเขาแบบนั้น ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ทำร้ายจิตใจตัวเองแล้วยังเสียรุ่นพี่ไปอีก” ฟางหมิ่นพูดอยู่ข้างๆ ถังเสวี่ย น้ำเสียงไม่ดีนัก แต่ก็ยังยากจะซ่อนความห่วงใยที่มีต่อเธอ“แต่ว่าเรื่องนี้มันก็แปลกๆ อยู่นะ”
“ฉะ ฉันก็รู้สึกว่าเป่ยซีไม่ใช่คนแบบนั้น”
“เขาเป็นคนแบบนั้นรึเปล่าฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าถ้าไม่มีลมก็ไม่มีคลื่น ถ้าเขาไม่มีปัญหาอะไรเลยคงไม่ถูกคนจับจุดอ่อนได้หรอก เพียงแต่มุมของรูปพวกนี้มันดูจงใจไปหน่อย อีกอย่างเธอดูรูปพวกนี้สิ เขาน่าจะถูกคนจ้องเล่นงานอยู่นานแล้ว”
ถังเสวี่ยขมวดคิ้วครุ่นคิด“เป่ยซีไม่เคยสร้างศัตรูกับใครนะ”
“เธอดูคนที่เดินกับเขาสิ…ไม่เข้าใจเหรอ เขาน่าจะสร้างศัตรูไว้เยอะเลยแหละ”
อี้เป่ยซีผลักประตูเข้ามา นั่งลงที่ของตัวเองเงียบๆ
เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนถึงได้แปลกๆ แบบนี้ แล้วรูปถ่ายที่พวกเขาพูดถึงเป็นรูปถ่ายอะไรกันแน่ ใครทำอะไรลับหลังเธออีกแล้ว
“เป่ยซี เธอ...เข้าไปดูในกระทู้ของมหา’ลัยเถอะ ไม่รู้ว่าใครใส่ร้ายเธอ” ถังเสวี่ยเอ่ยปากกับอี้เป่ยซีด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก
อี้เป่ยซีมองหน้าจอมือถือที่ดำสนิทของตัวเอง ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็กดยังเปิดขึ้นมาดู
ช็อก นักศึกษาหญิงคณะเศรษฐศาสตร์ย้ายมหา’ลัยเพื่อที่จะได้เป็น…
เธออ่านหัวข้อที่เขียนเกินจริงเพื่อเอาใจฝูงชน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่มีอะไรสร้างสรรค์จริงๆ กดไปที่เนื้อหาก็เห็นรูปถ่ายแต่ละรูปเรียงรายอยู่ด้านบน ไม่มีคำอธิบายใดๆ ในตอนท้ายมีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า‘มีรูปมีความจริง’ แล้วก็หมดแค่นั้น
รูปพวกนี้ถูกเซ็นเซอร์ไว้ แต่ยิ่งปกปิดยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงจริงๆ หลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อ...เธอนวดคลึงขมับ แม้ว่าหน้าจะถูกปิดไว้ก็ยังดูออกว่าเป็นใคร
แต่ว่านี่มันฝีมือใคร การเป็นตัวของตัวเอง…เหมือนจะมีคนไม่น้อยที่ไม่ชอบเธอ ช่างล้มเหลวจริงๆ
“เป่ยซี”
“เรื่องนี้ ดูจากสถานการณ์แล้วก็อธิบายยากอยู่ แต่ว่า…”เธอมองหน้าจออีกครั้ง“บ้าเอ๊ย ใครลงมือเร็วแบบนี้ ถ้าลบมันก็ยิ่งเท่ากับยิ่งยอมรับความจริงไม่ใช่เหรอ”
อี้เป่ยซีโยนโทรศัพท์มือถือไปด้านข้าง จะเป็นใครได้? พวกถังเสวี่ยเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นต้องหลิงจื่อเซี่ย ต้องใช่เธอแน่ๆ แต่ว่าคุณหนูใหญ่ผู้เย่อหยิ่งทำไมถึงทำเรื่องใส่ร้ายต่ำๆ แบบนี้ได้
“เป่ยซี เธอรู้ว่าเป็นใครไหม?”
“ไม่รู้สิ คนเยอะเกินไป บอกไม่ได้ว่ามีเป้าหมายอะไร”
ถังเสวี่ยมองดูนิ้วของตัวเอง“ขอโทษนะเป่ยซี เมื่อกี้ฉันตื่นเต้นมากเกินไป ทั้งๆ ที่ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ก็ยังสงสัยเธอไปกับพวกเขาด้วย ขอโทษนะ” ตัวเธอสั่นเล็กน้อย อีกทั้งยังสะอื้นเบาๆ“ฉันช่วยเธอได้นะ”
“ไม่เป็นไร เธออย่าเพิ่งยุ่งเรื่องนี้เลย ฉันสับสนนิดหน่อย”
“แต่ว่า เป่ยซีเธอคนเดียวไหวเหรอ?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้น มองตาของอีกฝ่าย “จะเป็นฉันคนเดียวได้ยังไง ในรูปก็ยังมีอีกสองคนนี่นา ประชุมนั่นฉันคงไม่ไปแล้ว ตอนนี้ฉันอยากคิดอยู่ที่หอ”
“อี้เป่ยซี เธอจะคิดวิธีอะไรได้ ถังเสวี่ยก็บอกแล้วว่าจะช่วยเธอ เธอไม่รู้จักไว้หน้าคนอื่นบ้างหรือไง?” ฟางหมิ่นกล่าวอย่างโมโห“หรือว่าเธอไม่แคร์เลยสักนิด?”
“ขอบคุณพวกเธอสองคนนะ ตอนนี้ใจฉันยังไม่สงบ รออีกหน่อยค่อยคุยได้ไหม?”
ฟางหมิ่นพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพาถังเสวี่ยออกไปจากห้อง อี้เป่ยซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งรู้สึกน้อยใจ หงุดหงิด และกังวลเล็กน้อย
ประตูหอพักถูกปิดลงเบาๆ
“ฟางหมิ่น เป่ยซีจะจัดการได้คนเดียวจริงเหรอ”
“เธอกลัวอะไร สองคนนั้นในรูปก็ต้องมีวิธีไม่ใช่เหรอ?”
ถังเสวี่ยจับแขนเสื้อแน่น“แต่ว่าฉันยังเป็นห่วงเป่ยซีอยู่นิดหน่อย รู้สึกว่ามันไม่ถูก”
“เธอจะคิดมากแบบนี้ไปทำไม ยังไงซะก็เป็นเรื่องของคนอื่น เกี่ยวกับเธอสักเท่าไรเชียว”
เธอหยุดเดินแล้วมองฟางหมิ่น“แต่ว่านะ ฟางหมิ่น เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงเธอ”
รูม่านตาฟางหมิ่นหดตัวลง เธอกัดริมฝีปากที่ขาวซีดเล็กน้อย“ฉัน...กับเรื่องนี้น่ะ ไม่เหมือนกันหรอก”
ถังเสวี่ยถึงค่อยพยักหน้า เดินไปข้างหน้าต่อพลางพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาช้าๆ“หวังว่าจะไม่เหมือนกันนะ”
เหมือน? จะเหมือนกันได้ยังไง อีเป่ยซีน่ะจะเข้าใจว่าอะไรคือความอับอายที่แท้จริงได้อย่างไร ฟางหมิ่นกำมือแน่นแล้วเดินตามไป
นักศึกษาไม่กี่คนนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ในห้องเรียน กระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง สีหน้าดูลึกลับ แต่กลับส่งเสียงหัวเราะเยาะเป็นครั้งคราว ถังเสวี่ยมองดูพวกเขา ไม่ได้พูดอะไร นั่งอยู่ตรงมุมห้องเงียบๆ เมื่อก้มหน้าลงก็เห็นใบปลิวในลิ้นชัก
ใบปลิวมีเนื้อหาเหมือนบนกระทู้ไม่มีผิดเพี้ยน ใครนะที่เล่นกับอี้เป่ยซีแรงแบบนี้ ลงแรงไปเยอะขนาดนี้เลย
ฟางหมิ่นที่นั่งลงข้างถังเสวี่ยก็สังเกตเห็นของในลิ้นชักเช่นกัน ดวงตาเป็นประกาย ทว่าไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานเท่าไร นักศึกษาก็เข้ามานั่งเต็มห้องเรียน เนื้อหาที่ก้มหน้าวิพากษ์วิจารณ์กันก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้ จนกระทั่งเสียงเคร่งขรึมของอาจารย์ดังขึ้น เสียงกระซิบเบาๆ จึงหายไปจากชั้นเรียน
อาจารย์ที่มีผมหงอกแซมเล็กน้อยมองไปรอบๆ ห้องเรียนรอบหนึ่งจึงค่อยเอ่ยปาก ซึ่งไม่มีอะไรไปมากกว่าปัญหาเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันการทุจริตที่ซ้ำซากจำเจ ทั้งห้องต่างเงียบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา แต่ไม่รู้ว่าเสียงอุทานของใครที่ทำให้ทุกคนในชั้นเรียนตื่นขึ้น…
------------
หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จแล้ว วันหยุดฤดูหนาวจึงค่อยมาถึงอย่างเชื่องช้า นักศึกษาภายในหอพักก็จากไปทีละคน อี้เป่ยซีรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่เวลาผ่านไปเร็ว เสียใจที่เกียจคร้านมาตลอดภาคเรียน แล้วไปเก็บกระเป๋าอย่างดีอกดีใจ
“เป่ยซี” ถังเสวี่ยอยู่ข้างหลังเธอที่กำลังยุ่ง เอ่ยปากอย่างลังเลอยู่บ้าง“คือว่า…”
อี้เป่ยซีเงยหน้ามอง หยุดงานในมือชั่วคราว“มีอะไรเหรอ?”
“เธอกับรุ่นพี่หลาน…คือว่า มีอะไร...” เธอกัดริมฝีปาก“มีอะไรบางอย่างกันจริงหรือเปล่า?”
“หา?”
ถังเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึก“ถ้าเธอกับรุ่นพี่หลานรู้สึกอะไรกันจริง ฉัน...ที่จริงฉันดีใจมากนะ แต่ว่า ทำไมสนิทกับรุ่นพี่เขาขนาดนั้นแล้วยังไม่ชัดเจนกับผู้ชายคนอื่นอีก แล้วก็ เธอเป็นเหมือนที่พวกเขาว่ากันจริงๆ แค่อยากเล่นๆ แค่เอารุ่นพี่หลานมาเป็นไพ่ตายในมือของตัวเอง เป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น เป่ยซี เธอ…”
“เธอพูดอะไรน่ะ แปลกๆ นะ” อี้เป่ยซีไม่อยากสนใจ เริ่มเก็บหนังสือของตัวเองไป
อีกฝ่ายเห็นท่าทางไม่แยแสของอี้เป่ยซีก็รู้สึกโมโหเล็กน้อย“อี้เป่ยซี ฉันถามเธออยู่นะ เธอกับรุ่นพี่หลานตกลงเป็นอะไรกัน สุดท้ายแล้วในใจเธอมีเขาจริงหรือเปล่า”
อี้เป่ยซีทิ้งหนังสือลงบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า“ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยพูดไปแล้ว เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่เธอ”
ทำไมทุกคนต้องคิดไปในทางอื่นด้วย เธออี้เป่ยซีดูเหมือนคนที่โปรยเสน่ห์ไปทั่วและคิดจะยกระดับตัวเองขึ้นสูงงั้นเหรอ? เธออยู่บนนั้นตั้งแต่แรกแล้วโอเคไหม
ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็อาศัยจินตนาการของตัวเองสร้างเรื่องขึ้นมามากมายแบบนี้
เธอเดินออกไปนอกหอพักอย่างหงุดหงิด แววตาไม่เป็นมิตรตรงทางเดินแคบๆ แทบทำให้เธออึดอัดตาย ใบหน้าแต่ละคนมีความดูถูกเหน็บแนมที่แตกต่างกัน เธอเดินไปข้างหน้า แผ่นหลังยังคงยืดตรง
“บอกตั้งนานแล้วว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร ถึงปล่อยให้เธอสนิทกับเขาแบบนั้น ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ทำร้ายจิตใจตัวเองแล้วยังเสียรุ่นพี่ไปอีก” ฟางหมิ่นพูดอยู่ข้างๆ ถังเสวี่ย น้ำเสียงไม่ดีนัก แต่ก็ยังยากจะซ่อนความห่วงใยที่มีต่อเธอ“แต่ว่าเรื่องนี้มันก็แปลกๆ อยู่นะ”
“ฉะ ฉันก็รู้สึกว่าเป่ยซีไม่ใช่คนแบบนั้น”
“เขาเป็นคนแบบนั้นรึเปล่าฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าถ้าไม่มีลมก็ไม่มีคลื่น ถ้าเขาไม่มีปัญหาอะไรเลยคงไม่ถูกคนจับจุดอ่อนได้หรอก เพียงแต่มุมของรูปพวกนี้มันดูจงใจไปหน่อย อีกอย่างเธอดูรูปพวกนี้สิ เขาน่าจะถูกคนจ้องเล่นงานอยู่นานแล้ว”
ถังเสวี่ยขมวดคิ้วครุ่นคิด“เป่ยซีไม่เคยสร้างศัตรูกับใครนะ”
“เธอดูคนที่เดินกับเขาสิ…ไม่เข้าใจเหรอ เขาน่าจะสร้างศัตรูไว้เยอะเลยแหละ”
อี้เป่ยซีผลักประตูเข้ามา นั่งลงที่ของตัวเองเงียบๆ
เกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนถึงได้แปลกๆ แบบนี้ แล้วรูปถ่ายที่พวกเขาพูดถึงเป็นรูปถ่ายอะไรกันแน่ ใครทำอะไรลับหลังเธออีกแล้ว
“เป่ยซี เธอ...เข้าไปดูในกระทู้ของมหา’ลัยเถอะ ไม่รู้ว่าใครใส่ร้ายเธอ” ถังเสวี่ยเอ่ยปากกับอี้เป่ยซีด้วยความรู้สึกไม่ดีนัก
อี้เป่ยซีมองหน้าจอมือถือที่ดำสนิทของตัวเอง ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็กดยังเปิดขึ้นมาดู
ช็อก นักศึกษาหญิงคณะเศรษฐศาสตร์ย้ายมหา’ลัยเพื่อที่จะได้เป็น…
เธออ่านหัวข้อที่เขียนเกินจริงเพื่อเอาใจฝูงชน เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่มีอะไรสร้างสรรค์จริงๆ กดไปที่เนื้อหาก็เห็นรูปถ่ายแต่ละรูปเรียงรายอยู่ด้านบน ไม่มีคำอธิบายใดๆ ในตอนท้ายมีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า‘มีรูปมีความจริง’ แล้วก็หมดแค่นั้น
รูปพวกนี้ถูกเซ็นเซอร์ไว้ แต่ยิ่งปกปิดยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงจริงๆ หลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อ...เธอนวดคลึงขมับ แม้ว่าหน้าจะถูกปิดไว้ก็ยังดูออกว่าเป็นใคร
แต่ว่านี่มันฝีมือใคร การเป็นตัวของตัวเอง…เหมือนจะมีคนไม่น้อยที่ไม่ชอบเธอ ช่างล้มเหลวจริงๆ
“เป่ยซี”
“เรื่องนี้ ดูจากสถานการณ์แล้วก็อธิบายยากอยู่ แต่ว่า…”เธอมองหน้าจออีกครั้ง“บ้าเอ๊ย ใครลงมือเร็วแบบนี้ ถ้าลบมันก็ยิ่งเท่ากับยิ่งยอมรับความจริงไม่ใช่เหรอ”
อี้เป่ยซีโยนโทรศัพท์มือถือไปด้านข้าง จะเป็นใครได้? พวกถังเสวี่ยเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นต้องหลิงจื่อเซี่ย ต้องใช่เธอแน่ๆ แต่ว่าคุณหนูใหญ่ผู้เย่อหยิ่งทำไมถึงทำเรื่องใส่ร้ายต่ำๆ แบบนี้ได้
“เป่ยซี เธอรู้ว่าเป็นใครไหม?”
“ไม่รู้สิ คนเยอะเกินไป บอกไม่ได้ว่ามีเป้าหมายอะไร”
ถังเสวี่ยมองดูนิ้วของตัวเอง“ขอโทษนะเป่ยซี เมื่อกี้ฉันตื่นเต้นมากเกินไป ทั้งๆ ที่ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ก็ยังสงสัยเธอไปกับพวกเขาด้วย ขอโทษนะ” ตัวเธอสั่นเล็กน้อย อีกทั้งยังสะอื้นเบาๆ“ฉันช่วยเธอได้นะ”
“ไม่เป็นไร เธออย่าเพิ่งยุ่งเรื่องนี้เลย ฉันสับสนนิดหน่อย”
“แต่ว่า เป่ยซีเธอคนเดียวไหวเหรอ?”
อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้น มองตาของอีกฝ่าย “จะเป็นฉันคนเดียวได้ยังไง ในรูปก็ยังมีอีกสองคนนี่นา ประชุมนั่นฉันคงไม่ไปแล้ว ตอนนี้ฉันอยากคิดอยู่ที่หอ”
“อี้เป่ยซี เธอจะคิดวิธีอะไรได้ ถังเสวี่ยก็บอกแล้วว่าจะช่วยเธอ เธอไม่รู้จักไว้หน้าคนอื่นบ้างหรือไง?” ฟางหมิ่นกล่าวอย่างโมโห“หรือว่าเธอไม่แคร์เลยสักนิด?”
“ขอบคุณพวกเธอสองคนนะ ตอนนี้ใจฉันยังไม่สงบ รออีกหน่อยค่อยคุยได้ไหม?”
ฟางหมิ่นพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพาถังเสวี่ยออกไปจากห้อง อี้เป่ยซีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งรู้สึกน้อยใจ หงุดหงิด และกังวลเล็กน้อย
ประตูหอพักถูกปิดลงเบาๆ
“ฟางหมิ่น เป่ยซีจะจัดการได้คนเดียวจริงเหรอ”
“เธอกลัวอะไร สองคนนั้นในรูปก็ต้องมีวิธีไม่ใช่เหรอ?”
ถังเสวี่ยจับแขนเสื้อแน่น“แต่ว่าฉันยังเป็นห่วงเป่ยซีอยู่นิดหน่อย รู้สึกว่ามันไม่ถูก”
“เธอจะคิดมากแบบนี้ไปทำไม ยังไงซะก็เป็นเรื่องของคนอื่น เกี่ยวกับเธอสักเท่าไรเชียว”
เธอหยุดเดินแล้วมองฟางหมิ่น“แต่ว่านะ ฟางหมิ่น เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงเธอ”
รูม่านตาฟางหมิ่นหดตัวลง เธอกัดริมฝีปากที่ขาวซีดเล็กน้อย“ฉัน...กับเรื่องนี้น่ะ ไม่เหมือนกันหรอก”
ถังเสวี่ยถึงค่อยพยักหน้า เดินไปข้างหน้าต่อพลางพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาช้าๆ“หวังว่าจะไม่เหมือนกันนะ”
เหมือน? จะเหมือนกันได้ยังไง อีเป่ยซีน่ะจะเข้าใจว่าอะไรคือความอับอายที่แท้จริงได้อย่างไร ฟางหมิ่นกำมือแน่นแล้วเดินตามไป
นักศึกษาไม่กี่คนนั่งรวมกันเป็นกลุ่มๆ ในห้องเรียน กระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง สีหน้าดูลึกลับ แต่กลับส่งเสียงหัวเราะเยาะเป็นครั้งคราว ถังเสวี่ยมองดูพวกเขา ไม่ได้พูดอะไร นั่งอยู่ตรงมุมห้องเงียบๆ เมื่อก้มหน้าลงก็เห็นใบปลิวในลิ้นชัก
ใบปลิวมีเนื้อหาเหมือนบนกระทู้ไม่มีผิดเพี้ยน ใครนะที่เล่นกับอี้เป่ยซีแรงแบบนี้ ลงแรงไปเยอะขนาดนี้เลย
ฟางหมิ่นที่นั่งลงข้างถังเสวี่ยก็สังเกตเห็นของในลิ้นชักเช่นกัน ดวงตาเป็นประกาย ทว่าไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานเท่าไร นักศึกษาก็เข้ามานั่งเต็มห้องเรียน เนื้อหาที่ก้มหน้าวิพากษ์วิจารณ์กันก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้ จนกระทั่งเสียงเคร่งขรึมของอาจารย์ดังขึ้น เสียงกระซิบเบาๆ จึงหายไปจากชั้นเรียน
อาจารย์ที่มีผมหงอกแซมเล็กน้อยมองไปรอบๆ ห้องเรียนรอบหนึ่งจึงค่อยเอ่ยปาก ซึ่งไม่มีอะไรไปมากกว่าปัญหาเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันการทุจริตที่ซ้ำซากจำเจ ทั้งห้องต่างเงียบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา แต่ไม่รู้ว่าเสียงอุทานของใครที่ทำให้ทุกคนในชั้นเรียนตื่นขึ้น…
------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ