ขบวนรถไฟไถ่บาป
7.3
เขียนโดย CryingWolf
วันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562 เวลา 20.28 น.
3 ตอน
1 วิจารณ์
3,867 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 มกราคม พ.ศ. 2563 17.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ขบวนรถไฟประหลาด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศของเจย์ ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา เสียงฝนที่กำลังตกอยู่มันดังมากพอที่จะกลบเสียงเครื่องยนต์ของรถไฟขบวนที่ผมกำลังจะขึ้นโดยสารได้เลยทีเดียว แต่ก็น่าแปลกใจที่ว่าที่เพื่อนร่วมทางของผมบางส่วนไม่ได้รีบนสัมภาระขึ้นรถไฟเพื่อหลบฝนแต่อย่างใด ราวกับว่ามีผมเพียงคนเดียวที่รู้ว่าฝนกำลังตกอยู่
ตามจดหมายที่แนบมากับคู่มือการเดินทาง ผมได้พักในตู้โดยสารที่ 3 ทำให้ไม่ต้องเดินไปไกลมากเหมือนคนที่ได้พักในตู้โดยสารตู้หลัง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รีบนำสัมภาระทั้งหมดของตัวเองทั้งหมดไปใส่รถเข็นที่ทางสถานีเตรียมไว้ให้ แล้วรีบวิ่งไปยังตู้โดยสารของตัวเองให้เร็วที่สุด เพราะว่ากลัวว่าสัมภาระจะเปียกระหว่างขนขึ้นขบวน
เมื่อมาถึงหน้าตู้โดยสารของตัวเอง ผมรีบหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปวางไว้ตรงทางเข้าตู้โดยสารของตัวเอง แต่ก็น่าแปลกใจที่ระหว่างนำกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ กระเป๋ากับตัวผมเองไม่ได้เปียกเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมทั้งตกใจและสับสนในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนที่จะปล่อยให้ความคิดของตัวเองเลยเถิด ผมก็ดึงสติและขนของขึ้นตู้โดยสารต่อจนเสร็จ
ตัวตู้โดยสารมีความกว้างกว่าที่เห็นจากภายนอกอย่างมาก ทั้งฝั่งที่เป็นทางเดินเพื่อเดินไปยังตู้โดยสารตู้อื่นและฝั่งที่เป็นห้องพักก็กว้างอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตู้โดยสารของรถไฟ ภายในห้องพักก็มีทั้งเตียงเดี่ยว เครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ถ้าหากมองแค่รูปของตัวห้องพักคงต้องคิดว่าเป็นห้องในโรงแรมหรูเป็นแน่
ผมที่กำลังตะลึงอยู่กับห้องพัก ก็ได้ดึงสติกลับมา แล้วนำสัมภาระทั้งหมดเข้ายังห้องพัก แล้วนั่งพักบนเตียง ก่อนที่จะตัดสินใจถอดรองเท้าแล้วพาตัวเองขึ้นไปนอนพักบนเตียงอย่างสมบูรณ์ เพราะความเหนื่อยที่รีบขนของประกอบกับตอนนี้ยังเป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้ากระมัง ทำให้ผมเริ่มที่จะง่วงนอน แต่ยังไม่ทันที่จะได้หลับตาลง เสียงโทรศัพท์ที่ติดอยู่กับผนังห้องก็ดังขึ้น ทำเอาผมตกใจ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันดังต่อไปเพราะเชื่อว่าเดี๋ยวอีกสักพักสายที่โทรมาก็จะตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความเอง แต่การตัดสินใจของผมครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด
เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นเรื่อย ๆ และผสมโรงกับเสียงฝนที่กำลังตกอยู่กลายเป็นแห่งฝันร้ายสำหรับผม ทำให้ผมต้องเดินไปรับสายนั้น
“ค่า ฮัลโหล สวัสดีค่ะ คุณคราวน์ นี่เจย์นะคะ” ทันทีที่ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นโดยที่ยังไม่ได้นำมันไปแนบกับหูตัวเอง เสียงของเจย์ดังขึ้นชนิดที่ว่าเธอกำลังเอาโทรโข่งของเธอมาพูดอัดกับโทรศัพท์ คงดูไม่จืดแน่นอนถ้าผมนำหูโทรศัพท์ไปแนบกับหูตัวเองตอนที่จะรับสาย
“อ่าครับ คุณเจย์ มีธุระอะไรหรอครับ?” ผมตอบโดยที่ยังไม่ได้เอาหูโทรศัพท์มาแนบที่หูของตัวเอง
“ค่า มีค่ะ แต่ว่าคุณคราวน์คะ คุณนี่รับโทรศัพท์ช้าจังเลยนะคะ ฉันต้องโทรไปหาผู้โดยสารท่านอื่นอีกนะคะ”
“ขอโทษครับ พอดีผมกำลังจะงีบพัก เลยมารับสายช้าไปหน่อย” ผมแก้ตัวแบบส่ง ๆ เพราะรู้ว่ายังก็ต้องโดนบ่นเรื่องที่มารับสายช้าอยู่แล้ว ที่จริงผมเตรียมตัวฟังคำบ่นในข้อความที่ฝากไว้กรณีที่สายตัดแล้วด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ ฉันลืมประกาศตอนก่อนปล่อยให้ทุกคนขึ้นตู้โดยสารค่ะ คือว่าพวกคุณมีเวลาในการจัดของ 1 ชั่วโมงค่ะ หรือก็คือคุณต้องจัดของให้เสร็จก่อน 8 นาฬิกาค่ะ ถ้าครบกำหนดแล้วให้พวกคุณไปรวมตัวที่ตู้โดยสารที่ 7 กันด้วยนะคะ หรือถ้าจัดเสร็จก่อนเวลาจะมานั่งรอก่อนก็ได้นะคะ ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกัน”
“อ่าครับ”
“ขอบคุณที่รับสายและสละเวลาอันมีค่าของคุณนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนที่จะตัดสายไป และการสนทนาที่เกิดขึ้นไปเมื่อสักครู่ ผมไม่ได้เอาหูโทรศัพท์ไปแนบกับหูของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เสียงโทรศัพท์ที่ดังมากของเจย์เมื่อสักครู่ทำให้ผมที่ง่วงอยู่หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ผมนั่งพักลงบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือสักพัก ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าและกล่องต่าง ๆ ที่วางกองอยู่ข้างเตียงมาเปิดและนำไปจัดวางยังส่วนต่าง ๆ ของห้อง โดยเริ่มจากนำเสื้อผ้าทั้งหมดไปใส่ตู้เสื้อผ้า นำคู่มือการเดินทางและหนังสืออ่านเล่นมาจัดยังโต๊ะเขียนหนังสือ และหาที่วางของใช้ส่วนตัวสักพักและพบว่าภายในห้องพักมีประตูที่นำไปสู่ห้องน้ำส่วนตัวด้วย
เมื่อจัดห้องเสร็จแล้ว ผมก็พบว่ายังเหลือของอีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้นำไปวางไว้ในที่ของมัน ของสิ่งนั้นคือ ร่มยาวสีเขียวอ่อนที่มีด้ามจับคล้ายกับไม้เท้า โดยร่มคันนี้เองที่เป็นของผมคิดว่าสามารถใช้แทนตัวตนของผมเองได้ ผมเลยต้องนำมันมาในการเดินทางครั้งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้มันตลอดการเดินทางครั้งนี้ก็ตาม
“เอาล่ะ จะเอาแกไปไว้ตรงไหนดีนะ” ผมบ่นกับตัวเองในใจ ก่อนที่จะตัดสินใจนำมันไปวางไว้ปลายเตียงใกล้กับบริเวณโต๊ะเขียนหนังสือ และมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามกับประตูห้องพัก ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงมาได้สักพัก
“ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ” ผมคิดในใจ แล้วก็ก้มลงไปมองที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้เวลา 7 นาฬิกา 40 นาที
“ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 20 นาทีแฮะ จะไปตู้โดยสารที่ 7 เลยดีไหม หรือว่าจะนอนพักก่อนแล้วค่อยไปดีนะ” ผมเริ่มเถียงกับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบกุญแจห้องพักที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วออกจากห้องพักและเดินไปยังตู้โดยสารที่ 7
ผมเดินผ่านตู้โดยสารไปเรื่อย ๆ โดยที่พยายามนึกว่าตัวเองได้ล็อกห้องพักของตัวเองดีแล้วหรือยัง แต่ผมก็พึ่งมาสังเกตว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนรถไฟขบวนนี้ ผมสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ของรถไฟไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยความคิดนั้นทิ้งไป เพราะขนาดตอนที่นำสัมภาระขึ้นมายังรถไฟกับตอนที่ผมกำลังเดินไปยังตู้โดยสารที่ 7 ฝนกำลังตกอยู่ แต่ระหว่างทางเปลี่ยนระหว่างตู้โดยสารที่มีช่องว่างระหว่างหลังคาเล็กน้อยที่พอจะให้ฝนตกลงมาทำให้ตัวผมเปียก ทั้งที่โดนฝนเข้าอย่างจัง แต่ตัวกลับไม่เปียกซะงั้น
ในที่สุดผมก็มาหยุดที่ตู้โดยสารที่ 6 ซึ่งเป็นตู้เสบียง แต่เพราะความรีบที่จะไปให้ถึงตู้โดยสารที่ 7 ทำให้ผมไม่ได้สังเกตรายละเอียดปลีกย่อยของตู้เสบียงสักเท่าไหร่ ข้างหน้าของผมเป็นประตูที่เป็นทางเชื่อมไปสู่ตู้โดยสารที่เจย์เป็นคนเรียกให้ทุกคนมารวมตัวเพื่อทำความรู้จักกัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะหลังจากที่เปิดประตูเข้าไปยังตู้โดยสารที่ 7 ผมไม่รู้เลยว่าจะมีใครอยู่ไหม และผมไม่ค่อยชอบที่ที่เสียงดังสักเท่าไหร่
ผมทำใจอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป ตามที่คู่มือการเดินทางบอกไว้ นี่จะเป็นห้องนั่งเล่น เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ผมก็ตกใจอยู่สักพัก เพราะว่าตู้โดยสารนี้มีความยาวกว่าตู้โดยสารของผมและตู้โดยสารอื่นที่ผมเดินผ่านมามาก อาจเป็นเพราะตอนขนของผมรีบมายังตู้โดยสารของตัวเองเลยไม่ทันได้สังเกตว่าภายนอกตู้โดยสารจริง ๆ แล้วมันยาวขนาดนี้หรือไม่ ภายในห้องนั่งเล่นนี้ มีทั้งโทรทัศน์ โซฟา ชั้นหนังสือที่สูงไม่มาก และสิ่งสร้างความบันเทิงที่ถูกกฎหมายอยู่มากมาย
ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องแล้วก็พบว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนอกจากผม 1 คน เขาเป็นชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ ผมค่อนข้างหยิกและสั้น ใส่เสื้อลายขวางกับกางเกงยีนขายาว มองเผิน ๆ แล้วดูเหมือนกับคนที่ทำอาชีพเกษตรกร เขานั่งอยู่ที่โซฟาข้างโทรทัศน์และมองออกไปนอกหน้าต่าง นั่นทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นผม ผมจึงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างชั้นหนังสือ
ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับเขา และเตรียมตัวที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เพราะผมเกิดความรู้สึกที่ว่าถ้าปล่อยให้เงียบไปนานกว่านี้คงจะดูไม่ดีแน่สำหรับการสร้างความประทับใจแรก แต่ทันทีที่ผมไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามเขา เขาก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราแก้เขิน
“สวัสดีครับ ผมชื่อคราวน์ คุณชื่ออะไรหรอครับ?” ผมพยายามปั้นหน้ายิ้ม และใช้บทสนทนาที่ผมคิดว่าคนทั่วไปจะใช้กันเวลาที่จะทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จะนะคราวน์ เราชื่อว่าไมโล พอดีเมื่อตะกี้เรามัวแต่มองวิวเพลินไปหน่อย เลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา” เขาตอบด้วยเสียงดังที่แฝงความมุ่งมั่น น้ำเสียงกับภาพลักษณ์ของเขาทำให้ผมนึกถึงพ่อค้าที่ตลาดผักสดทีเดียว
“อ่า ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบไมโลกลับ ยังไม่ได้ที่จะพูดต่อไมโลก็หันหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างต่อ ทำให้ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมห้องอีกครั้ง ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นผมก็คงทำแบบนั้นเหมือนกันกับการที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักทาย
“อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อแล้ว” ผมคิดในใจ ด้วยบทสนทนาเมื่อกี้ทำให้ไมโลกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของผมคนแรกในบรรดาว่าที่เพื่อร่วมทางทั้งหมด 9 คน
ตอนนี้เหลือเวลาอีกราว ๆ 10 นาที ไมโลก็ยังคงมองวิวนอกหน้าต่างอยู่ ผมที่ว่างอยู่จึงเดินไปที่ชั้นหนังสือ ทำทีว่ากำลังหาหนังสือมาอ่านเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
ผ่านไปสักพักบรรดาว่าที่เพื่อนร่วมทางที่เหลือก็ทยอยเข้ามายังห้องนั่งเล่น บางคนก็ไปนั่งบนโซฟา บางคนก็นำหนังสือติดตัวมาอ่านด้วย บางคนก็คุยกันมาระหว่างทางราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อน ส่วนผมก็ยังคงทำทีว่ากำลังหาหนังสือมาอ่านอยู่ ไม่นานห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยผู้คน
“รู้สึกอึดอัดจัง” ผมได้แต่บ่นในใจ สักพักก็มีเสียงประกาศจากลำโพงที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าห้องนั่งเล่นทั้งสองฝั่ง
“ค่า หวังว่าผู้โดยสารทุกท่านจะมาครบแล้วนะคะ ตอนนี้ก็เป็นเวลา 10 นาฬิกาตรงแล้วค่ะ ก็ขอให้ผู้โดยสารแต่ละคนเริ่มแนะนำตัวได้เลยค่ะ จะเริ่มยังไงก็แล้วแต่ตามสะดวกค่ะ แต่จำไว้นะคะว่าประตูของตู้โดยสารนี้จะไม่สามารถเปิดได้จนกว่าผู้โดยสารทุกท่านจะแนะนำตัวครบนะคะ” เสียงประกาศของเจย์ดังขึ้นและตัดไปทันทีที่เธอพูดจบ
เสียงประกาศนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาว่างของผมหมดลงแล้ว ผมจึงกลับไปนั่งที่โซฟาข้างชั้นหนังสือเหมือนเดิมกับตอนที่พึ่งเข้ามายังห้อง
“ไม่สามารถเปิดได้ แสดงว่าไม่สามารถออกไปได้สินะ” หญิงตัวเล็กที่ดูแล้วมีอายุมากที่สุดในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดพูดออกมาจากฝั่งที่เป็นโซฟาสำหรับนั่งเล่น
“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาทำความรู้จักกันเถอะ” ชายผิวคล้ำที่ท่าทางดูเป็นนักวิชาการตะโกนออกมาจากกลางห้อง ทำให้ทุกคนหันไปสนใจเขา
ห้องทั้งห้องเงียบลงไปสักพัก ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดขึ้นมาอีกรอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับทุกคน ผมชื่อเบ็น หวังว่าตลอด 30 วันต่อจากนี้ พวกเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะครับ”
“รู้สึกไม่ค่อยชอบหมอนี่เลยแฮะ” นี่เป็นความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อเบ็น ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น
ตามจดหมายที่แนบมากับคู่มือการเดินทาง ผมได้พักในตู้โดยสารที่ 3 ทำให้ไม่ต้องเดินไปไกลมากเหมือนคนที่ได้พักในตู้โดยสารตู้หลัง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รีบนำสัมภาระทั้งหมดของตัวเองทั้งหมดไปใส่รถเข็นที่ทางสถานีเตรียมไว้ให้ แล้วรีบวิ่งไปยังตู้โดยสารของตัวเองให้เร็วที่สุด เพราะว่ากลัวว่าสัมภาระจะเปียกระหว่างขนขึ้นขบวน
เมื่อมาถึงหน้าตู้โดยสารของตัวเอง ผมรีบหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปวางไว้ตรงทางเข้าตู้โดยสารของตัวเอง แต่ก็น่าแปลกใจที่ระหว่างนำกระเป๋าขึ้นไปวางไว้ กระเป๋ากับตัวผมเองไม่ได้เปียกเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้ผมทั้งตกใจและสับสนในเวลาเดียวกัน แต่ก่อนที่จะปล่อยให้ความคิดของตัวเองเลยเถิด ผมก็ดึงสติและขนของขึ้นตู้โดยสารต่อจนเสร็จ
ตัวตู้โดยสารมีความกว้างกว่าที่เห็นจากภายนอกอย่างมาก ทั้งฝั่งที่เป็นทางเดินเพื่อเดินไปยังตู้โดยสารตู้อื่นและฝั่งที่เป็นห้องพักก็กว้างอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตู้โดยสารของรถไฟ ภายในห้องพักก็มีทั้งเตียงเดี่ยว เครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้า และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ถ้าหากมองแค่รูปของตัวห้องพักคงต้องคิดว่าเป็นห้องในโรงแรมหรูเป็นแน่
ผมที่กำลังตะลึงอยู่กับห้องพัก ก็ได้ดึงสติกลับมา แล้วนำสัมภาระทั้งหมดเข้ายังห้องพัก แล้วนั่งพักบนเตียง ก่อนที่จะตัดสินใจถอดรองเท้าแล้วพาตัวเองขึ้นไปนอนพักบนเตียงอย่างสมบูรณ์ เพราะความเหนื่อยที่รีบขนของประกอบกับตอนนี้ยังเป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้ากระมัง ทำให้ผมเริ่มที่จะง่วงนอน แต่ยังไม่ทันที่จะได้หลับตาลง เสียงโทรศัพท์ที่ติดอยู่กับผนังห้องก็ดังขึ้น ทำเอาผมตกใจ แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันดังต่อไปเพราะเชื่อว่าเดี๋ยวอีกสักพักสายที่โทรมาก็จะตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความเอง แต่การตัดสินใจของผมครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด
เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นเรื่อย ๆ และผสมโรงกับเสียงฝนที่กำลังตกอยู่กลายเป็นแห่งฝันร้ายสำหรับผม ทำให้ผมต้องเดินไปรับสายนั้น
“ค่า ฮัลโหล สวัสดีค่ะ คุณคราวน์ นี่เจย์นะคะ” ทันทีที่ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นโดยที่ยังไม่ได้นำมันไปแนบกับหูตัวเอง เสียงของเจย์ดังขึ้นชนิดที่ว่าเธอกำลังเอาโทรโข่งของเธอมาพูดอัดกับโทรศัพท์ คงดูไม่จืดแน่นอนถ้าผมนำหูโทรศัพท์ไปแนบกับหูตัวเองตอนที่จะรับสาย
“อ่าครับ คุณเจย์ มีธุระอะไรหรอครับ?” ผมตอบโดยที่ยังไม่ได้เอาหูโทรศัพท์มาแนบที่หูของตัวเอง
“ค่า มีค่ะ แต่ว่าคุณคราวน์คะ คุณนี่รับโทรศัพท์ช้าจังเลยนะคะ ฉันต้องโทรไปหาผู้โดยสารท่านอื่นอีกนะคะ”
“ขอโทษครับ พอดีผมกำลังจะงีบพัก เลยมารับสายช้าไปหน่อย” ผมแก้ตัวแบบส่ง ๆ เพราะรู้ว่ายังก็ต้องโดนบ่นเรื่องที่มารับสายช้าอยู่แล้ว ที่จริงผมเตรียมตัวฟังคำบ่นในข้อความที่ฝากไว้กรณีที่สายตัดแล้วด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอเข้าเรื่องเลยนะคะ ฉันลืมประกาศตอนก่อนปล่อยให้ทุกคนขึ้นตู้โดยสารค่ะ คือว่าพวกคุณมีเวลาในการจัดของ 1 ชั่วโมงค่ะ หรือก็คือคุณต้องจัดของให้เสร็จก่อน 8 นาฬิกาค่ะ ถ้าครบกำหนดแล้วให้พวกคุณไปรวมตัวที่ตู้โดยสารที่ 7 กันด้วยนะคะ หรือถ้าจัดเสร็จก่อนเวลาจะมานั่งรอก่อนก็ได้นะคะ ทุกคนจะได้ทำความรู้จักกัน”
“อ่าครับ”
“ขอบคุณที่รับสายและสละเวลาอันมีค่าของคุณนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนที่จะตัดสายไป และการสนทนาที่เกิดขึ้นไปเมื่อสักครู่ ผมไม่ได้เอาหูโทรศัพท์ไปแนบกับหูของตัวเองแม้แต่นิดเดียว เสียงโทรศัพท์ที่ดังมากของเจย์เมื่อสักครู่ทำให้ผมที่ง่วงอยู่หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ผมนั่งพักลงบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือสักพัก ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าและกล่องต่าง ๆ ที่วางกองอยู่ข้างเตียงมาเปิดและนำไปจัดวางยังส่วนต่าง ๆ ของห้อง โดยเริ่มจากนำเสื้อผ้าทั้งหมดไปใส่ตู้เสื้อผ้า นำคู่มือการเดินทางและหนังสืออ่านเล่นมาจัดยังโต๊ะเขียนหนังสือ และหาที่วางของใช้ส่วนตัวสักพักและพบว่าภายในห้องพักมีประตูที่นำไปสู่ห้องน้ำส่วนตัวด้วย
เมื่อจัดห้องเสร็จแล้ว ผมก็พบว่ายังเหลือของอีกหนึ่งอย่างที่ยังไม่ได้นำไปวางไว้ในที่ของมัน ของสิ่งนั้นคือ ร่มยาวสีเขียวอ่อนที่มีด้ามจับคล้ายกับไม้เท้า โดยร่มคันนี้เองที่เป็นของผมคิดว่าสามารถใช้แทนตัวตนของผมเองได้ ผมเลยต้องนำมันมาในการเดินทางครั้งนี้ด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้มันตลอดการเดินทางครั้งนี้ก็ตาม
“เอาล่ะ จะเอาแกไปไว้ตรงไหนดีนะ” ผมบ่นกับตัวเองในใจ ก่อนที่จะตัดสินใจนำมันไปวางไว้ปลายเตียงใกล้กับบริเวณโต๊ะเขียนหนังสือ และมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามกับประตูห้องพัก ตอนนี้ฝนเริ่มซาลงมาได้สักพัก
“ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ” ผมคิดในใจ แล้วก็ก้มลงไปมองที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ตอนนี้เวลา 7 นาฬิกา 40 นาที
“ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 20 นาทีแฮะ จะไปตู้โดยสารที่ 7 เลยดีไหม หรือว่าจะนอนพักก่อนแล้วค่อยไปดีนะ” ผมเริ่มเถียงกับตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจหยิบกุญแจห้องพักที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วออกจากห้องพักและเดินไปยังตู้โดยสารที่ 7
ผมเดินผ่านตู้โดยสารไปเรื่อย ๆ โดยที่พยายามนึกว่าตัวเองได้ล็อกห้องพักของตัวเองดีแล้วหรือยัง แต่ผมก็พึ่งมาสังเกตว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนรถไฟขบวนนี้ ผมสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากการเคลื่อนที่ของรถไฟไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยความคิดนั้นทิ้งไป เพราะขนาดตอนที่นำสัมภาระขึ้นมายังรถไฟกับตอนที่ผมกำลังเดินไปยังตู้โดยสารที่ 7 ฝนกำลังตกอยู่ แต่ระหว่างทางเปลี่ยนระหว่างตู้โดยสารที่มีช่องว่างระหว่างหลังคาเล็กน้อยที่พอจะให้ฝนตกลงมาทำให้ตัวผมเปียก ทั้งที่โดนฝนเข้าอย่างจัง แต่ตัวกลับไม่เปียกซะงั้น
ในที่สุดผมก็มาหยุดที่ตู้โดยสารที่ 6 ซึ่งเป็นตู้เสบียง แต่เพราะความรีบที่จะไปให้ถึงตู้โดยสารที่ 7 ทำให้ผมไม่ได้สังเกตรายละเอียดปลีกย่อยของตู้เสบียงสักเท่าไหร่ ข้างหน้าของผมเป็นประตูที่เป็นทางเชื่อมไปสู่ตู้โดยสารที่เจย์เป็นคนเรียกให้ทุกคนมารวมตัวเพื่อทำความรู้จักกัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะหลังจากที่เปิดประตูเข้าไปยังตู้โดยสารที่ 7 ผมไม่รู้เลยว่าจะมีใครอยู่ไหม และผมไม่ค่อยชอบที่ที่เสียงดังสักเท่าไหร่
ผมทำใจอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป ตามที่คู่มือการเดินทางบอกไว้ นี่จะเป็นห้องนั่งเล่น เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ผมก็ตกใจอยู่สักพัก เพราะว่าตู้โดยสารนี้มีความยาวกว่าตู้โดยสารของผมและตู้โดยสารอื่นที่ผมเดินผ่านมามาก อาจเป็นเพราะตอนขนของผมรีบมายังตู้โดยสารของตัวเองเลยไม่ทันได้สังเกตว่าภายนอกตู้โดยสารจริง ๆ แล้วมันยาวขนาดนี้หรือไม่ ภายในห้องนั่งเล่นนี้ มีทั้งโทรทัศน์ โซฟา ชั้นหนังสือที่สูงไม่มาก และสิ่งสร้างความบันเทิงที่ถูกกฎหมายอยู่มากมาย
ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องแล้วก็พบว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนอกจากผม 1 คน เขาเป็นชายร่างใหญ่ ผิวคล้ำ ผมค่อนข้างหยิกและสั้น ใส่เสื้อลายขวางกับกางเกงยีนขายาว มองเผิน ๆ แล้วดูเหมือนกับคนที่ทำอาชีพเกษตรกร เขานั่งอยู่ที่โซฟาข้างโทรทัศน์และมองออกไปนอกหน้าต่าง นั่นทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นผม ผมจึงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างชั้นหนังสือ
ผมปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับเขา และเตรียมตัวที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เพราะผมเกิดความรู้สึกที่ว่าถ้าปล่อยให้เงียบไปนานกว่านี้คงจะดูไม่ดีแน่สำหรับการสร้างความประทับใจแรก แต่ทันทีที่ผมไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามเขา เขาก็สะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราแก้เขิน
“สวัสดีครับ ผมชื่อคราวน์ คุณชื่ออะไรหรอครับ?” ผมพยายามปั้นหน้ายิ้ม และใช้บทสนทนาที่ผมคิดว่าคนทั่วไปจะใช้กันเวลาที่จะทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จะนะคราวน์ เราชื่อว่าไมโล พอดีเมื่อตะกี้เรามัวแต่มองวิวเพลินไปหน่อย เลยไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเข้ามา” เขาตอบด้วยเสียงดังที่แฝงความมุ่งมั่น น้ำเสียงกับภาพลักษณ์ของเขาทำให้ผมนึกถึงพ่อค้าที่ตลาดผักสดทีเดียว
“อ่า ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบไมโลกลับ ยังไม่ได้ที่จะพูดต่อไมโลก็หันหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างต่อ ทำให้ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมห้องอีกครั้ง ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นผมก็คงทำแบบนั้นเหมือนกันกับการที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักทาย
“อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อแล้ว” ผมคิดในใจ ด้วยบทสนทนาเมื่อกี้ทำให้ไมโลกลายเป็นเพื่อนร่วมทางของผมคนแรกในบรรดาว่าที่เพื่อร่วมทางทั้งหมด 9 คน
ตอนนี้เหลือเวลาอีกราว ๆ 10 นาที ไมโลก็ยังคงมองวิวนอกหน้าต่างอยู่ ผมที่ว่างอยู่จึงเดินไปที่ชั้นหนังสือ ทำทีว่ากำลังหาหนังสือมาอ่านเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
ผ่านไปสักพักบรรดาว่าที่เพื่อนร่วมทางที่เหลือก็ทยอยเข้ามายังห้องนั่งเล่น บางคนก็ไปนั่งบนโซฟา บางคนก็นำหนังสือติดตัวมาอ่านด้วย บางคนก็คุยกันมาระหว่างทางราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาก่อน ส่วนผมก็ยังคงทำทีว่ากำลังหาหนังสือมาอ่านอยู่ ไม่นานห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยผู้คน
“รู้สึกอึดอัดจัง” ผมได้แต่บ่นในใจ สักพักก็มีเสียงประกาศจากลำโพงที่อยู่บริเวณประตูทางเข้าห้องนั่งเล่นทั้งสองฝั่ง
“ค่า หวังว่าผู้โดยสารทุกท่านจะมาครบแล้วนะคะ ตอนนี้ก็เป็นเวลา 10 นาฬิกาตรงแล้วค่ะ ก็ขอให้ผู้โดยสารแต่ละคนเริ่มแนะนำตัวได้เลยค่ะ จะเริ่มยังไงก็แล้วแต่ตามสะดวกค่ะ แต่จำไว้นะคะว่าประตูของตู้โดยสารนี้จะไม่สามารถเปิดได้จนกว่าผู้โดยสารทุกท่านจะแนะนำตัวครบนะคะ” เสียงประกาศของเจย์ดังขึ้นและตัดไปทันทีที่เธอพูดจบ
เสียงประกาศนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาว่างของผมหมดลงแล้ว ผมจึงกลับไปนั่งที่โซฟาข้างชั้นหนังสือเหมือนเดิมกับตอนที่พึ่งเข้ามายังห้อง
“ไม่สามารถเปิดได้ แสดงว่าไม่สามารถออกไปได้สินะ” หญิงตัวเล็กที่ดูแล้วมีอายุมากที่สุดในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดพูดออกมาจากฝั่งที่เป็นโซฟาสำหรับนั่งเล่น
“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาทำความรู้จักกันเถอะ” ชายผิวคล้ำที่ท่าทางดูเป็นนักวิชาการตะโกนออกมาจากกลางห้อง ทำให้ทุกคนหันไปสนใจเขา
ห้องทั้งห้องเงียบลงไปสักพัก ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดขึ้นมาอีกรอบ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับทุกคน ผมชื่อเบ็น หวังว่าตลอด 30 วันต่อจากนี้ พวกเราจะได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะครับ”
“รู้สึกไม่ค่อยชอบหมอนี่เลยแฮะ” นี่เป็นความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อเบ็น ซึ่งตัวผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ