หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)

-

เขียนโดย ถานเซียง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  8,154 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) สงสัย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
           เหมันตฤดูยังคงอยู่และความหนาวเหน็บจากหิมะที่โปรยปรายในทุกวันเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น เมืองหนานเกิงเป็นเมืองหลวงของแคว้นหลิน ทุกปีจะมีเหมันตฤดูพัดผ่านเพียง 3 เดือน แต่เป็นสามเดือนที่สาหัสพอดู บ้านเรือนทุกหลังในเขตเมืองหลวงล้วนปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะที่ตกลงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน
          ผ่านมาแล้วเจ็ดวัน นับจากวันที่หลินเยว่ชิงขอบิดาไปเที่ยววัดเหยียนฟู่ แต่ดูเหมือนอาเตี่ยจะงานยุ่งน่าดูจึงไม่มีเวลาว่างพานางไปไหว้พระเสียที ตลอดเจ็ดวันมานี้เด็กน้อยพบหน้าบิดาแทบจะนับครั้งได้ ทุกทีที่พบกันเหมือนอาเตี่ยจะดูเหนื่อยล้าเป็นพิเศษไม่รู้ว่ามีเรื่องใดกวนใจอยู่หรือไม่
          หลินเยว่ชิงยังคงนั่งคัดอักษรอยู่ในห้องของตน อากาศข้างนอกหนาวเย็นเกินไป จึงทำให้ดรุณีน้อยมิได้ออกไปเรียนวรยุทธกับท่านอาควน เนื่องจากอาเหนียงกลัวนางจะไม่สบายเอาได้ หากต้องออกไปโดนอากาศที่หนาวเย็นนานๆ
          การเรียนวรยุทธของหลินเยว่ชิงเป็นเพียงการออกมัดเตะต่อยสายลมเท่านั้น นางยังเยาว์วัยเกินไปจึงยังไม่สามารถจับกระบี่ที่มีน้ำหนักมากได้ แม้แต่ดาบไม้อาเตี่ยยังสั่งห้าม เพราะกลัวว่านางจะทำให้ตนเองบาดเจ็บ แต่ตัวแสบของอาเตี่ยมีหรือจะยอม นางแอบเอาดาบไม้ที่พี่ชายใหญ่นำมาให้ ออกมาฝึกกวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะเพราะไม่มีผู้ใดยอมสอนนางใช้ดาบสักคน
          พี่ชายใหญ่ของดรุณีน้อยคือ ‘หลินหยางจิ้ง’ โอรสองค์โตในเสด็จลุงหลินเฟยเทียนของนางนั้นเอง หลินหยางจิ้งมีวัยมากว่าหลินเยว่ชิงราวสิบปี เด็กหนุ่มเป็นพี่ชายที่นางรักมากผู้หนึ่ง เสด็จลุงไท่จื่อมีโอรสอยู่สองพระองค์ คือ พี่ชายใหญ่หยางจิ้ง และพี่ชายรองหยางหมิง กับพี่ชายรองผู้นี้อายุห่างจากนางราวแปดปี ด้วยความที่หลินเยว่ชิงเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของฉีหวาง เด็กน้อยจึงได้นับเอาญาติผู้พี่ทั้งสองมาเป็นพี่ชายของตนเองเสียเลย เรื่องนี้เสด็จลุงก็เห็นชอบด้วย นอกจากนางจะเป็นที่รักของอาเตี่ยอาเหนียงแล้ว หลินเยว่ชิงยังเป็นที่รักของท่านพี่ทั้งสองและเสด็จลุงอีกด้วยเช่นกัน
             หลินเยว่ชิงยังคงตั้งใจคัดอักษรต่อไปอย่างเงียบเชียบ เพราะนางต้องการสมาธิในการวาดอักษรเหล่านี้ ท่านหญิงน้อยแห่งจวนฉีหวางต้องการคัดอักษรไปอวดบิดา
           “ท่านหญิงเพคะ ประเดี๋ยวบ่าวเปลี่ยนเตาพกให้นะเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงกว่าเดิมแล้ว” เสี่ยวอวี้นางกำนัลน้อยวัย 10 หนาวของหลินเยว่ชิงเอ่ยบอกเจ้านายน้อยของตน
           เสี่ยวอวี้เป็นเด็กกำพร้าที่กำลังจะถูกเหล่าอันธพาลจับไปขายยังหอนางโลม แต่ท่านหญิงน้อยในวัย  4 หนาว ที่กำลังนั่งรถม้าผ่านมาแถวตลาดพร้อมกับพระชายา เห็นนางถูกฉุดกระชากลากถูไปตามทางจึงยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้เด็กสาวรอดพ้นจากน้ำมือมารพวกนั้นมาได้  หลังจากวันนั้นนางสาบานว่าจะปกป้องดูแลท่านหญิงน้อยของนางด้วยชีวิต
            “อืม ตามใจพี่เสี่ยวอวี้เลย แต่ข้าขอขนมด้วยได้หรือไม่ เริ่มหิวเสียแล้ว” หลินเยว่ชิงบอกกล่าวนางกำนัลคนสนิทอย่างเป็นกันเอง นางไม่เคยมองเสี่ยวอวี้ว่าเป็นบ่าวไพร่เลย แต่นางกลับคิดว่าพี่สาวต่างวัยผู้นี้คือสหายของนาง
          “รอสักครู่นะเพคะ เดี๋ยวบ่าวไปยกขนมและน้ำชามาให้”
            คล้อยหลังนางกำนัลคนสนิท หลินเยว่ชิงก็เหม่อมองหิมะที่กำลังโปรยปรายอยู่นอกเรือนอย่างเบื่อหน่าย นางเฝ้ารอวันที่มีแสงสุริยันสาดส่องลงมาให้ความอบอุ่นบ้าง แต่ถึงจะรอแล้วรอเล่าอย่างไร ก็ยังไม่มีทีท่าว่าหิมะจะหยุดตกง่ายๆ
           “เฮ้อ! เมื่อใดหิมะจะหยุดตกกันนะ แล้วอย่างนี้ข้าจะได้ไปวัดเหยียนฟู่เมื่อใดกัน? ข้าอยากไปชมเหมยแดงที่วัดเหยียนฟู่จะแย่อยู่แล้ว” ดรุณีน้อยได้แต่บ่นกระปอดกระแปดกับตัวเอง เพราะหิมะที่ตกอยู่ตลอดเวลาทำให้นางไม่สามารถออกไปที่ใดได้
             ในที่สุดช่วงเวลาที่ท่านหญิงน้อยรอคอยก็มาถึง เช้านี้ไม่มีหิมะตกลงมาแล้วแสงแดดอ่อนสาดส่องไปทั่วฟากฟ้า ทำให้หิมะละลายพอที่จะสามารถเดินทางได้ หลินเยว่ชิงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังวัดเหยียนฟู่ อาเตี่ยส่งคนมาแจ้งนางตั้งแต่เมื่อวาน ว่าจะพานางและอาเหนียงไปไหว้พระด้วยกันตามสัญญาที่เคยให้ไว้
            เด็กน้อยวัย 5 หนาวรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกนอกเมืองเป็นครั้งแรก หลินเยว่ชิงไม่เคยออกไปที่ใดเลยนอกจากจวนฉีหวาง วังหลวง และค่ายทหารของบิดา แม้แต่ตลาดนางก็ทำได้เพียงนั่งมองจากบนรถม้าเท่านั้น
            วันนี้เสี่ยวอวี้จับท่านหญิงน้อยแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ปักลายดอกเหมยสีแดงกระจายอยู่เต็มกระโปรง พร้อมกับเสื้อคลุมขนกระต่ายสีขาวที่อาเตี่ยเป็นคนล่ามาให้อาเหนียงเย็บเป็นเสื้อคลุมกันหนาวให้นาง ผมของร่างเล็กถูกมวยเป็นก้อนกลมๆ สองข้างแล้วผูกด้วยผ้าผูกผมสีเขียวอ่อนปักลายดอกเหมย ทรงผมของนางรับกับดวงหน้าแป้นแล้นที่แก้มขาวๆ ยุ้ยๆ นั้นทำให้เหมือนซาลาเปายักษ์อย่างที่บิดาชอบเรียกขาน
             หลินเยว่ชิงพาร่างเล็กที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูราวกับเทพธิดาตัวน้อยของนาง เดินนำเสี่ยวอวี้ไปยังตำหนักใหญ่ของบิดา บ่าวไพร่ที่เห็นท่านหญิงน้อยเดินผ่านมาต่างพากันยอบกายทำความเคารพกันอย่างถ้วนทั่ว ด้วยความที่หลินเยว่ชิงไม่เคยดุด่าทุบตีข้ารับใช้คนใดเลย จึงทำให้ท่านหญิงน้อยเป็นที่รักและเคารพของบ่าวไพร่ในจวน
            ก๊อก ก๊อก ก๊อก
           “อาเตี่ย ชิงเอ๋อร์เข้าไปนะเจ้าคะ?” หลินเยว่ชิงเคาะประตูก่อนจะขออนุญาตบิดาเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาในโถงรับรองเรือนใหญ่ของบิดาแล้ว ร่างเล็กรีบวิ่งไปหาอาเตี่ยของนางพร้อมชูแขนทั้งสองข้างขึ้นหมายให้บิดาอุ้มตนขึ้นมา
           หลินเฟยหลิงเมื่อเห็นกริยาท่าทางเช่นนั้นของบุตรสาว ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าตัวแสบคงอยากให้ตนอุ้ม เขาไม่รอช้ารีบอุ้มร่างนุ่มนิ่มของธิดาขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนทันที
           ฟอด!
           “คิดถึงอาเตี่ยที่สุดเลย” หลินเยว่ชิงหอมแก้มบิดาไปฟอดใหญ่ ก่อนจะเอ่ยวาจาออดอ้อนด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
          “หึหึ” หลินเฟยหลิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อเจ้าซาลาเปายักษ์ของเขาเข้ามาออดอ้อนเช่นนี้ ร่างสูงเอื้อมมือไปบีบแก้มยุ้ยๆ ของบุตรสาวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
          “โอ๊ย! อาเตี่ย! มาบีบแก้มสาวน้อยเยี่ยงนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” หลินเยว่ชิงทำแก้มพองๆ ปากเล็กจิ้มลิ้มนั้นเม้มเข้าหากันอย่างกำลังแง่งอนบิดา
          “ผู้ใดรึ? อยู่ที่ใดกันสาวน้อยที่ว่านั่น อาเตี่ยเห็นแต่ซาลาเปายักษ์เท่านั้น”
          “อาเตี่ย!!” หลินเยว่ชิงสะบัดหน้าอย่างเคืองๆ ใส่อาเตี่ยของนาง
           เหอไฉ่อิ่งยืนมองพ่อลูกหยอกเย้ากันด้วยรอยยิ้มกว้าง นางโชคดียิ่งนักที่มีสามีที่รักและบุตรสาวผู้น่ารักอยู่เคียงข้าง หญิงสาวปรารถนาให้ความสุขเหล่านี้อยู่กับครอบครัวของนางไปอีกนานแสนนาน
          “ท่านพี่ ท่านก็เลิกกลั่นแกล้งลูกได้แล้วเจ้าค่ะ รีบไปกันเถิด หากช้ากว่านี้ประเดี๋ยวจะสายเสียก่อน” เหอไฉ่อิ่งส่งเสียงเตือนสามีให้รีบออกเดินทาง
         วัดเหยียนฟู่ขึ้นชื่อเรื่องการบันดาลโชคลาภและความสำเร็จ แต่ที่ลูกสาวตัวน้อยของนางอยากไปวัดเหยียนฟู่แห่งนี้ เพราะมีเสียงร่ำลือกันว่าดงดอกเหมยที่อยู่ตรงตีนเขาทางขึ้นวัดเหยียนฟู่นั้น เมื่อถึงเหมันตฤดูจะออกดอกแดงสะพรั่งไปทั่วทั้งตีนเขาเสมือนราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์
         “อืม เช่นนั้นเราไปกันเถอะตัวแสบ” หลินเฟยหลิงหันไปพูดกับบุตรสาวตัวน้อยของเขาที่ยังถูกอุ้มอยู่ในแขนข้างเดียว ก่อนจะเดินไปจับจูงมือชายารักออกไปพร้อมกัน
           รถม้าคันใหญ่ที่ใช้อาชาศึกถึงสี่ตัวลากเทียม หน้ารถม้าแขวนป้ายตำหนักฉีหวางตัวใหญ่ ตัวรถทำจากไม้กฤษณา ด้านในบุนวมรอบด้านเพื่อให้ความนุ่มและความอบอุ่น  ด้านในตัวรถกว้างขวางสามารถนั่งได้ถึงสี่คนโดยไม่เบียดเสียดกัน และยังมีโต๊ะน้ำชาเล็กๆ วางไว้ด้านข้างพร้อมกับขนมสำหรับทานคู่กับน้ำชา
           หลินเฟยหลิงส่งตัวบุตรสาวขึ้นไปบนรถม้าก่อน แล้วหันไปประคองร่างบอบบางของภรรยาให้ตามธิดาขึ้นไป ทันทีที่เห็นมารดาเข้ามานั่งในรถม้า เจ้าตัวแสบแห่งจวนอ๋องก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปคลอเคลียอาเหนียงทันที แต่ร่างเล็กกลับโดนบิดาคว้าเอาตัวนุ่มนิ่มของนางให้มานั่งตักตนเสียก่อน
            “อาเตี่ย! ชิงเอ๋อร์จะนั่งตักอาเหนียง!”  หลินเยว่ชิงดิ้นดุกดิกอยู่ในอ้อมแขนของบิดา หนำซ้ำอาเตี่ยยังกอดนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเสียด้วย
            รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าจวนฉีหวางไปยังวัดเหยียนฟู่ การออกนอกเมืองในครั้งนี้ หลินเฟยหลิงให้ทหารองครักษ์ตามไปอารักขาราว 50 นาย และยังมีองค์รักษ์เงาอีก 10 คนที่ติดตามมาห่างๆ แต่ยังอยู่ในระยะที่คุ้มครองผู้เป็นนายได้ การไปไหว้พระที่วัดเหยียนฟู่วันนี้ เหอไฉ่อิ่งเองก็นำนางกำนัลคนสนิทไปด้วย 2 คน และยังให้เสี่ยวอวี้นางกำนัลของบุตรสาวติดตามไปด้วยอีกคน
              “นั่งตรงนี้แหละ ตัวเจ้าหนักถึงเพียงนี้เดี๋ยวอาเหนียงจะปวดขาเปล่าๆ”
               “อาเตี่ย! ชิงเอ๋อร์มิได้ตัวหนักเสียหน่อย!  อาเหนียงดูสิเจ้าคะ อาเตี่ยแกล้งชิงเอ๋อร์อีกแล้ว”  หลินเยว่ชิงหันฟ้องมารดาด้วยแววตาใสซื่อราวกับลูกหมาน้อย
              “ขี้ฟ้อง! เจ้าซาลาเปายักษ์ขี้ฟ้อง!” หลินเฟยหลิงยังคงเย้าแหย่บุตรสาวต่อไปอยู่เช่นนั้น ส่วนชายารักของเขาได้แต่ส่ายศีรษะเอือมระอากับพ่อลูกคู่นี้
             “นั่งเฉยๆ อย่าดิ้นสิ อาเตี่ยมีของจะให้ชิงเอ๋อร์ด้วยนะ” กล่าวจบร่างสูงก็หยิบเอากระพรวนเงินที่แกะสลักลายดอกเหมยช่อหนึ่งอยู่บนตัวกระพรวนออกมา
              กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง
            เสียงดังแผ่วเบาของกระพวนเงินที่ตัวกำไลทำจากแร่เงินบริสุทธิ์ และลูกกระพรวนทำมาจากหยกดำชั้นดี เสียงกระพรวนจึงไม่ดังมากหากไม่ตั้งใจฟังก็จะมิได้ยินเสียงนี้
           “เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหายเชียว กระพรวนนี้มีความสำคัญมากนะ เพราะมันคือกุญแจ  เจ้าเห็นสลักตรงนี้หรือไม่? นี่คือลูกกุญแจ ตอนนี้ชิงเอ๋อร์ยังเล็กคงใส่เป็นกำไลข้อมือมิได้  เช่นนั้นอาเตี่ยจะใส่ไว้ที่ข้อเท้าแทนแล้วกัน” หลินเฟยหลิงจับข้อเท้าเล็กข้างขวาของบุตรสาวขึ้นมา ก่อนจะถอดรองเท้าและถุงเท้าออกพร้อมกับบรรจงสวมกระพรวนอันนั้นให้บุตรสาวอย่างแผ่วเบา แล้วจึงซ่อนกระพรวนเงินไว้ใต้ถุงเท้าของเด็กน้อย
           หลินเยว่ชิงยังคงงุนงงกับการกระทำของบิดา เหตุใดอาเตี่ยต้องซ่อนกระพรวนไว้ใต้ถุงเท้านาง ในเมื่อให้แล้วก็ใส่ข้างนอกเลยมิได้หรือ แล้วที่ว่าเป็นกุญแจนั่นอีก มันคือกุญแจสำหรับสิ่งใดกัน?
           “อาเตี่ย มันคือกุญแจอะไรหรือเจ้าคะ?”
          “เอาไว้เมื่อถึงเวลาชิงเอ๋อร์ก็จะรู้เอง” หลินเฟยหลิงส่งยิ้มอบอุ่นมาให้บุตรสาว แต่แววตาของชายหนุ่มกลับมีความกังวลใจพาดผ่านแวบเดียวก่อนจะจางหายไป
           เหอไฉ่อิ่งที่เห็นสองพ่อลูกกำลังเจรจากันอยู่นั้น นางก็นั่งมองท่าทีของสามีอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวสังเกตเห็นความกังวลพาดผ่านสายตาของสามี และสายตาที่ใช้มองลูกน้อยของพวกเขาเป็นแววตาที่มีแต่ความร้าวราน เหมือนกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป ถึงแม้จะซ่อนไว้มิดชิดเพียงใด  แต่กับคนที่เป็นคู่ชีวิตแล้วย่อมต้องมองเห็นชัดเจนกว่าผู้อื่น อาการเช่นนี้ของสามีทำให้นางรู้สึกวูบโหวงในใจแปลกๆ
           “ชิงเอ๋อร์ อาเหนียงก็มีของจะให้เช่นกัน” เหอไฉ่อิ่งบอกกล่าวกับบุตรสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหยิบจี้หยกขาวสลักรูปหงส์เพลิง ภายใต้ตัวหงส์สลักคำว่า 'หลิน' และอีกด้านของจี้หยกสลักคำว่า 'เยว่ชิง'
            หญิงสาวทำหยกพกให้ธิดาตัวน้อย หลินเยว่ชิงยังเด็กซ้ำยังซุกซนเป็นที่หนึ่ง หากให้พกหยกประจำตัวอาจจะทำหายได้ นางจึงเปลี่ยนมาเป็นจี้หยกที่ใช้ห้อยคอแทน บุตรสาวตัวน้อยของนางก็สามารถพกไปได้ทุกที่
            หลินเยว่ชิงเอียงคอมองมารดาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยความถามออกไป “อันใดหรือเจ้าคะ? อาเหนียงให้ของขวัญวันเกิดชิงเอ๋อร์แล้วนี่เจ้าคะ”
            เหอไฉ่อิ่งชูสร้อยคอพร้อมจี้หยกให้บุตรสาวดู “มันเป็นหยกพกที่อาเหนียงสั่งทำพิเศษให้ชิงเอ๋อร์ แต่หยกพกชิ้นนี้มีความลับซ่อนอยู่นะ”
            “ความลับอันใดหรือเจ้าคะอาเหนียง?” เด็กน้อยถามออกมาด้วยความอยากรู้
            “เห็นตราหงส์เพลิงนี่หรือไม่? มันคือสัญลักษณ์ของร้านเฟิงหวง อาเหนียงยกมันให้ชิงเอ๋อร์” เหอไฉ่อิ่งตอบบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
            “อาเหนียง...” หลินเยว่ชิงกล่าวออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะนางไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาเอ่ยต่อไปดี ร้านเฟิงหวงเช่นนั้นรึ? นั่นมันเป็นร้านผ้าแพรและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหนานเกิงเชียวนะ แล้วเหตุใดอาเหนียงจึงยกมันให้เด็ก 5 หนาวอย่างนางกัน?
            หลินเยว่ชิงยังคงกระพริบตาปริบๆ มองหน้าอาเหนียงทีอาเตี่ยทีอย่างสงสัย เหตุใดวันนี้ทั้งสองท่านจึงได้มอบของขวัญให้นางพร้อมกันเช่นนี้นะ เด็กน้อยเยี่ยงนางจะเอาปัญญาที่ใดไปดูแลร้านใหญ่โตเช่นนั้นกัน
             เหอไฉ่อิ่งที่เห็นบุตรสาวยังคงทำหน้ามึนงงอยู่อย่างนั้น ก็ให้เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้บุตรีแล้วบรรจงสวมสร้อยคอที่มีจี้หยกหงส์เพลิงให้ลูกน้อยของนาง หญิงสาวได้แต่หวังว่าตนจะสามารถมีชีวิตอยู่จนเห็นเด็กน้อยเติมโตขึ้นมาเป็นท่านหญิงที่สง่างาม และสามารถส่งธิดาให้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีสักคน
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา