หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)

-

เขียนโดย ถานเซียง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  8,149 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) อารัมภบท

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

           สายลมเหมันต์พัดพาหอบเอาความเหน็บหนาวเข้ามาสู่ใจของดรุณีน้อยวัย 8 หนาว ที่กำลังยืนชมเหมยแดงออกดอกสะพรั่งเต็มต้นท้าลมหนาวอยู่กลางหิมะขาวโพลนในสวน

           แม้ผู้ที่ยืนชมดอกเหมยจะเป็นเพียงเด็กน้อย แต่แววตาของนางกลับให้ความรู้สึกหนาวเหน็บไม่ต่างจากอากาศกลางฤดูเหมันต์เท่าใดนัก ประกายตาที่แสนจะเย็นชาและราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึกใดๆ แต่แอบซ่อนความอ้างว้างเดียวดายไว้ในดวงตากลมโตคู่นั้น

          ดรุณีน้อยนางนี้นามว่า ‘หลินเยว่ชิง’ นางยังคงยืนมองต้นเหมยแดงด้วยสายตาเรียบเฉย คล้ายดังกับกำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

          “ท่านหญิงเจ้าคะ อากาศเริ่มหนาวมากแล้ว เข้าด้านในเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี้นางกำนัลผู้ภักดีวัย 13 หนาว คลี่เสื้อคลุมขนกระต่ายตัวหนามาห่มร่างเล็กของเด็กสาวเพื่อให้ความอบอุ่น

         “พี่เสี่ยวอวี้ดูสิ! วันนี้หิมะก็ตกหนักเช่นวันนั้นเลย สีแดงของดอกเหมยท่ามกลางหิมะคล้ายกับสีของเลือดยิ่งนัก” หลินเยว่ชิงชี้นิ้วเรียวเล็กของตนไปยังต้นเหมยแดงกลางหิมะ

          หลินเยว่ชิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของฉีหวาง ‘หลินเฟยหลิง’ แม่ทัพปราบอุดร แห่งแคว้นหลิน นางเป็นท่านหญิงน้อยจวนอ๋องที่เกิดจากชายาเอกสกุลเหอ ‘เหอไฉ่อิ่ง’ ด้วยความที่มารดาเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียวที่บิดารักมาก ทำให้หลินเยว่ชิงไม่มีพี่น้องร่วมสายเลือดอีกเลย เพราะบิดาไม่รับชายารองหรืออนุชายาเข้ามาในจวนอีก หลังจากคลอดนาง มารดาก็ร่างกายอ่อนแอลงมากจนไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ถึงแม้บิดาจะถูกกดดันจากเหล่าขุนนางเรื่องการมีท่านอ๋องน้อยไว้สืบทอดบรรดาศักดิ์ แต่อาเตี่ยของนางก็หาได้สนใจเรื่องเหล่านี้ไม่  นางจึงเป็นที่รักของทุกคนใจจวนฉีหวาง แต่แล้วความสุขของดรุณีน้อยผู้หนึ่งก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อนางมีวัยได้เพียง 5 หนาวเท่านั้น ราวกับความสุขที่เคยมีทุกอย่างเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่ง

        วันนั้นเมื่อ 3 ปีก่อนความสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้มาเยือนนาง ในวันเกิดครบรอบ 5 หนาว หลินเยว่ชิงได้ขอร้องและรบเร้ามารดาให้พาตนไปวัดเหยียนฟู่ ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปราว 20 ลี้ [1] แต่ผู้ใดจะรู้ว่าการออกนอกเมืองหลวงครั้งแรก จะเปลี่ยนชีวิตนางไปตลอดกาล

         “อาเหนียง [2] วันนี้ชิงเอ๋อร์อายุครบ 5 หนาวแล้ว อาเหนียงสัญญาว่าจะพาลูกไปเที่ยววัดเหยียนฟู่ จะพาชิงเอ๋อร์ไปจริงหรือไม่เจ้าคะ?” เด็กน้อยตัวกลมแก้มป่องคล้ายซาลาเปากำลังกอดเอวมารดา แล้วเอาหน้าถูไถไปกับหน้าท้องของมารดาเพื่อเป็นการออดอ้อน

          “เจ้าอยากไปรึ?  หากอยากไป วันนี้ชิงเอ๋อร์ต้องหัดคัดอักษรให้ได้ยี่สิบจบก่อนแล้วเหนียงจะพาไป” เหอไฉ่อิ่งตอบบุตรสาวตัวน้อยของนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับลูบศีรษะทุยๆ นั้นของลูกน้อยอย่างรักใคร่

          “เจ้าค่ะ ชิงเอ๋อร์จะตั้งใจคัดให้เต็มที่ แต่อาเหนียงต้องไปขออนุญาตอาเตี่ย [3] แทนชิงเอ๋อร์นะเจ้าคะ” หลินเยว่ชิงเอ่ยวาจาต่อรองกับมารดา ก่อนจะฉีกยิ้มหวานจนตาปิดไปให้ไปให้อาเหนียงของนาง

          เหอไฉ่อิ่งได้แต่โคลงศีรษะให้กับความออดอ้อนฉอเลาะของบุตรสาว หลินเยว่ชิงเป็นเด็กฉลาดเรียนรู้เร็ว มีความน่ารักสดใส ผู้ใดอยู่ใกล้ล้วนตกหลุมรักความน่ารักน่าเอ็นดูของนาง ปากน้อยๆ ช่างเจรจานั้นก็ชอบเอ่ยถามนั่นนี่ไม่หยุด แต่ความซุกซนก็มีไม่แพ้เด็กผู้ชายเลยเช่นกัน แม้จะเกิดเป็นหญิงแต่บุตรสาวของนางก็ชอบแอบหนีไปเที่ยวค่ายทหารของบิดาบ่อยครั้ง จนนางคร้านจะห้ามปรามเสียแล้ว ได้เห็นบุตรสาวมีความสุขนางผู้เป็นมารดาก็มีความสุขไปด้วย

           ถึงแม้ว่าหลินเฟยหลิงบิดาของหลินเยว่ชิงจะเป็นเชื้อพระวงศ์มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงรัชทายาทลำดับที่ 2 แต่หลินเฟยหลิงที่เติบโตอยู่นอกวังชอบให้ครอบครัวของเขาเรียกขานกันอย่างเช่นสามัญชนทั่วๆ ไป

          หลินเยว่ชิงมีโครงหน้าคล้ายมารดาถึงแปดส่วน เหอไฉ่อิ่งเคยเป็นอดีตยอดพธูแห่งเมืองหลวง บรรดาหนุ่มน้อยใหญ่ทั้งหลายบุตรขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต่างหมายปองนาง แต่เหอไฉ่อิ่งกลับยึดมั่นและปักใจกับรักแรกของนางอย่างหลินเฟยหลิง จนต้องให้บิดาผู้เป็นราชครูของฮ่องเต้ ทูลขอสมรสพระราชทานให้แก่นางและฉีหวาง เป็นความโชคดีของเหอไฉ่อิ่งที่สมรสพระราชทานครั้งนี้เป็นของผู้ที่มีใจตรงกัน

           ตึก! ตึก! ตึก!

          เสียงฝีเท้าก้าวเดินอย่างมั่งคงเป็นจังหวะสม่ำเสมอของผู้ที่ฝึกวรยุทธ เดินมาหยุดอยู่หน้าเก๋งในสวนที่หลินเยว่ชิงกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการคัดอักษร ร่างเล็กของเด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นมาด้วยฝีมือของผู้เป็นบิดา

           “อาเตี่ย! ปล่อยก่อนเจ้าค่ะ ชิงเอ๋อร์จะรีบคัดอักษรให้เสร็จ”

           หลินเฟยหลิงมองเจ้าซาลาเปายักษ์ของเขา ก่อนจะกดจมูกหอมแก้มยุ้ยๆ ของบุตรสาวไปหนึ่งที

           หลินเฟยหลิงเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุราวๆ 25 หนาว รูปร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับของชายชาติทหาร ดวงตาเหยี่ยวที่แฝงแววดุดันข่มขวัญศัตรูอยู่เสมอ กำลังจ้องมองบุตรสาวตัวน้อยอย่างอ่อนโยน แววตาเช่นนี้ของเขามีให้เพียงแค่บุตรสาวและชายารักเท่านั้น กับผู้อื่นมีเพียงประกายตาเย็นชาให้ได้พบเห็น

          “จะรีบคัดอักษรไปไหน หืม? ตัวแสบ!” หลินเฟยหลิงเอ่ยถามเด็กน้อย นิ้วแกร่งเคาะไปที่จมูกเล็กๆ นั้นของบุตรสาวเบาๆอย่างมันเขี้ยว

           “อาเตี่ยเจ้าขา วันนี้วันเกิดชิงเอ๋อร์” เด็กน้อยพูดจบพลางเอามือโอบคอผู้เป็นบิดา ก่อนจะซบหน้าลงกับบ่าแกร่งอย่างเอาใจ “ชิงเอ๋อร์กับอาเหนียงว่าจะไปขอพรที่วัดเหยียนฟู่ด้วยกัน อาเตี่ยให้ชิงเอ๋อร์ไปนะเจ้าค่ะ..นะเจ้าค่ะ อาเตี่ยให้ชิงเอ๋อร์ไปน๊า” หลินเยว่ชิงมองหน้าอาเตี่ยของนางอย่างออดอ้อน เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ เอียงคอเล็กๆ อย่างน่ารักน่าชังพร้อมส่งยิ้มประจบไปให้ผู้เป็นบิดา

           “แต่ว่า..อาเหนียงเจ้าจะไม่สบายเอาได้นะ หิมะก็เริ่มตกแล้วด้วยคงเดินทางไม่สะดวกนัก  เอาไว้วันใดที่อากาศดีกว่านี้ แล้วอาเตี่ยจะพาไปเองนะเด็กดี” หลินเฟยหลิงกล่าวห้ามเจ้าตัวยุ่งของเขา ช่วงนี้มีข่าวจากวงในมาว่ามีพวกที่คิดการใหญ่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ตัวเขาเองแม้จะไม่ได้สนใจบัลลังก์มังกร แต่ตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่ 2 ที่ค้ำคออยู่ก็ทำให้เขาอดเป็นห่วงภรรยาและลูกน้อยไม่ได้เช่นกัน

           แคว้นหลินเป็นแคว้นเล็กๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรมากมาย ทั้งยังมีเหมืองแร่เงินและเหมืองพลอยอยู่ในแคว้น  จึงถือเป็นแคว้นที่มีความมั่งคั่งในระดับหนึ่งหากเทียบกับแคว้นใหญ่ๆ ถึงจะเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ แต่กำลังทางการทหารก็มิได้อ่อนด้อย เพียงแต่เป็นแคว้นที่รักสงบจึงเลือกใช้วิธีเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นข้างเคียงด้วยการค้าหรือการสมรส แทนที่จะทำสงครามให้เสียเลือดเนื้อ ถึงแม้ศึกนอกจะดูสงบสุขแต่ศึกในนั้นก็มิอาจดูเบาได้ ยังคงมีการแย่งชิงอำนาจกันอย่างเงียบๆ ในหมู่องค์ชาย

           หลินเฟยหลงฮ่องเต้มีโอรสทั้งหมดห้าพระองค์ โดยหลินเฟยหลิงเป็นโอรสองค์ที่สามในหลิวฮองเฮา มีพี่ชายร่วมมารดาคือ ‘หลินเฟยเทียน’ ผู้เป็นองค์ชายใหญ่ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 ส่วนบรรดาพี่น้องที่เหลือของฉีหวางต่างกำเนิดมาจากสนมขั้นเฟยและขั้นผิน ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เขาสนิทกับพี่ชายใหญ่ของตนมากที่สุด

          หลินเฟยหลิงเป็นผู้สนับสนุนองค์ชายใหญ่ให้นั่งในตำแหน่งรัชทายาทได้อย่างมั่นคง ตัวเขาเองไม่ชอบเรื่องชิงดีชิงเด่นอันใด จึงอาสาออกรบตั้งแต่วัยเพียง 12 หนาว เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากวังหลวง จนเมื่อวัยได้ 19 หนาว ชายหนุ่มจึงกลับมาประจำการที่เมืองหลวง ก่อนจะแต่งงานกับหญิงอันเป็นที่รัก มีพยานรักเป็นเจ้าซาลาเปายักษ์ตัวแสบมาหนึ่งคน

         หลินเฟยหลิงมองหน้าบุตรสาวที่ทำแก้มพองปากยู่อย่างไม่พอใจ เมื่อโดนห้ามมิให้ออกไปข้างนอกในช่วงที่หิมะกำลังโปรยปรายเยี่ยงนี้ เขาไม่ได้ห่วงเรื่องความหนาวเย็นของอากาศ แต่ห่วงเรื่องการลอบสังหารต่างหาก ในแคว้นหลินนี้ผู้ใดมิรู้บ้างว่าเขารักและหวงแหนภรรยากับบุตรสาวเพียงใด แต่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้เขาก็มิอาจไว้ใจผู้ใดได้เช่นกัน ฉีหวางไม่ได้บอกความกังวลใจในเรื่องนี้แก่ภรรยาคู่ใจของเขา หลินเฟยหลิงไม่ต้องการให้ชายารักของตนมีเรื่องทุกข์ใจ เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของสองคนที่เขารัก ก็ทำให้พร้อมจะสู่กับปัญหาทุกอย่างที่รุมเร้าอยู่ในตอนนี้ได้แล้ว

           “ว่าอย่างไรตัวแสบ อาเตี่ยมิได้บอกว่าจะไม่พาไปเสียหน่อย แต่รอให้เตี่ยจัดการงานในค่ายทหารให้เสร็จก่อนแล้วเราก็ไปด้วยกัน” หลินเฟยหลิงกล่าววาจาต่อรองกับบุตรสาวที่เขายังคงอุ้มอยู่ไม่ยอมปล่อย

           “เจ้าค่ะ ชิงเอ๋อร์จะเชื่อฟังอาเตี่ย  แต่ว่า..ชิงเอ๋อร์ขอไปเรียนวรยุทธกับท่านอาควนที่ค่ายด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลินเยว่ชิงรับคำบิดาอย่างว่าง่าย แต่ก็มิวายจะต่อรองเรื่องเรียนวรยุทธ

           “ได้สิ แต่ลูกต้องไม่ซุกซนจนทำตัวเองเจ็บตัวนะ”

            หลินเยว่ชิงเมื่อได้ฟังคำอนุญาตจากบิดา นางก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเต็มปาก ก่อนจะกดจมูกเล็กๆ นั้นลงบนแก้มสากของบิดา "ฟอด! อาเตี่ยใจดีที่สุดเลย ชิงเอ๋อร์รักอาเตี่ยที่สุด แต่น้อยกว่าอาเหนียงนิดหนึ่ง”

             “ฮาๆ อาเตี่ยก็รักชิงเอ๋อร์ที่สุด แต่ก็น้อยกว่าอาเหนียงของชิงเอ๋อร์นิดหนึ่งเหมือนกัน” หลินเฟยหลิงหยอกเย้าบุตรสาวพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะว่างเด็กน้อยของเขาลง แล้วจึงปลีกตัวไปตรวจงานที่ค่ายทหารต่อ

              หลินเยว่ชิงมองตามแผ่นหลังกว้างของบิดาไปจนลับตาถึง นางชอบไปวิ่งเล่นในค่ายทหารของบิดา ทุกครั้งที่ไปอาเตี่ยก็จะจับนางแต่งกายเป็นคุณชายน้อยก่อนจะพาไปค่ายด้วยกัน จนบางครั้งทหารบางนายที่ไม่รู้จักนางคิดว่าฉีหวางมีท่านอ๋องน้อยแทนที่จะเป็นท่านหญิงน้อย แม้นางจะเป็นหญิง แต่ด้วยความที่ตั้งแต่จำความได้ นางก็ถูกบิดาหอบหิ้วไปยังค่ายทหารบ่อยๆ ทำให้นางซึมซับนิสัยเยี่ยงบุรุษมาโดยไม่รู้ตัว นางชื่นชอบการต่อสู้และขี่ม้า แต่นางยังเยาว์วัยเกินไปอาเตี่ยจึงให้นางขี่ม้าไม้ไปก่อน แต่ความเป็นกุลสตรีหลินเยว่ชิงก็มิได้ทิ้ง ถึงนางจะมีวัยแค่  5 หนาว แต่ศาสตร์ทั้งสี่ที่สตรีพึงมีนางก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่วัยเพียง 3 หนาว

              เหตุที่หลินเยว่ชิงต้องร่ำเรียนเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัย เพราะอาเหนียงของนางอยากเป็นคนสั่งสอนเรื่องพวกนี้ให้แก่นางด้วยตัวเอง อาเหนียงสุขภาพร่างกายอ่อนแอ นับวันมีแต่จะย่ำแย่ลง

              เหอไฉ่อิ่งเองก็กลัวว่าตัวนางเองจะลาโลกนี้ไปก่อน จะได้เห็นบุตรสาวเติบโตจนกลายเป็นท่านหญิงที่สง่างาม นางจึงตั้งใจสั่งสอนสิ่งที่ตนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่บุตรี โดยหวังว่าหากนางจากไปแล้ว ลูกสาวตัวน้อยของนางจะสามารถเติบโตเป็นสตรีที่ดีพร้อมได้

             ในชีวิตนี้ของหลินเยว่ชิงไม่ได้ต้องการสิ่งใดมาก นางขอแค่เพียงมีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว มีอาเตี่ยอาเหนียงที่รักมากอยู่เคียงข้างก็พอแล้ว แต่ดูเหมือนสวรรค์จะโหดร้ายกับเด็กน้อยวัย  5  หนาวผู้นี้เหลือเกิน จึงให้นางต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสเช่นนี้

*******

[1] 1ลี้ = 500 เมตร

[2] เหนียง = แม่

[3] เตี่ย = พ่อ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา