หลินเยว่ชิง บุปผาหมื่นมารยา(สนพ.B2S)
เขียนโดย ถานเซียง
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.
แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562 08.56 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) สูญเสีย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
รถม้าคันใหญ่จากจวนฉีหวางหยุดนิ่งเมื่อถึงที่หมายอย่างปลอดภัย หลินเฟยหลิงก้าวออกมาจากรถม้าเป็นคนแรก เขายื่นมือมารอรับภรรยาอยู่ข้างรถม้า
เหอไฉ่อิ่งวางมือเรียวบนมือหนาของสามีที่ช่วยจับประคองให้นางลงมายืนได้อย่างมั่นคง ก่อนที่หลินเฟยหลิงจะเอื้อมมือไปอุ้มบุตรสาวตัวน้อยมาไว้ในอ้อมแขน
ภาพที่ปรากฏในครรลองสายตาของหลินเยว่ชิงคือ ดงดอกเหมยขนาดใหญ่ที่กำลังออกดอกแดงสะพรั่ง สีแดงของดอกเหมยที่ตัดกับสีขาวของหิมะเป็นภาพที่งดงามเหลือจะบรรยาย
“ว้าว! งดงามมากเลย อาเตี่ยอาเหนียงที่นี่งดงามมากเลยเจ้าค่ะ” หลินเยว่ชิงอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
“เอาไว้ไหว้พระขอพรเสร็จแล้วเราค่อยมาเดินเที่ยวชมดีหรือไม่?” หลินเฟยหลิงกล่าวชวนบุตรสาวพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ แต่อาเตี่ยต้องมาเดินเล่นกับชิงเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ” หลินเยว่ชิงกล่าวพร้อมกับเอื้อมฝ่ามือเล็กๆ นั้นไปจับแก้มบิดาไว้ ภาพเหล่านี้ทำให้ผู้ติดตามทั้งหลายของฉีหวางเห็นแล้วต่างพากันอมยิ้มกับความน่ารักของท่านหญิงน้อย
หลินเฟยหลิงที่ยังคงอุ้มบุตรสาวอยู่ เดินไปจับจูงมือภรรยาให้เดินตามขึ้นไปยังวัดเหยียนฟู่พร้อมกัน วัดเหยียนฟู่ตั้งอยู่บนเขาระยะทางจากตีนเขาไปถึงตัววัดใช่เวลาเดินเท้าราวสองเค่อ มีบันไดขึ้นเขาประมาณ 300 ขั้น ตรงบริเวณตีนเขาและระหว่างทางขึ้นเขาจะปลูกเหมยแดงไว้เป็นทิวแถวให้ร่มเงาแก่ผู้ที่เดินขึ้นลงเขา
เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของอารามเหยียนฟู่ บรรยากาศรอบๆ ตัววัดให้ความรู้สึกใจสงบและมีมนต์ขลัง หลินเฟยหลิงจูงมือภรรยาเดินตรงเข้าไปในอาราม เขาวางลูกสาวตัวน้อยให้นั่งลงบนเบาะรองนั่งสำหรับสวดมนต์ ก่อนรับธูปที่หลี่ควนองครักษ์คนสนิทส่งมาให้ แล้วยื่นให้กับภรรยาชุดหนึ่ง
หลินเยว่ชิงเห็นอาเตี่ยอาเหนียงมีธูปอยู่ในมือแล้วเหตุใดของนางจึงไม่มี เด็กน้อยรีบเอ่ยทวงถามหาธูปของตนเองทันที “อาเตี่ย ธูปของชิงเอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ?”
“ก็นี่ไง ชิงเอ๋อร์ก็ใช้ธูปอันเดียวกันกับอาเตี่ยก็ได้” สิ้นคำกล่าว หลินเฟยหลิงก็อุ้มเจ้าซาลาเปายักษ์ของเขามานั่งตักทันที
“หลับตาเสียสิ แล้วก็ตั้งใจสวดมนต์ขอพร อาเตี่ยจะถือธูปไว้ให้เอง มันร้อนประเดี๋ยวจะโดนมือเอาได้”
“เจ้าค่ะ” หลินเยว่ชิงรับคำอาเตี่ยของนางพร้อมกับฉีกยิ้มหวานจนตาหยี ก่อนจะหลับตาลงเพื่อขอพร
หลินเฟยหลิงมองหน้ากลมๆ ขาวๆ ของบุตรสาวตาไม่กระพริบ ราวกับว่าเขาต้องการจะจดจำภาพน่ารักนี้ของบุตรสาวให้นานที่สุด ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น
หลินเฟยหลิงเพิ่งรู้ว่าตนเองถูกวางยาพิษกร่อนวิญญาณจากคนที่ตนไว้ใจอย่าง ‘หลวนจื่อเทา’ นายกองคนสนิทของเขา ผู้ใดจะรู้ว่าหลวนจื่อเทาจะเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้ามาในค่ายพยัคฆ์ทมิฬ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กับนายกองผู้นี้ที่เคยเป็นผู้ช่วยชีวิตฉีหวางในสนามรบจนตนเองเกือบเอาชีวิตไม่รอด ชายหนุ่มจึงนับอีกฝ่ายเป็นดังสหาย แต่คนที่เขาให้ความไว้ใจกลับลอบวางยาพิษตนมาตลอดหลายปีเช่นกัน กว่าจะรู้ตัวพิษร้ายก็ซึมไปถึงกระดูกจนยากจะแก้ไขแล้ว พิษกร่อนวิญญาณเป็นพิษของชาวเผ่าเร่ร่อนทางตอนใต้ใช้สำหรับการล่าสัตว์ใหญ่
พิษตัวนี้สกัดมาจากพืชชนิดหนึ่ง หากใช้ในปริมาณมากก็สามารถล้มหมีได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น แต่ถ้าใช้ในปริมาณน้อยๆ แม้แต่เข็มเงินก็ไม่สามารถตรวจพบได้ และเมื่อได้รับพิษเข้าไปเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ไปสะสมในอวัยวะภายใน แล้วทำการกัดกร่อนจากภายในทำให้ตายอย่างช้าๆ เพราะได้รับพิษนี้มาเป็นเวลานานหลายปี จึงทำให้วรยุทธของเขาถูกทำลาย
หลินเฟยหลิงทราบว่าตนเองโดนพิษร้ายนี้ก่อนวันเกิดของบุตรสาวแค่เพียงไม่นาน เขาปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ผู้ที่รู้มีเพียงองครักษ์คนสนิทอย่างหลี่ควนเท่านั้น สำหรับหลวนจื่อเทาผู้นั้นไหวตัวทัน จึงหลบหนีไปได้ก่อนที่เขาจะจับตัวมาสอบสวน ชายหนุ่มยังคงจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเอง โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาที่มองมาจากบุตรีเลยแม้แต่น้อย
หลินเยว่ชิงเมื่อขอพรเสร็จแล้วก็เห็นอาเตี่ยนั่งนิ่ง นางจึงกระตุกชายแขนเสื้อบิดาเบาๆ เพื่อเรียกให้บิดาสนใจตน
“อาเตี่ย! ชิงเอ๋อร์ขอพรเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยรีบบอกกล่าวบิดาก่อนจะยกแขนน้อยๆ โอบเอวร่างสูงไว้
“ชิงเอ๋อร์ขอพรอันใดไปรึ? บอกอาเตี่ยสักหน่อยได้หรือไม่?”
“ความลับเจ้าค่ะ” หลินเยว่ชิงพูดพร้อมทำหน้าทะเล้นใส่บิดา
ฟอด! ฟอด!
“ไม่บอกก็ต้องถูกทำโทษ” หลินเฟยหลิงพูดพร้อมกับหอมแก้มขาวๆ ของบุตรสาวซ้ายทีขวาทีเพื่อเป็นการลงโทษ
“คิกคิก อาเตี่ย! หยุดก่อน! ชิงเอ๋อร์จั๊กจี้เจ้าค่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักของบุตรสาวทำให้เหอไฉ่อิ่งที่กำลังสวดมนต์อยู่ ต้องลืมตาขึ้นมามองสองพ่อลูกที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ “ขอพรเสร็จแล้วรึชิงเอ๋อร์?”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะอาเหนียง..อาเหนียงเจ้าขา อาเตี่ยแกล้งชิงเอ๋อร์อีกแล้วเจ้าค่ะ” หลินเยว่ชิงเมื่อเห็นมารดาลืมตาขึ้นมาจากการสวดมนต์แล้วก็รีบฟ้องทันที
“ขี้ฟ้องจริงเลยๆ ตัวแสบ” หลินเฟยหลิงเอ่ยหยอกเย้าบุตรสาวพร้อมบีบแก้มนุ่มนิ่มนั้นเบาๆ
“อาเหนียงก็ขอพรเสร็จแล้วเหมือนกัน เช่นนั้นเราไปเดินชมดอกเหมยกันดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ! ดียิ่ง! ไปเร็วเจ้าค่ะอาเตี่ย” หลินเยว่ชิงหันไปรบเร้าบิดาให้รีบพานางไปเดินเล่นที่ดงดอกเหมย
เมื่อสามคนพ่อแม่ลูกเดินมาถึงลานดอกเหมยขนาดใหญ่ตรงตีนเขา หลินเฟยหลิงก็วางบุตรสาวให้ยืนบนพื้นที่ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ เขากระชับผูกปมเสื้อคลุมให้ธิดาอย่างเบามือ
หลินเฟยหลิงส่งมือให้ลูกน้อยของเขาจับจูงไปด้วยกัน มือใหญ่กอบกุมมือเล็กของบุตรสาวอันเป็นที่รักไว้ ส่วนอีกข้างก็กระชับมือบางของภรรยาให้เกาะกุมกันไปกับมือหนาของเขา
ภาพการเดินจูงมือเที่ยวชมดอกเหมยของทั้งสามพระองค์นี้ ล้วนสร้างความปลาบปลื้มให้แก่ผู้ติดตามทั้งหลาย พวกเขาต่างจงรักภักดีต่อฉีหวางและครอบครัว
หลินเยว่ชิงที่กำลังตื่นเต้นกับดงดอกเหมยขนาดใหญ่ก็เผลอปล่อยมือจากบิดา ก่อนจะวิ่งเล่นไปมาระหว่างต้นโน้นทีต้นนี้ที จนผู้เป็นบิดาอดปรามมิได้
“ช้าหน่อยตัวแสบ เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”
แต่ดรุณีน้อยไหนเลยจะฟังคำบิดา นางยังคงวิ่งเล่นสนุกสนานตามประสาเด็กอยู่เช่นนั้น
“เสี่ยวอวี้ไปช่วยเล่นเป็นเพื่อนท่านหญิงหน่อยไป แต่อย่าไปไกลจากทหารที่คอยคุ้มกันอยู่ล่ะ” เหอไฉ่อิ่งหันไปสั่งความกับนางกำนัลคนสนิทของบุตรสาว
“เพคะ หวางเฟย” เสี่ยวอวี้รับคำก่อนจะรีบรุดไปดูแลท่านหญิงน้อยของนางอย่างใกล้ชิด
เหอไฉ่อิ่งยังคงมองบุตรสาวที่วิ่งเล่นไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องนางอยู่ เมื่อหันไปกลับพบสายตาที่เปิดเปลือยความรู้สึกของสามีที่กำลังมองตนอยู่ แววตาของเขาที่มองมาราวกับว่านางจะหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นแหละ แววตานุ่มลึกที่แสดงออกว่ารักนางมากเพียงใด เหอไฉ่อิ่งถึงกับขัดเขินแก้มร้อนผ่าวเมื่อมองสบสายตากับสามีในยามนี้
“ท่านพี่ มองน้องเช่นนี้มีสิ่งใดจะกล่าวหรือเจ้าคะ?” นางช้อนตามองสามีอย่างเอียงอาย
“น้องหญิง หากพี่ต้องจากเจ้ากับลูกไปก่อน พวกเจ้าจะอยู่กันต่อได้ใช่ไหม?”
“ท่านพี่!!” หญิงสาวตกใจกับวาจาของสามีที่บอกว่าจะจากไปก่อนนาง
“ท่านเอ่ยอันใดออกมา? หากเลือกได้น้องขอเป็นคนจากไปก่อนท่าน น้องคงทนไม่ได้แน่หากต้องอยู่โดยไม่มีท่าน” เมื่อกล่าวจบน้ำสีใสก็ไหลลงจากดวงตาหวานซึ้งของนาง
หลินเฟยหลิงเมื่อได้ยินคำกล่าวของภรรยา ก็ทำให้เขาถึงกับน้ำท่วมปากพูดสิ่งใดไม่ออกอีก “อิ่งเอ๋อร์ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าพี่รักเจ้ากับลูกมากเพียงใด ในใต้หล้านี้มีเพียงเจ้าและลูกเท่านั้นที่พี่ยังปล่อยวางมิได้ หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ให้รู้ไว้ว่าพี่ไม่ได้อยากจากเจ้ากับลูกไป”
“ท่านพี่ มีเรื่องอันใดที่น้องควรรู้รึไม่เจ้าคะ? เหตุใดท่านจึงได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกมากัน?” นางเอ่ยถามสามีเสียงสั่นเครือจากการกลั้นน้ำตามิให้ตนร้องไห้โฮออกมาต่อหน้าธารกำนัล
“ไม่มีสิ่งใดหรอก เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย” หลินเฟยหลิงยอมโป้ปดภรรยาในเรื่องที่กังวลใจอยู่ เขาไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ได้อีกนานเท่าใด พิษร้ายในร่างกายเริ่มแสดงผลออกมาเรื่อยๆ
หลินเยว่ชิงยังคงวิ่งเล่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เด็กน้อยหยุดมองมาที่อาเตี่ยและอาเหนียง นางเห็นทั้งสองท่านยืนกุมมือกันอย่างรักใคร่ ร่างเล็กยิ้มกว้างให้กับภาพที่เห็น สิ่งที่นางขอพรบนอารามเหยียนฟู่คือ นางอยากให้อาเตี่ยอาเหนียงมีความสุขและอยู่ด้วยกันกับนางไปนานๆ
“ชิงเอ๋อร์ พอได้แล้วลูกอยู่ข้างนอกนานๆ เดี๋ยวจะไม่สบายได้” หลินเฟยหลิงกล่าวจบก็เดินตรงมาหาบุตรสาว ก่อนจะช้อนเอาร่างเล็กขึ้นมาอุ้มไว้อย่างหวงแหน ชายหนุ่มเดินไปหาภรรยาแล้วจับจูงมือกันไปที่รถม้าเพื่อกลับจวน
ภายในรถม้าหลินเฟยหลิงจับลูกน้อยของเขานั่งตัก แล้วนำผ้าแห้งมาเช็ดหน้าเช็ดผมให้เจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหยิบเตาพกอันเล็กมาให้บุตรสาวอุ้มไว้คล้ายหนาว “หนาวหรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ ก็อาเตี่ยกอดชิงเอ๋อร์ไว้เลยไม่หนาวเจ้าค่ะ” เด็กน้อยรีบตอบอย่างเอาใจบิดา นางชอบอ้อมกอดของอาเตี่ยอาเหนียงมากที่สุด อ้อมกอดนี้ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
“ชิงเอ๋อร์เด็กดี จำไว้นะว่าอาเตี่ยรักเจ้าและอาเหนียงมากที่สุด” หลินเฟยหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ชิงเอ๋อร์ก็รักอาเตี่ยและอาเหนียงมากที่สุดเหมือนกัน” เด็กน้อยรีบตอบรับคำบิดาทันที พร้อมทั้งยิ้มหวานจนตาหยีส่งไปให้อาเตี่ยของนาง
ฮึก! ฮึก!
เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากเหอไฉ่อิ่งทำให้เด็กน้อยต้องหันไปมองด้วยความสงสัย
“อาเหนียงเป็นอันใดเจ้าคะ? เจ็บตรงไหนเหตุใดอาเหนียงจึงร้องไห้?” เด็กน้อยรีบเอ่ยถามหญิงสาวอย่างร้อนรนเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาสะอื้นไห้ออกมา
“อาเหนียงมิได้เป็นอันใด เพียงแค่ดีใจที่ชิงเอ๋อร์รักเอาหนียงกับอาเตี่ยมากเท่านั้นเอง” เหอไฉ่อิ่งส่งยิ้มบางไปให้บุตรสาว มือบางลูบแก้มนุ่มนิ่มของเด็กน้อยเบาๆ
“โธ่ อาเหนียง โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ เช่นนั้นชิงเอ๋อร์จะรักอาเหนียงมากกว่าอาเตี่ยนิดนึงก็ได้เจ้าค่ะ อาเหนียงจะได้ไม่ร้องไห้อีก” หลินเยว่ชิงเอ่ยวาจาแบบใสซื่อตามประสาเด็ก นางคิดว่าอาเหนียงคงเสียใจที่ตนรักทั้งสองท่านเท่ากัน
หลินเฟยหลิงเข้าไปโอบกอดภรรยาและบุตรสาวไว้ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง ตัวเขาสั่นน้อยๆ จากการกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมา ตั้งแต่เกิดมาชายหนุ่มไม่เคยเสียน้ำตาให้ผู้ใดเลย แต่กับลูกน้อยของเขา เขาสงสารนางยิ่งนักหากตนจากไปลูกน้อยจะมีชะตากรรมเช่นไร
รถม้าจวนฉีหวางยังคงวิ่งไปอย่างไม่เร็วเท่าใดนัก หลังจากที่เดินทางออกจากวัดเหยียนฟู่มาได้สักพัก ท้องฟ้าที่เคยโปร่งกลับแทนที่ด้วยหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา
โครม!!!
เสียงสิ่งของบางอย่างกระแทกรถม้าจนสั่นคลอน เสียงอาชาที่เทียมรถม้าร้องลั่นด้วยความตกใจ เสียงอาวุธกระทบกันดังอื้ออึงไปหมด เหอไฉ่อิ่งดึงบุตรสาวเข้ามากอดไว้แน่น หลินเฟยหลิงขบกรามอย่างต้องการสะกดกลั้นอารมณ์ ตัวเขาเครียดเขม่งขึ้นมาทันใด แผ่นหลังแกร่งเหยียดตรงอย่างต้องการปกป้องคนรัก เขาหยิบกระบี่คู่กายออกมาถือไว้มั่น ถึงแม้ยามนี้จะใช้วรยุทธไม่ได้ แต่การต่อสู้แบบไม่ใช้วรยุทธเขาก็พอจะต่อสู้ได้บ้าง
“คุ้มครองหวางเย่ หวางเฟย และท่านหญิง” เสียงทหารองครักษ์ที่ติดตามมาร้องบอกสหายร่วมรบ
“พวกเจ้าอยู่ในนี้ห้ามออกไปไหน ก้มให้ต่ำเข้าไว้” ร่างสูงเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“อาเตี่ย!!” หลินเยว่ชิงดึงชายแขนเสื้อของบิดาไว้
“ไม่ต้องกลัวนะเด็กดี เดี๋ยวอาเตี่ยก็กลับมาแล้ว” เขาพูดปลอบบุตรสาวพลางยกมือลูบหัวทุยๆ นั้นก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็ว
เสียงปะทะกันของอาวุธยังคงดังขึ้นมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ที่โดนคมดาบกรีดเฉือน เหอไฉ่อิ่งพยายามรวบรวมสติของตนเอาไว้ นางจะมาสติแตกตอนนี้ไม่ได้ นางยังมีลูกน้อยให้ต้องปกป้องอยู่
ด้านนอกรถม้าการปะทะกันระหว่างนักฆ่าชุดดำกับองครักษ์ของฉีหวางก็ดำเนินไปอย่างดุเดือด นักฆ่าชุดดำนับร้อยชีวิตบุกเข้ามาหมายจะสังหารฉีหวางให้ตายตกภายในดาบเดียว องครักษ์เงาทั้งสิบก็ทำหน้าที่ปกป้องนายเหนือหัวเป็นอย่างดี แต่ด้วยจำนวนคนที่ต่างกันมากเกินไปทำให้ฉีหวางจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หิมะก็ยังคงโปรยปรายลงมา ผืนดินย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด
“หลี่ควน อี้เหิง อี้หลิน ไปคุ้มกันหวางเฟยและท่านหญิง” หลินเฟยหลิงเอ่ยสั่งองครักษ์เงาของตนเสียงเรียบแฝงแววอำมหิต
“แต่..หวางเย่” เหล่าองครักษ์หนุ่มรีบเอ่ยแย้งขึ้นมาทันควัน
“นี่เป็นคำสั่ง!!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจมากกว่าเดิม
“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ทั้งสามรับคำสั่งแล้วผละไปคุ้มกันรถม้าทันที
หลินเฟยหลิงพยายามหลอกล่อนักฆ่าให้ถอยห่างจากรถม้าให้มากที่สุด ชายหนุ่มหลอกพวกมันให้ตามเข้าไปในป่าอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะจุดพลุส่งสัญญาณเพื่อขอกำลังเสริม ด้วยความที่ไม่สามารถใช้วรยุทธได้ต้องใช้เพียงแรงกายเท่านั้นในการรับดาบจากนักฆ่า
ถึงแม้หลินเฟยหลิงจะไม่เหลือวรยุทธแล้วแต่ก็ไม่อาจดูเบาได้ ประสบการณ์ในสนามรบหลายปีทำให้เขายังสามารถยืนหยัดต่อสู้กับนักฆ่าได้อยู่ แม้ร่างกายเริ่มจะมีบาดแผลน้อยใหญ่ปรากฏให้เห็นแล้วก็ตาม
ทางด้านฝั่งรถม้าที่ถูกทิ้งไว้กลางป่าก็ยังคงมีเสียงต่อสู้ให้ได้ยินสักพักก่อนจะเงียบไป เหอไฉ่อิ่งแหวกม่านดูบรรยากาศภายนอกรถม้า รอบข้างมีเพียงซากศพของทหารและนักฆ่า เลือดสีแดงฉานย้อมบนหิมะขาวโพลน ความสงบมีได้เพียงไม่นาน แต่แล้วก็เสียงบางอย่างแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งตรงมายังรถม้าอย่างแรง
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ห่าธนูนับสิบพุ่งมายังรถม้าคันใหญ่ แรงกระแทกจากภายนอกทำให้รถม้าที่จวนเจียนจะพลิกคว่ำอยู่แล้วก็คว่ำลงทันที นักฆ่าชุดที่สองมาถึงก็พุ่งตรงไปยังรถม้า ทหารที่เหลือรอดราวสิบชีวิตต่างช่วยกันปัดป้องคมธนูให้พ้นจากตัวรถม้า ในช่วงชุลมุนเสี่ยวอวี้นางกำนัลน้อยวัยสิบหนาวที่อยู่ในรถม้าอีกคัน ก็แอบคลานออกมาจนมาถึงรถม้าคันใหญ่ที่ท่านหญิงน้อยของนางนั่งอยู่
“หวางเฟยเพคะ” เสี่ยวอวี้ป้องปากเรียกพระชายาอย่างแผ่วเบา
เหอไฉ่อิ่งที่ยังมึนงงจากการที่หัวกระแทกรถม้าอยู่นั้น เบิกตากว้างทันทีที่ยังเห็นว่ามีคนเหลือรอดอยู่ เสี่ยวอวี้เป็นนางกำนัลร่างเล็ก นางจึงสามารถปีนเข้าไปทางหน้าต่างรถม้าได้
“หวางเฟยเพคะ ตอนนี้มีนักฆ่ามาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ทหารที่เหลือกำลังช่วยกันสกัดกั้นอยู่เพคะ หวางเย่หลอกล่อนักฆ่ากลุ่มแรกเข้าไปในป่าเพคะ” เสี่ยวอวี้รีบรายงานสถานการณ์ภายนอกให้ฉีหวางเฟยฟัง
เหอไฉ่อิ่งคิดว่าถ้าหากยังอยู่ในรถม้าต่อไป นางและลูกน้อยคงโดนสังหารทิ้งเป็นแน่ แต่หากหนีเข้าไปในป่าคงพอมีทางรอด เพราะจำนวนนักฆ่ามีมากกว่าทหารที่คอยคุ้มกันทำให้นางมิอาจอยู่เฉยๆ เพื่อรอความตายได้ อย่างน้อยบุตรสาวของนางต้องรอด
“ชิงเอ๋อร์ฟังอาเหนียงให้ดีนะ ลูกต้องไปกับเสี่ยวอวี้ เด็กดีไม่เอาไม่ร้องอาเหนียงไม่ได้จะทิ้งเจ้าไป เราแค่แยกกันหนี รอกำลังเสริมมาแล้วชิงเอ๋อร์ก็กลับมาหาอาเหนียงไง” หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมลูกน้อยไม่ให้งอแงยามนี้
“อาเหนียง ฮึก! ฮือๆ ฮึก! อาเหนียงต้องกลับมารับชิงเอ๋อร์นะเจ้าคะ ชิงเอ๋อร์จะซ่อนตัวดีๆ รออาเหนียงอาเตี่ยมารับ” หลินเยว่ชิงร่ำไห้ออกมาเมื่อมารดาบอกให้แยกกัน
“สวมผ้าคลุมนี้ไว้ ด้านนอกอากาศหนาวเย็นมากเจ้าจะได้ไม่หนาวจนเกินไป” เหอไฉ่อิ่งข่มกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางหาผ้าห่มผืนหนามาห่อหุ้มร่างเล็กของบุตรสาวไว้เพื่อกันลมหนาว
ร่างบางรวบเอาหมอนอิงที่อยู่ในรถม้ามาห่อด้วยผ้าห่มผืนหนาทำคล้ายว่าเป็นคน นางอุ้มหมอนอิงใบนั้นแนบอกแล้วนำเสื้อคลุมของตนมาอำพรางไว้ เท่านี้คงพอจะช่วยถ่วงเวลาให้เสี่ยวอวี้พาบุตรสาวของนางหนีไปซ่อนตัวได้
“รอข้าออกไปสักครู่หนึ่งก่อน เจ้าค่อยพาชิงเอ๋อร์หลบออกไป เข้าใจรึไม่?” เหอไฉ่อิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่าเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าจะสามารถหลบพ้นจากสายตาของนักฆ่าเหล่านั้นได้หรือไม่
“เพคะ หวางเฟย” เสี่ยวอวี้ตอบรับคำอย่างหนักแน่น
“ดี! เช่นนั้นก็ฝากลูกของเปิ่นหวางเฟยด้วย” หญิงสาวหันไปจูบหน้าผากเล็กของบุตรสาวก่อนจะรอจังหวะหลบหนีออกไป
ภายนอกรถม้ายังคงมีเสียงต่อสู้อยู่ หลี่ควนที่มาพร้อมกับองครักษ์เงาอีกสองคนต่างติดพันอยู่กับนักฆ่านับสิบไม่สามารถเข้าไปใกล้รถม้าได้เลย นักฆ่าเหล่านี้ล้วนถูกฝึกมาอย่างดีฝีมือมิคล้ายทหารคงมาจากยุทธภพ
เหอไฉ่อิ่งเมื่อเห็นว่านักฆ่าเหล่านั้นยังคงรับมือกับพวกทหารอยู่ นางก็แอบออกมาจากรถม้าแล้ววิ่งเข้าไปในป่าทันที นักฆ่าคนหนึ่งเห็นหญิงสาววิ่งเข้าไปในป่าก็ทำท่าจะตามไปแต่ถูกทหารองครักษ์สกัดกั้นไว้ก่อน ร่างบางวิ่งไปหลบตรงพุ่มไม้ใหญ่และซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น
ทางด้านเสี่ยวอวี้เอง เมื่อเห็นพระชายาวิ่งออกไปนางก็อุ้มท่านหญิงน้อยออกมาจากรถม้า แล้วนำเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นมาป้ายตามตัวตามหน้าทั้งตัวนางและท่านหญิง
เสี่ยวอวี้เคยเป็นเด็กกำพร้าที่ต้องขอทานอยู่ข้างถนนมาก่อน เด็กสาวจึงรู้วิธีการเอาตัวรอด นางอุ้มท่านหญิงน้อยย่องไปเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่ทันจะพ้นบริเวณที่ปะทะกัน กลับมีเสียงนักฆ่าราวสี่ห้าคนแว่วมาให้ได้ยิน เสี่ยวอวี้จับท่านหญิงน้อยนอนลงข้างๆ ตนท่ามกลางกองซากศพทหารและนักฆ่าที่ตาย
“หลับตานะเพคะ อย่าส่งเสียง เดี๋ยวพวกมันก็เดินผ่านไป” เด็กสาวกระซิบบอกร่างเล็กอย่างแผ่วเบา
หลินเยว่ชิงทำตามอย่างว่าง่าย มิใช่นางไม่กลัวการฆ่าฟันนี้ นางกลัวมากจนอยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ที่กลัวที่สุดในตอนนี้คือการไม่ได้พบหน้าอาเตี่ยอาเหนียงอีกแล้วต่างหาก
หนึ่งเด็กสาวกับหนึ่งเด็กน้อยต่างพากันล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาที่ซ่อนตัวจากนักฆ่าในป่า เสี่ยวอวี้พาท่านหญิงน้อยของนางไปหลบอยู่ในโพรงต้นไม้ที่หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่มีทางหาเจอ เพราะมีพุ่มไม้ขึ้นบังหน้าโพรงไว้จนมิด เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็สุดจะรู้ แต่เด็กสาวและเด็กน้อยต่างกอดกันกลมเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บจากหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา
เหอไฉ่อิงที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงของทัพเสริมมาช่วยและพวกนักฆ่าก็ถูกกำจัดแล้ว นางจึงออกจากที่ซ่อนตัว แล้วเดินกลับไปเส้นทางเดิมเพื่อไปตามหาบุตรสาวที่อาจจะกลับมายังรถม้า หญิงสาวเดินผ่านพุ่มไม้ใหญ่ไปได้ห้าก้าวก็มีเสียงเล็กเรียกขานนางดังออกมาจากพุ่มไม้
“อาเหนียง! ฮือ ฮือ อาเหนียง” หลินเยว่ชิงเอ่ยวาจาได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกอดมารดาทันที
“ชิงเอ๋อร์! ลูกปลอดภัยดีหรือไม่? มิได้บาดเจ็บที่ใดใช่หรือไม่?” หญิงสาวตกใจที่เห็นสภาพของบุตรสาวทั้งเสื้อผ้าและใบหน้าต่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
“…” มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ จากร่างเล็ก พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธว่าตนไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด
หลี่ควนที่ออกตามหาพระชายากับท่านหญิงน้อยจนพบก็รีบเข้าไปอารักขาทันที แต่ก่อนที่องครักษ์หนุ่มจะไปถึง กลับมีธนูเงินวาววับแหวกอากาศพุ่งไปยังทิศทางที่ท่านหญิงน้อยยืนอยู่
เหอไฉ่อิ่งที่เหลือบไปเห็นประกายสีเงินพุ่งแหวกอากาศมาข้างหลังบุตรสาวของนางอย่างรวดเร็วและยากเกินจะหลบพ้น ร่างบางรวบตัวบุตรสาวเข้ามากอดก่อนจะหันหลังรับเอาคมธนูนั้นไว้เอง เกาทัณฑ์ปักจากกลางหลังด้านซ้ายหัวธนูทะลุอกออกมาด้านหน้าบ่งบอกว่าผู้ยิงใช้พลังลมปรานในการยิงธนูครั้งนี้
“หวางเฟย!!” เสี่ยวอวี้กรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนนางเองก็ตั้งตัวไม่ทัน
หลี่ควนที่เห็นพระชายาถูกธนูปักกลางหลัก ก็ได้แต่เบิกตากว้างตกใจกับสิ่งที่เห็น เขาอยู่ไกลจากพระชายาเกินไปทำให้เข้าไปช่วยเหลือไม่ทัน
หลินเยว่ชิงที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ได้สติทันที เมื่อเลือดอุ่นๆ ของมารดาไหลลงมากระทบดวงหน้านาง
“อาเหนียง!! ฮือๆ อาเหนียงอย่าเป็นอะไรนะ พี่เสี่ยวอวี้ช่วยอาเหนียงด้วย! ช่วยด้วย! ฮือๆ” เสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญของเด็กน้อยที่เห็นมารดาล้มลงต่อหน้าต่อตา นางทำได้เพียงเขย่าร่างมารดาอยู่อย่างนั้น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลับไป
“ชิงเอ๋อร์ ฮึก..ฟะ ฟังอาเหนียงนะ เหนียงขอโทษทิ..ที่ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว อึก แค่ก แค่ก..ตะ แต่เหนียงรักชิงเอ๋อร์ที่สุด แค่ก แค่ก รุ รู้ใช่หรือไม่..จงเติบโตะ อึก..โตเป็นท่านหญิงที่งดงาม” เหอไฉ่อิ่งพยายามเอื้อมมือที่สั่นเทาไปจับใบหน้าเล็กๆ นั้นของบุตรสาว นางส่งยิ้มอ่อนโยนให้ธิดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ลมหายใจจะปลิดปลิวไป
มืออุ่นของมารดาที่จับแก้มนางอยู่ร่วงหล่นลงไป หลินเยว่ชิงผวาคว้ามือนั้นอย่างลนลาน เมื่อเห็นเปลือกตาที่ปิดสนิทพร้อมคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอาเหนียง หลินเยว่ชิงใช้นิ้วน้อยๆ ของนางอังใต้จมูกของมารดาพบว่าอาเหนียงของนางไร้สิ้นลมหายใจแล้ว
“ไม่! ไม่! ไม่! อาเหนียง! อาเหนียงตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมาอยู่กับชิงเอ๋อร์ก่อน ฮือ ฮือๆ อาเหนียงอย่าทิ้งชิงเอ๋อร์ไป!” เสียงกรีดร้องปานจะขาดใจจากร่างเล็กทำให้ผู้ที่ตามมาช่วยนั้นต่างดวงตาแดงก่ำด้วยความสงสารท่านหญิงน้อย
เสี่ยวอวี้เข้าไปกอดร่างเล็กของท่านหญิงน้อยเอาไว้ นางร่ำไห้ไปพร้อมๆ กับท่านหญิงของนาง หลินเยว่ชิงร้องไห้จนสลบไปในอ้อมกอดของเสี่ยวอวี้ นางหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ