Accident Of Love พรหมลิขิตผ้าพันแผล

-

เขียนโดย jaindyzone

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.14 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,986 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562 22.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เข็มที่ 2 พบกันครั้งที่สอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          วันนี้ผมตื่นเช้าเพื่อไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ๆคอนโด จริงๆในคอนโดมีฟิตเนสนะ แต่ผมไม่ค่อยชอบ ผมชอบแบบธรรมชาติ มีต้นไม้ มีผู้คน มันดูสบายใจกว่าวิ่งบนลู่วิ่ง บนตึกสูงเป็นไหนๆ   วันนี้ผมต้องเข้าคลินิก ซึ่งเปิดตอนเย็นๆ ตั้งอยู่แถวๆถนนจันทร์ ดังนั้นช่วงเช้าผมจึงว่างนิดหน่อย  เป็นคลินิกขนาดเล็ก ของเพื่อนที่มหาลัยเหมือนกันครับ (หากินกับเพื่อน) บ้านมันรวยครับเรียนจบพ่อก็ให้ของขวัญเรียนจบด้วยการเปิดคลินิกให้ (แอบอิจฉามันเบาๆ) มีหมออยู่สามคนเป็นเพื่อนๆกันนั้นแหละครับ ชีวิตคุณหมอก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับที่เจอ ในแต่ละวัน คนป่วย  โรงพยาบาล คลินิก วนลูปไปเรื่อยๆ  การไปสังสรรค์ หรือเที่ยวก็มีบ้างนะครับแต่ส่วนมากผมจะเลือกที่จะนอน มากกว่า 555   

 

 

 

     Sky

        สกาย  คือ ท้องฟ้า  ซึ่งทุกคนคงรู้ว่ามันกว้างแค่ไหน กว้างพอๆกับโลกใบนี้ ซึ่งโอกาสที่คนเราที่ไม่รู้จักกัน จะมาเจอกันโดยบังเอิญนั้นมีน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย จริงๆผมไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต หรืออะไรพวกนี้เลย แต่มีบางอย่างที่เกิดขึ้นและทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนไป  ผม ชื่อ สกาย  คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างประเทศ เนื่องจากคุณพ่อทำงานอยู่สถานทูตครอบครัวเรา จึงย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนผมก็ อยู่กับพ่อแม่ นะครับ แต่พอก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยรุ่น ก็ใช้ชีวิตเกเรตามประสา ทั้งเรื่อง เพื่อน, เหล้า ,เบียร์ ,ผู้หญิง ยิ่งที่ต่างประเทศเสรีเรื่องพวกนี้มากกว่าประเทศไทยเยอะ จนคุณแม่ทนไม่ได้ ส่งผมกลับมาอยู่ที่ไทยคนเดียวเป็นการดัดนิสัย ผมจึงได้เข้าเรียนมหาลัยในไทย และเลือกเรียนวิศวะเครื่องกลตามความชอบของตัวเอง ช่วงแรกๆนี่ลำบากเลยครับปรับตัวเยอะมากดีที่มีเพื่อนอย่างพวกไอ้ตั้มคอยช่วยเหลือ พวกเราเลยสนิทกัน  มาเรียนที่นี่ก็มีบ้าง เรื่องเกเรแต่น้อยกว่าที่โน่นเยอะเลยครับ เห็นแบบนี้ผมก็ตั้งใจเรียนนะเออ แต่เหตุการณ์เมื่อเดือนที่แล้วก็เป็นหลักฐานอย่างดีว่าผมเกเรอีกแล้ว และแผลที่หางคิ้วก็ย้ำถึงเหตุที่เกิดขึ้น จริงๆก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้น แต่เรื่องมันที่มาที่ไป เรื่องมันก็คือพวกผม  หมายถึง ผมและเพื่อน อีก 5-6 คนมานั่งกินหมูกระทะกันหลังเลิกเรียน

“อร่อยเหมือนเดิม” ไอ้ตั้มพูดหลังจากที่ยัดหมูเข้าปาก มันเป็นคนพูดมากที่สุดในกลุ่ม เรื่องเรียนไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องเที่ยวกับเรื่องกินไว้ใจมันได้ เป็นเฮฮา แต่รักเพื่อนไปไหนไปกัน ผมเลยสนิทกับมันที่สุดในกลุ่ม ผมเคยถามมันว่าทำไมเลือกเรียนที่นี่มันบอกว่ายื่นแล้วติดก็มา บางทีก็ดูฉลาดหลักแหลมตั้งใจเรียน แต่บางครั้งก็ทำตัวเด๋อจนผมคิดว่ามันคงจับฉลากมา

“ใช่ๆ น้ำจิ้มป้าแก่ยังแซ่บเหมือนเดิม” ไอ้แทนไท เสริม แทนไทมันเรียนเก่งครับ แต่มันไม่ขยัน อ่านหนังสอบตอนวินาทีสุดท้ายตลอดไม่รู้มันผ่านได้ยังไง เป็นคนที่เข้าฟิตเนส รักษาหุ่น แต่กินน้ำอัดลมทั้งวัน ดูย้อนแย้งใช่มั้ยครับ ไม่รู้มันฟิตยังไงของมันกล้ามแขนล่ำ อกล่ำ แต่มีพุงด้วยมันบอกเป็นวิถีของมัน ปล่อยมันไปครับ จุดเด่นคงมันคงจะเป็นเรืองเผือก เผือกเรืองชาวบ้านคืองานของมัน

          ร้านป้าแกเป็นร้านเล็กๆครับ แต่สะอาด บรรยากาศดี อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไม่ได้หรูหรา มีเสียงคนจอแจ เคล้ากับเสียงเพลงที่ทางร้านเปิดไอ้ตั้มมันเป็นผู้ค้นพบตอนพาสาวมาเลี้ยง เลยชวนพวกผมมากินดู ก็อร่อยอย่างที่มันโม้ไว้ ร้านนี้จึงกลายมาเป็นร้านหมูกระทะประจำกลุ่มไปแล้ว ย่างหมู่ไปจิบเบียร์ไป ได้อารมณ์อีกแบบ

“เดือนหน้าก็เริ่มสอบแล้วอ่านหนังสือถึงไหนกันแล้ววะ” ไอ้แมว ไอ้เด็กเรียนประจำกลุ่มพูดขึ้นคือมันเป็นคนที่ดูตั้งใจเรียนที่สุดแล้วครับ บ้านรวย หล่อ ขาว ตี๋  ไปเที่ยวดึกแค่ไหนมันก็ยังอ่านหนังสือได้ ยอมมันจริงๆ

“ไอ้เชี่ยยยแมวมากินหมูกระทะจะพูดเรื่องสอบทำไมกูเครียดเลยเนี้ยยย” ไอ้ตั้มโอดครวญ พูดเสร็จในหยิบบุ้งในจานปาใส่หน้าไอ้แมวไปด้วย ไอ้แมวก็หยิบใส่เตาต่อ ผมว่าผมจะไม่กินผักเตานี้แล้วล่ะ

“อ้าวมึงปามาไมเนี้ยยยย” “ก็กูพูดเรื่องจริง พวกมึงก็อ่านๆกันบ้างหนังสืออ่ะ ไม่ใช่ม่อแต่สาวไปวันๆ”

“ถ้าเก่งๆอย่างไอ้สกายกูจะไม่พูดสักคำ” มันบ่นต่อ  จริงๆผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่ในกลุ่มนี้ผมคะแนนค่อนข้างดี เป็นรองแค่ไอ้แมวครับ แต่ผมไม่อ่านหนังสือเท่าไหร่ จริงๆพวกผมก็เก่งกันนะครับ แต่ว่าขี้เกียจอ่านหนังสือกัน ตอนก่อนสอบไอ้แมวมันจะคอยติวให้เพื่อนในกลุ่มเพราะมันฉลาดสุด อย่างไอ้แทนไทนี้ มีนั่งอ่านหน้าห้องสอบตลอด ไปติวก็หลับ มันนิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นกินจริงๆ

“เหอะ ไม่ต้องมาพาดพิงกู”  ผมพูด พวกมันก็หาเรื่องนั่นนี่มาบ่นต่อ

“มึงไม่ไปเดทกับน้องแพรหรือวะสกาย” ไอ้นายที่นั่งเงียบมาตลอดถามขึ้น มันเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยพูด มันนิสัยดีครับขยันทั้งเรื่องเรียน แถมยังทำงานหาเงินเรียนเองอีก เป็นผู้เป็นคนสุดในกลุ่มและมันก็ตัวเล็กสุดในกลุ่ม แต่ล้อมันเรื่องส่วนสูงไม่ได้ครับมันโกรธ ดูเป็นคนเข้าถึงยากยังไงก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะ

“ไม่อ่ะ คนนี้เรื่องเยอะ กูขี้เกียจเอาใจแล้ว” พวกมันโห่ขึ้นพร้อมกัน บางคนก็ปาก้านผักบุ้งมา ไอ้พวกนี้สกปรก หน้ากูเป็นสิวขึ้นมาจะด่ามันให้ ผมเลยหยิบผักที่มันปามาใส่ในหม้อให้พวกมันสะเลย (เลว)

“ไอ้หล่อเอ๊ย เปลี่ยนคู่ควงเหมือนเปลี่ยนรองเท้า อย่าให้กูหล่อ รวยบ้างก็แล้วกัน “ ไอ้ตั้มพูด

“มึงจะทำไมวะตั้ม” 

“ถามมาได้ พี่ตั้มก็จะเปลี่ยนทุกครึ่งวันเลยสิคร๊าบบบบ” “โห่ ....ไอ้มโน”  มันเลยโดนก้านผักไปอีกหลายก้าน

“มึงๆ นั่นหลานรหัสมึงรึป่าววะตั้ม” ไอ้ปลาถาม  ไอ้ปลามันเป็นลูกคุณหนูครับ ที่บ้านขับรถมาส่งทุกวัน  ไม่รู้มาคบกับพวกผมได้ยังไงข้ามเรื่องของมันไปเถอะ

“เออๆมันวิ่งไปไหนกันวะ”   “เฮ้ยนิวพวกมึงไปไหนกันวะ” ไอ้เด็กนั่นกับเพื่อนมันหยุดวิ่งและหันมาตามเสียงเรียก ยังไม่ทันที่มันจะเดินมาหาพวกผม ก็มีคนกลุ่มใหญ่วิ่งตามมา และ.......ก็บรึ้มมมมกลายเป็นโกโก้ครั้น เป็นอย่างที่ทุกคนคิดครับ พวกผมเห็นท่าไม่ดีเลยจะไปห้าม แต่ ไอ้เพื่อนผมบางคนมันเริ่มเมา จากจะไปห้ามน้อง มันก็กลายเป็นไปช่วยน้อง ความชุลมุนเกิดขึ้น ราวๆ ครึ่งชั่วโมงได้ เหมือนพวกที่มีเรื่องจะเป็นปีหนึ่ง วิศวะกรรมไฟฟ้า

           ปี๊ดดดดดดดดดด เสียงนกหวีดดัง พร้อมกับเสียง ตะโกนว่าตำรวจมา พวกเราก็พร้อมใจกันสลายตัวด้วยความรวดเร็วและพากันไปโรงพยาบาล  และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเขา  คุณหมอคนนั้น  เป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง ออกแนวอบอุ่นผิวขาว แต่ได้ซีดเหมือนเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่ ใส่แว่นตาที่ดูเป็นแนวแฟชั่นมากกว่าที่จะเป็นแว่นสายตา คิ้วเข้ม จมูกโด่งดูรั้นนิดๆ ปากแดงๆ บ่นพึมพำกับเพื่อนหมอที่เดินมาด้วยกัน ซึ่งเพื่อนเขาสูงน้อยกว่าผมนิดหน่อย ส่วนคุณหมอน่าจะเตี้ยกว่าผมเล็กน้อย  ผมกำลังมองเพลินๆ คุณหมอก็หยิบแมสมาปิดหน้าและทำหน้าที่ของตัวเอง  เย็บแผลอย่างเบามือ หรืออาจจะเพราะยาชา ก็ไม่รู้ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย ผมมองคิ้วเข้มๆที่ขมวดเข้าหากันตอนเย็บแผลมันดูน่ามอง จนเผลอมองนานไปหน่อย อยู่ๆก็รู้สึกเจ็บแผลจนต้องร้องออกมา  

“เสร็จแล้วครับ” คุณหมอสบตาผมเป็นครั้งแรก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดูอบอุ่น ยิ่งได้มองเหมือนตกอยู่ในพะวังอะไรสักอย่างที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน

“มีแผลตรงไหนอีกมั้ยครับ” ผม ไม่รู้ตัวว่าตอบไปว่าอะไร

“สงสัยต้องตัดขา” สติผมกลับมาตอนได้ยินคำนี้ ผมตกใจมาก เลยเผลอพูดออกไปด้วยความตกใจ

“ตะ...ต้องตัดขาเลยหรอครับ” ผมว่าผมได้เสียงเสียงคุณหมอขำแต่ก็ทำเป็นนิ่งไป คนมันตกใจโว๊ยยยยย

“เอ่อออ หมอหมายถึง ตัดขากางเกงครับ”

        หลังจากที่คุณหมอก็ล้างแผลที่เข่าให้ พวกเราก็...แยกย้ายครับ ก็อย่างพวกคุณรู้ นั่นแหละ ผมว่าผมก็ไม่ได้ผิดอะไรมากนะ มันเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่าตกกระไดพลอยโจรต่างหาก

          คนเราถึงคราวจะซวยนี้ก็ซวยจริงๆ อย่างวันนี้ผมขับมอไซด์นินจาสีดำคันเก่งของผม มาส่งเพื่อนแถว ถนนจันทร์  จริงๆมีรถยนต์นะครับแต่เบื่อรถติด วัยรุ่นก็งี้แหละครับใจร้อน  แต่ก็คงจะเป็นเพราะความใจร้อนอีกนั่นแหละ ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

“เฮ้ยยยยยยยยย”   โครมมมม  เสียงรถมอเตอร์นินจาคันเก่งครูดไปกับพื้นถนน  ไอ้ตูบ(หมา)ครับมันวิ่งตัดหน้ารถผมเลยหักหลบ ตัวคนกับรถเลยแยกทางกัน ดีนะที่ไม่มีรถสวนมาผมได้แต่ก่นด่าไอ้ตูบมันในใจ หัวเข่าที่แผลเพิ่งหายดี มีแผลใหม่มาแทนใหญ่กว่าเดิมอีก มีคนที่ผ่านมาแถวนั้นมาช่วยยกรถขึ้น ดูจากสภาพน่าจะต้องทำสีใหม่หมดหล่อเลย เฮ้อออ ลูกพ่อ 

“ให้ช่วยพาไปหาหมอมั้ยคุณ มีคลินิกอยู่ซอยข้างหน้าไปล้างแผลก่อนก็ได้”

“เดี๋ยวผมไปเองดีกว่าครับ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”  ผมขี่มอเตอร์ไซด์ไปอีกนิดเดียวก็เห็นคลินิกที่ว่าเลยแวะทำแผลก่อน ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปโรงพยาบาลเพราะจริงๆก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ แค่ถลอกปอกเปิกตามตัว โชคดีที่ใส่หมวกกันน๊อค  เป็นหนักหน่อยก็จะเป็นที่เข่าสงสัยคราวนี้เป็นแผลเป็นแน่ๆ แต่ผมไม่ค่อยแคร์หรอกครับ วิถีลูกผู้ชายก็อย่างนี้แหละ นักรบย่อมมีบาดแผล(ได้ข่าวว่ารบกับไอ้ตูบ) ผมขี้เกียจกลับไปทำแผลเองที่บ้าน

“เป็นอะไรมาค่ะ”  คุณพยาบาลคงจะเห็นแผลที่หัวเข่าผม เลยรีบเดินเข้ามาสอบถาม ผมก็ตอบไปตามความจริงทั้งหมดนั่นแหละครับ

“รอคุณหมอที่ห้องทำแผลด้านนี้เลยค่ะ”

“คุณหมอ มีคนไข้อุบัติเหตุมาทำแผลค่ะ”  

“ครับ พี่สาเตรียมอุปกรณ์เลยครับเดี๋ยวผมไป”  เสียงคุณหมอดูคุ้นมากเหมือนเคยได้ยินที่ไหน แต่สงสัยผมคงคิดมากไป นั่งซักพักคุณหมอก็เปิดประตูเข้ามา......คุณหมอที่จะตัดขาผมวันนั้น(ขากางเกง)

 “.....” 

“.....”

       คุณพยาบาลวางอุปกรณ์ทำแผลไว้ข้างเตียงแล้วเดินออกไปด้านนอก ตอนนี้ในห้องเลยเหลือแค่เราสองคน

“เจอกันอีกแล้วนะครับ” เป็นผมที่ทักขึ้นมาก่อน

“คราวนี้ไปรบกับใครมาอีกล่ะ” คุณหมอพูดพลางหยิบแมสสีขาวมาใส่ และสวมถุงมือ จากนั้นก็ล้างแผล มือเบาอีกแล้ว

“ไอ้ตูบครับ” ผมตอบ

“ห๊ะ”  คุณเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ทำหน้าตกใจ ตาโตใต้แว่นใสๆ คิ้วขมวดหากัน ถ้าผมมองเห็นปากด้วย ผมว่าคุณหมอคงจะอ้าปากค้างอยู่แน่ๆ ตลกจัง

“ก็ขี่มอไซด์หักหลบไอ้ตูบ เอ่อ หมามันวิ่งตัดหน้ารถ” ผมเลยอธิบายเพิ่มเติม

“คุณนี่หาเรื่องเจ็บตัวเก่งเหมือนกันนะ” นี่ไม่ได้ด่าอยู่ถูกมะ ผมไม่ได้หาเรื่องนะ ไอ้ตูบมันมาหาเรื่องผมเอง

“คุณหมอไม่ได้ว่าผมอยู่ใช่มั้ยครับ”

“...เปล่า”

“ว่าแต่คุณหมอชื่ออะไรหรอครับ”

“เพลิงกัลป์ ตามชื่อหน้าห้องนั่นแหละ” พูดพลางพยักพเยิดไปที่หน้าห้อง เหมือนจะบอกว่าเอ็งถ่างตาอ่านดูสิไม่เห็นเร๊อะ     (ผมมโนไปเอง)  แต่คุณหมอคงไม่โหดขนาดนั้นหรอกดูเป็นคนสุขุมใจเย็น ออก

“แล้วชื่อเล่นล่ะครับ”

“จะอยากรู้ไปทำไม” คุณหมอถามพร้อมกับวางอุปกรณ์ที่ล้างแผลอยู่ลงเพราะทำเสร็จแล้ว คิ้วขมวดน้อย ทำไมผมมองว่ามันดู...เอ่อ...น่ารัก   นั่นแหละครับ น่ารัก สงสัยผมจะสมองกลับมองผู้ชายว่าน่ารักได้ไงวะ บ้าไปแล้วสกาย

“ก็เราเจอกันสองครั้งแล้ว เผื่อมีครั้งที่สามไงครับ”  "ผมว่าถ้าเราเจอกันครั้งที่สาม ต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆ"

ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมพูดออกไป พอพูดออกไปแล้วก็ตกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

"ขออย่าให้ต้องมานั่งทำแผลอีกก็พอ" คุณหมอพูด

 

“จะไม่บอกชื่อเล่นจริงๆหรอ”

 

“ไว้เจอครั้งทีสามแล้วผมจะบอก”

 

จากนั้นผ่านไปเกือบสองเดือนผมก็ไม่เจอคุณหมออีกเลย....................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา