เทพตกสวรรค์ ทัณฑ์นิรันดร์กาล
9.3
เขียนโดย 秋冬夢春
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.05 น.
14 ตอน
2 วิจารณ์
20.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2565 18.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) แรกพบ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ณ ตำแหน่งทิศเหนือของเกาะโอกินาวาที่ซุกซ่อนในหุบเขาที่เต็มไปด้วยแมกไม้อันเขียวขจี เป็นที่ตั้งของตระกูลจิไรเสะ ตระกูลผู้พิทักษ์ผนึกในลำดับที่ 6 ซึ่งก็คือ ผนึกโอกานาระ ทว่าในปัจจุบันนั้น ตระกูลจิไรเสะได้ล่มสลายลงเนื่องจากถูกภูติปริศนาเข้าโจมตีจนถึงขั้นที่ “ถูกกวาดล้างทั้งตระกูล” ไร้ซึ่งผู้รอดชีวิต กระทั่งตัวของ จิไรเสะ อิเซคาว่า ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันก็ตามที
นาการะในฐานะหัวหน้าของตระกูลองเมียวจิทั้ง 6 จำเป็นต้องเดินทางจากเกียวโตลงไปยังโอกินาวาด้วยตนเอง เพื่อสืบหาและกำจัดภูติต้นตอของการล่มสลายครั้งใหญ่ของผนึกโอกานาระ มิเช่นนั้นตระกูลอื่นอาจจะตกที่นั่งลำบากไปด้วย
เวลาบ่ายแก่
“ถึงแล้วขอรับ!” เสียงขององเมียวจินายหนึ่งกล่าวกับเขา
นาการะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือตอบรับเสียงเรียกนั้น
ภาพที่เขาเห็นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างคือ คฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหุบเขา ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่ทว่าก็แฝงไปด้วยอันตรายที่พร้อมจะสังหารคนที่ย่างกรายเข้าไปทุกเมื่อ
รถยนต์ได้หยุดสนิทในบริเวณใจกลางค่ายขนาดย่อมขององเมียวจิจากตระกูลทั้ง 5 ที่ถูกสร้างขึ้นหลังการล่มสลายของตระกูลจิไรเสะ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของภูติพรายในโทงาระ
“นี่มัน......เงียบเกินไป.....” เขาพึมพำออกมาเบาๆ เพราะเมื่อประตูรถเปิดออก เขากลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกร้อง หรือสัตว์ป่าอื่นใดเลย ราวกับว่าเป็นป่าต้องมายา
“เช่นไรนะขอรับ?” องเมียวจิคนสนิทไต่ถามผู้เป็นนาย
แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ซึ่งก็เป็นปกติของชายหนุ่มที่มักจะไม่ตอบใครหากไม่จำเป็น จะมีก็เพียงบรรยากาศรอบตัวเขาที่น่าขนลุก รวมไปถึงดวงตาสีฟ้าครามภายใต้หน้ากากรูปจิ้งจอกนั่น ที่ราวกับห้วงสมุทรที่ไม่อาจหยั่งประมาณที่เป็นตัวแทนคำพูด
“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะเข้าไปสำรวจด้านใน” นาการะกล่าวออกมา ยังมิทันที่องเมียวจินายอื่นจะทันพูดหรือถามประการใด นาการะก็หายตัวไปจากตรงจุดที่ยืนอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ
ภายในคฤหาสน์ของตระกูลจิไรเสะ
“นายหญิงเจ้าคะ เมื่อครู่ เรนะสึ พึ่งตรวจพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติภายในคฤหาสน์เจ้าค่ะ” เสียงของสตรีปริศนาตนหนึ่งดังขึ้น นางรายงานต่อเงาปริศนาที่นั่งอยู่หลังฉากกั้นเบื้องหน้า
“อีกแล้วเหรอ? เรนะสึ!! คราวนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้จำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อนนะ!”
เงานั่นตอบกลับมา พร้อมกับน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย
“มะ...ไม่ใช่นะเจ้าคะ!! คราวนี้เรนะสึมั่นใจจริงๆ!!”
เสียงเล็กแหลมนั่นกล่าวขึ้น พลางเถียงผู้เป็นนายอย่างเจือยแจ้ว
“เอาเถอะๆ คราวนี้ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง...ไหนดูสิ?......อาา!....เป็นเจ้านี่เอง ที่ทำให้ภูติรับใช้ของข้าเถียงข้าเช่นนี้” เงาปริศนาพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นนาการะที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านทางดวงไฟวิญญาณของนาง
“ไปกันเถอะ เรนะสึ แล้วก็ไปตาม อายากะ มาให้ข้าด้วย ข้าจะออกไปต้อนรับแขกของเราเสียหน่อย.....” เงาปริศนานั่นพูดขึ้น ก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตน
“เจ้าค่ะ!!” เรนะสึรับคำ ก่อนที่จะหายออกไปทางประตูปล่อยให้นายหญิงของตนอยู่ตามลำพังในห้อง
หลายนาทีผ่านไป เรนะสึก็กลับมาพร้อมกับอายากะผู้เป็นพี่สาวของตน เมื่อร่างนั้นโผล่พ้นออกจากฉากกั้นก็ปรากฏใบหูจิ้งจอกสีขาวคู่หนึ่ง พร้อมหางสีขาวทั้งเก้าที่กวัดแกว่งอยู่เบื้องหลัง แท้จริงแล้ว สตรีผู้นี้คือ “จิ้งจอกเก้าหาง” และบริวารตัวน้อยทั้งสองที่กลายเป็นอาวุธของนาง คือ ลูกแก้ววิญญาณ และ ปิ่นปักษา ที่นางพกติดตัวเป็นประจำ และก็ไม่ลืมที่จะพก “ป้าย” ของนางไปด้วย
“ไปกันเถอะ!!” สิ้นเสียงนางก็หายวับไปยังทิศทางที่นาการะพุ่งเข้ามา
ตัดมาที่นาการะ
เขากำลังสะกดรอยตามกลิ่นอายพลังปริศนาที่ตรวจพบ พุ่งทะยานลึกเข้าไปในตัวคฤหาสน์ โถงทางเดินแลดูราวกับหนทางอันยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้เขารู้ตัวแล้วว่าได้ล่วงเข้ามายังอาณาบริเวณเขตอาคม “เส้นทางวิญญาณ” ของภูติบางตนเข้าแล้ว
สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ไร้พลังเวทย์ หรือกระทั่งองเมียวจิระดับล่างเอง ไฉนเลยจะสามารถออกจากอาณาเขตนี้ได้ มีเพียงเหล่าผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสเพียงเท่านั้นที่จะสามารถแก้เขตอาคมเส้นทางวิญญาณนี้ได้ ซึ่งในที่นี้นาการะเพียงตวัดมือของตนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำลายอาคมเส้นทางวิญญาณนี้ลงได้อย่างง่ายดาย เมื่ออาคมสลายลง สิ่งที่อยู่หน้าชายหนุ่ม คือ หญิงสาวนิรนามที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ยืนยิ้มให้เขาอยู่ไม่ห่างไปเท่าใดนัก มองปราดเดียวก็ทราบได้ทันทีว่านางไม่ใช่มนุษย์
หูสองข้างที่มีขนสีเทาหม่นที่กระดิกตามแรงสั่น ปอยผมสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่มีสีฟ้าใสดุจอัญมณีเลอค่า ไหนจะหางที่กระดิกไปมานั่นอีก ยิ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าสตรีตรงหน้ายอมมิใช่มนุษย์เป็นแน่
“เจ้า…เป็นใคร?” นาการะยกคาตานะชี้หน้าสตรีปริศนา
“เจ้าช่างมารยาทต่ำเสียเหลือเกิน!! รู้ไหมนายหญิงของพวกข้าคือใคร!!!” ภูติน้อยที่ชื่อเรนะสึตะคอกขึ้น
“นายหญิงเจ้าคะ ให้ทำเช่นไรกับบุรุษผู้นี้ดีเจ้าคะ?” ภูติอีกตนที่ชื่ออายากะดูจะใจเย็นกว่าพูดขึ้น
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใคร…ตอบคำถามข้ามา มิเช่นนั้นก็ตาย” นาการะพูดเสียงเรียบ แววตาเพชรฆาตพร้อมปลิดชีพสตรีทั้งสามตรงหน้า
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าช่วยใจร่มๆกันก่อนนะ” สตรีปริศนายื่นมือสีขาวดุจไข่มุกจับปลายคาตานะ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ตอบคำถามข้ามา…เจ้าเป็นใคร” นาการะยังยืนคำเดิม
“จิส์…เจ้านี่นะ ก็ได้ๆ ข้ามีนามว่า ซาซานาเอะ เรียวกะ คิสึเนะ เป็นจิ้งจอกเก้าหางภายใต้สังกัดเทพีอินาริ” สตรีปริศนาแนะนำตัวอย่างนอบน้อม
“ป้ายของเจ้าเล่า?” นาการะถามหาถึงป้าย อันเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของจิ้งจอกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพีอินาริ ซึ่งเป็นเทพีแห่งเกษตรกรรมซึ่งมีรูปร่างเป็นจิ้งจอก ในดินแดนของเทพใช้ระบุถึงสังกัดที่ตนเองสังกัดอยู่
“เอ้า! เชิญเจ้าทรรศนา” คิสึเนะโยนป้ายให้นาการะดู
ป้ายมีลักษณะเป็นแผ่นทองคำขนาดเล็ก สลักลวดลายเป็นชื่อของเจ้าของป้าย อายุ และสังกัด
ชื่อ : ซาซานาเอะ เรียวกะ คิสึเนะ (จิ้งจอกเก้าหาง)
อายุ : 5000 ปี
สังกัด : เทพีอินาริ
“…” นาการะโยนป้ายคืนให้นาง พร้อมกับลดดาบลง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นาการะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่เขาจำได้ คนจากหมู่บ้านจิ้งจอกไม่ควรจะมาอยู่บนโลกมนุษย์ หากแต่ควรจะอยู่ที่ที่ราบแดนสวรรค์มากกว่า
“ข้าก็อยากจะตอบอยู่นะ แต่ข้าว่าเราควรจะหาที่นั่งคุยที่เหมาะกว่านี้เสียหน่อย” คิสึเนะยิ้มตอบ
“เชิญนำทางไปเถิด” นาการะพูด
.
.
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินของคฤหาสน์ของตระกูลจิไรเสะ จนกระทั่งถึงห้องรับรองของคฤหาสน์ อันเป็นที่พักชั่วคราวของคิสึเนะ ดูจากสภาพภายในห้องพัก นางน่าจะอยู่กับภูติรับใช้ทั้งสอง ณ ที่แห่งนี้เป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ เพราะ ข้าวของภายในดูสะอาดสะอ้าน แตกต่างจากข้างนอกที่มีฝุ่นเกาะหนาตา ซึ่งก็น่าแปลกตรงที่เหล่าองเมียวด้านนอกไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกนางเลย แสดงว่าระดับพลังของสตรีตรงหน้าคงมิใช่ระดับเด็กอมมือเสียแล้ว
“เชิญนั่งเถิด ทำตัวตามสบาย คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านเจ้าแล้วกัน” คิสึเนะผายมือ ชั่วครู่เดียวเรนะสึก็นำชามาเสิร์ฟให้ กลิ่นไอชาหอมกรุ่น ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นาการะเปิดประเด็นอีกครั้ง
“ข้ากลับมายังโลกมนุษย์ ตามบัญชาของเทพีอินาริ ให้มาตามล่าจิ้งจอกโลกันต์ นามว่า อินุกิ เพื่อนำตัวกลับไปรับโทษยังหมู่บ้านจิ้งจอกมันหลบหนีมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ ข้าได้ตามรอยมันลงมาจนมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ และได้เข้าปะทะกับมันหลังจากที่มันสังหารคนที่อยู่ที่นี่ไปจนหมด หากแต่มันกลับหลบหนีข้าไปได้” คิสึเนะอธิบาย
“เหตุผลของการตามล่าคือ…?” นาการะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“มันได้สังหารบริวารของเทพีอินาริไปตนหนึ่ง โทษทัณฑ์ของมันสมควรถูกขับไล่ไปยังแดนสนธยาเป็นเวลา 10 ปี หากแต่ก่อนวันรับโทษมันได้หลบหนีออกจากที่คุมขัง ข้าในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านจิ้งจอกแทนเทพีอินาริ จำเป็นต้องลงมาตามหามันอย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้น หากแต่ในตอนนี้โทษทัณฑ์ของมันคงเพิ่มอย่างทวีคูณด้วยเหตุที่มันสังหารมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก” คิสึเนะอธิบายพร้อมยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ถ้าเป็นเช่นที่เจ้าว่า การมีอยู่ของอินุกิย่อมหมายถึงงานของข้าด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นตัวการของการล่มสลายของตระกูลภายใต้การดูแลของข้า และน่าจะขโมยเอาผนึกภูติพรายใต้การดูแลของตระกูลนี้ไปด้วยเป็นแน่” นาการะพูดด้วยท่าทีที่นิ่งสงบและเยือกเย็น หากแต่แววตาสีฟ้าครามนั่นดูเป็นกังวลมิใช่น้อย
หากเป็นเช่นที่นางว่าจริง นี่ย่อมหมายถึงภัยพิบัติที่กำลังคืบคลานมาสู่ตระกูลที่เหลือเป็นแน่ เพราะในผนึกภูตินั้นมีพลังของจอมภูติราชันย์ทั้งหกอยู่ด้วย พลังที่มากเพียงพอจะทำลายเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโทงาระ ไม่สิ อาจจะมากพอที่จะชักนำมหาสงครามเช่นในอดีตกาลหวนกลับมาอีกครั้ง จะเรียกว่านั่นหมายถึงการประกาศสงครามกับเหล่าเทพก็มิผิดนัก
“แต่ก่อนอื่น…เจ้ามีนามว่าอะไร? ข้าเองก็อยากจะรู้จักเจ้าเช่นกันนะ!” คิสึเนะเอ่ยถาม
“โฮชิ…โฮชิ คายาเสะ นาการะ เรียกข้าว่า นาการะเฉยๆก็ย่อมได้” ชายหนุ่มพูดขึ้น แววตาจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง ชื่อนี้เสมือนความภาคูมิใจของตระกูลชายหนุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงดารา
“ย่อมได้ นาการะ นั่นเป็นชื่อที่ดีนะ เจ้าว่าไหม” คิสึเนะแย้มน้อยๆอย่างเป็นมิตร
“เช่นกัน คิสึเนะ นั่นก็เป็นชื่อที่ดีสำหรับเจ้าเช่นกัน” นาการะตอบกลับ
ทั้งสองสนทนากันประมาณหนึ่งเพื่อทำความรู้จักกัน ภายใต้สายตาของอายากะและเรนะสึที่คอยดูผู้มาเยือนแบบไม่ห่างสายตา และจากการสนทนาก็ทำให้นาการะได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคิสึเนะมาด้วย
นางเป็นจิ้งจอกเก้าหางหวนคืนพิภพ ภายใต้สังกัดของเทพีอินาริ ณ ที่ราบแดนสวรรค์ นางมีหน้าที่คอยตามล่าจิ้งจอกผู้กระทำผิดกฎของหมู่บ้านจิ้งจอก เพื่อนำตัวกลับไปลงโทษ และ ยังเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านจิ้งจอกที่ใกล้ชิดเทพีอินาริมากที่สุด
นาการะเองก็จำได้ว่าในช่วงมหาสงครามเอง เทพีอินาริก็ช่วยในการสงครามมากพอสมควร พระองค์เป็นหัวหน้าฝ่ายเสบียงหลวงแห่งสวรรค์ เนื่องจากเป็นเทพีแห่งการกสิกรรมและไม่ค่อยสันทัดในการรบเท่าใดนัก หากแต่ถ้าพระองค์จำต้องรบจริงๆ ด้วยร่างจำแลงแห่งบุรุษเพศ ฝีมือพระองค์นับว่าน่ากลัวเลยทีเดียว
ทางด้านคิสึเนะเองก็ทราบข้อมูลของชายหนุ่มเช่นกัน นาการะเป็นชายผู้ครอบครองเพลิงประหารเทพ ผู้คุ้มครองตะกูลที่ครอบครองผนึกทั้งหกบนโลกมนุษย์ เพื่อป้องกันมหาสงครามเช่นในอดีต หากแต่อาจจะเป็นเพราะฝีมืออินุกิที่ทำให้ตระกูลหนึ่งล่มสลายลง ส่งผลให้เขตแดนแห่งนี้ล่มสลายลง ซึ่งนับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าเราสองคน คงจะต้องร่วมมือกันตามล่าตัวการในครั้งนี้เสียแล้ว…” คิสึเนะพูด พร้อมจิบชาอึกสุดท้าย น้ำเสียงนางดูเด็ดขาดและจริงจัง
“ข้าเห็นด้วย” นาการะตอบ
แต่ลึกๆแล้วยังคงไม่คลายความกังวล เพราะถ้าชายหนุ่มจำไม่ผิด ผนึกโอกานาระ จะเป็นผนึกที่มีอำนาจในการควบคุมมิติสูงสุดในบรรดาผนึกทั้งหก เพราะผนึกสิ่งนั้นเอาไว้ และเป็นผนึกเพียงอันเดียวที่คอยควบคุมเขตใต้สุดของเขตแดนยามาโตะแห่งนี้
“นี่นาการะ เหตุใด? เจ้าจึงทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นเล่า?” เสียงใสของคิสึเนะดังขึ้น ดึงให้นาการะหลุดจากภวังค์ความคิด
“เปล่า…ข้าไม่…ไม่มีเหตุอันใด” นาการะรีบปฏิเสธ ก่อนจะรีบถอยตัวออกมา เพราะใบหน้าของคิสึเนะที่เข้ามาใกล้เสียจนชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของนาง
“เช่นนั้นก็แล้วไป…จริงสิ! เจ้าหิวหรือเปล่า?” คิสึเนะถามขึ้นมาด้วยเห็นว่าเป็นเวลาคล้อยจะพลบค่ำแล้ว
“ข้า…ไม่……” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธ หญิงสาวก็รีบชิงตัดหน้าเสียก่อน “อายากะ เรนะสึ พวกเจ้าจงไปเร่งจัดสำรับอาหารมาต้อนรับแขกเถิด”
“แต่ข้า……// คติของหมู่บ้านข้าคือแขกผู้มาเยือนต้องได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด นี่คือกฎที่หมู่บ้านจิ้งจอกพร่ำสอนข้ามา” คิสึเนะพูดขัดเขาที่ทำท่าอึกอัก
ความประสงค์ของนาการะคือจะอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวแล้วจึงจะกลับออกไป หากแต่สตรีตรงหน้ากลับฉีกความประสงค์ของเขาแล้วโยนทิ้งไปด้วยรอยยิ้ม
ภูติรับใช้สองตนนั้นเดินออกจากห้องไป ทั้งห้องจึงเหลือเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวสองต่อสอง เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คิสึเนะจึงเป็นฝ่ายชวนคุยนาการะคุย ซึ่งประเด็นที่ชวนคุยนั้น ทำเอานาการะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย
“นี่…เจ้ามีเคยมีคู่ครองหรือแบบว่าที่มนุษย์สมัยนี้เขาเรียกว่าแฟนอะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่า?”
“……” ไร้ซึ่งเสียงใดๆจากชายหนุ่ม มีเพียงการสั่นศรีษะเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“เหรอ……สมัยนี้เขาเรียกว่าเช่นไรนะ อา หนุ่มซิง สินะถ้าข้าจำไม่ผิด” นางพูด มีครู่หนึ่งที่นาการะจับสังเกตว่านางมีประกายของความเสน่หาอยู่ปะปนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลงใจมากมาย เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นนิสัยปกติของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก
“……” ชายหนุ่มชักสีหน้า แต่ก็จริงนับตั้งแต่จำความได้เมื่อ 5000 ปีก่อน นาการะไม่เคยมีคู่ครองคนใดมาก่อน หากนับจริงๆ นี่คงเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในห้องกับสตรีสองต่อสอง
“ข้าชักจะสงสัยแล้วสิ” คิสึเนะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่านาการะเริ่มไม่สบอารมณ์ “เจ้ามีชีวิตอยู่มานานเท่าใดกันแน่?” นางถามเพราะความอยากรู้ตามประสาของจิ้งจอกที่มักจะอยากรู้อยากเห็น
“มากพอๆกับเจ้า” นาการะตอบ “แล้วนี่? เราจะไม่คุยเรื่องการตามล่าหาตัวอินุกิเช่นนั้นรึ?” ก่อนจะเปิดประเด็นถามบ้าง
“อินุกิเป็นจิ้งจอกโลกันต์ หากมันคิดจะหยิบยืมใช้พลังหยินบนโลกแห่งนี้ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการยากของพวกเราเสียสักหน่อย ที่จะตามล่ามัน” คิสึเนะกล่าว พร้อมกับตวัดมือขึ้นไปบนอากาศ เปลวไฟสีฟ้าอ่อนก่อตัวเป็นรูปร่างตามประสงค์ของนาง
“เหตุที่การตามล่าหาตัวมันทำได้ยากยิ่ง เพราะมันปกปิดร่องรอยได้แนบเนียนดุจหายไปในอากาศธาตุ หากแต่การตามหาตัวมันว่ายากแล้ว การต่อกรกับมันนับว่ายากยิ่งกว่า เพราะจิ้งจอกโลกันต์ เป็นจิ้งจอกที่ใช้พลังงานหยินจากโลกมนุษย์และโยมิ ยิ่งมีพลังงานหยินเข้มข้นเท่าใด ตัวมันก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แตกต่างจากข้าซึ่งเป็นจิ้งจอกเก้าหางหวนคืนพิภพหรือจิ้งจอกตนอื่นๆ ที่ใช้พลังงานหยางจากแดนแห่งเทพเป็นส่วนใหญ่” คิสึเนะอธิบาย
“พวกนอกคอกสินะ” นาการะเอ่ยปากเบาๆ “ข้าเองก็เคยได้ยินเมื่อครั้งมหาสงครามว่ามีพวกจิ้งจอกนอกคอกเกิดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดผุด มันคือเรื่องจริงสินะ” ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงจิ้งจอกตัวล่าสุดที่ตนฆ่า มันเองก็นับว่าเป็นพวกนอกคอกด้วยเช่นกัน เพราะมันคอยตามเสพความเสน่หา อันเป็นพลังหยินที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกมนุษย์
“ถูกต้อง! หัวเจ้าเองก็ไวดีนี่” คิสึเนะตบมือเบาๆ
“……” นาการะมองค้อนเล็กน้อย ออกอาการไม่พอใจเล็กๆ แต่ก็มิได้เอ่ยปากอะไรออกมา
“การที่จะตามหามันมีทางเดียวคือต้องให้มันเผยหางของตนออกมาก่อน เราถึงจะสามารถแกะรอยมันได้ มิเช่นนั้นก็คงทำได้แค่ควานหามัน เสมือนงมเข็มในมหาสมุทร” คิสึเนะอธิบาย “แต่ก็ยังดี ด้วยความสามารถของข้าสามารถจับได้ว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อใด”
พูดจบนางก็ทำหน้าประหนึ่งว่า ชมข้าสิ ข้าเก่งไหม ชมข้าเยอะๆสิ
“…(น่าหมั่นไส้)…” นาการะคิดในใจ “ข้าคาดว่ามันคงจะทำไปเพื่อรวบรวมพลังหยินจากราชันย์แห่งภูติทั้งหก เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง สังเกตได้จากการที่มันเข้าโจมตีผนึกโอกานาระ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลจิไรเสะ” นาการะกล่าว
“เจ้าเองก็…ฉลาดเหมือนกันนี่นา” คิสึเนะพูด พร้อมกับคิดตามที่นาการะว่า
“…เช่นนั้น! มันย่อมหมายถึงอันตรายต่อโลกใบนี้” นาการะกล่าวปิดท้าย
“(ครืด)…ขออนุญาตเจ้าค่ะนายหญิง อาหารพร้อมรับประทานแล้วเจ้าค่ะ จะให้ยกขึ้นโต๊ะเลยไหมเจ้าคะ?”
อายากะเปิดประตูเรียกทั้งสองให้หลุดออกจากการสนทนา
“……” คิสึเนะพยักหน้าเป็นคำตอบ อายากะและเรนะสึจึงยกสำรับอาหารขึ้นเสิร์ฟให้แก่ทั้งสองคนได้รับประทาน
.
มื้ออาหารนับว่าน่าประทับใจ ด้วยรสชาติอาหารที่ถูกปากชายหนุ่ม จนถึงขั้นที่ต้องเอ่ยปากชม
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อที่น่าประทับใจเช่นนี้” นาการะเอ่ย “รสชาติของอาหารถูกปากข้านัก”
คิสึเนะแย้มน้อยๆ พร้อมกับหันไปชมภูติรับใช้ของตน “พวกเจ้าทำได้ดีมากอายากะ เรนะสึ”
“หามิได้เจ้าค่ะ นายหญิง มันเป็นหน้าที่ของอายากะที่ต้องต้อนรับแขกของนายหญิงให้ดีที่สุด” อายากะพูดด้วยความนอบน้อม พร้อมกับค้อมหัวลงเล็กน้อย
“เรนะสึด้วยเจ้าค่ะ” ผู้เป็นน้องพูดอย่างเจือยแจ้ว เรียกรอยยิ้มจากคิสึเนะได้อีกครั้ง
“แล้ว……เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป?” นาการะเอ่ยปากถามคิสึเนะ
“ไม่รู้สิ ข้าก็อาจจะพำนักที่นี่ไปสัก……” นางพูดแต่แล้วก็ชะงักกลางคัน
“มีเหตุอันใดหรือ?” นาการะถาม “มันเคลื่อนไหวแล้ว อินุกิเคลื่อนไหวแล้ว” คิสึเนะพูด
“ตำแหน่งล่ะ?” ชายหนุ่มถาม “ข้าไม่ทราบ สัมผัสนั้นเบาบางเสียจนข้าระบุตำแหน่งของมันไม่ได้เลย แต่น่าจะกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปทางตอนเหนือ” นางสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่ก่อตัว ถึงแม้จะเบาบางก็ตามที
“ตอนเหนือ?” นาการะเอ่ย “ให้ข้าคาดเดา ข้าคาดว่าต่อไปที่ที่มันจะปรากฏตัว คือที่ตั้งของ ผนึกคาเมระ เพราะเป็นสถานที่ต่อไปที่ใกล้ที่นี่มากที่สุด” นาการะกล่าว
ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะมัวช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เพราะทุกวินาทีที่เสียไป คือ ความเสี่ยงที่ตระกูลทาวะระจะถูกโจมตีจนถึงขั้นล่มสลายเช่นเดียวกับตระกูลจิไรเสะ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!” นาการะลุกขึ้นและกำลังจะจากไป
“ประเดี๋ยวก่อน!……” คิสึเนะรั้งแขนของชายหนุ่มเอาไว้
“มีเหตุอันใด?” นาการะเอ่ยถาม
“ข้าขอติดตามเจ้าไปด้วยได้หรือไม่? เพราะงานของข้าคือการควบคุมตัวอินุกิกลับไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก เพื่อรับบทลงโทษ” นางกล่าว
ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเล สองจิตสองใจว่าจะให้นางติดตามไปด้วยดีหรือไม่
“ขอร้องล่ะ~” คิสึเนะอ้อนวอนพร้อมกอดแขนเขาเอาไว้แน่น
“……” เมื่อเจอลูกอ้อนของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงใจอ่อนยวบลง
“ย่อมได้” มันก็ไม่เสียหายอะไร เขาเพียงแต่จะไปนำผนึกภูติราชันย์กลับมาเพียงเท่านั้น ส่วนอินุกินั้นเชื่อว่าโทษทัณฑ์ที่รอมันที่หมู่บ้านจิ้งจอกก็น่าจะสาหัสพออยู่แล้ว
“ขอบคุณเจ้ามาก” คิสึเนะยิ้มแก้มปริ “อายากะ เรนะสึ กลับมานี่ เราจะออกเดินทางกัน!!” นางเรียกชิกิคามิทั้งสองให้กลับเป็นรูปแบบดังเดิม ก่อนที่นางจะรีบเดินตามนาการะออกไป
writer : เนื่องจากไรต์พึ่งจะกลับมารีไรต์นิยายใหม่ ทำให้ตอนจะอัพเดตช้ากว่าแอพอื่นไปเยอะ(มากกกก) ไรต์จะทยอยลงให้วันละตอนจนกว่าจะตามแอพอื่นทัน และจะเพิ่มเป็นสองตอนในทุกวันอังคารและศุกร์ แต่หากค้างคาอยากอ่านต่อ สามารถอ่านได้ที่แอพ Dek D หรือ readAwriteได้เลยจ้าาา
นาการะในฐานะหัวหน้าของตระกูลองเมียวจิทั้ง 6 จำเป็นต้องเดินทางจากเกียวโตลงไปยังโอกินาวาด้วยตนเอง เพื่อสืบหาและกำจัดภูติต้นตอของการล่มสลายครั้งใหญ่ของผนึกโอกานาระ มิเช่นนั้นตระกูลอื่นอาจจะตกที่นั่งลำบากไปด้วย
เวลาบ่ายแก่
“ถึงแล้วขอรับ!” เสียงขององเมียวจินายหนึ่งกล่าวกับเขา
นาการะเงยหน้าขึ้นจากหนังสือตอบรับเสียงเรียกนั้น
ภาพที่เขาเห็นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างคือ คฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางหุบเขา ทุกอย่างดูเงียบสงบ แต่ทว่าก็แฝงไปด้วยอันตรายที่พร้อมจะสังหารคนที่ย่างกรายเข้าไปทุกเมื่อ
รถยนต์ได้หยุดสนิทในบริเวณใจกลางค่ายขนาดย่อมขององเมียวจิจากตระกูลทั้ง 5 ที่ถูกสร้างขึ้นหลังการล่มสลายของตระกูลจิไรเสะ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของภูติพรายในโทงาระ
“นี่มัน......เงียบเกินไป.....” เขาพึมพำออกมาเบาๆ เพราะเมื่อประตูรถเปิดออก เขากลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกร้อง หรือสัตว์ป่าอื่นใดเลย ราวกับว่าเป็นป่าต้องมายา
“เช่นไรนะขอรับ?” องเมียวจิคนสนิทไต่ถามผู้เป็นนาย
แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ซึ่งก็เป็นปกติของชายหนุ่มที่มักจะไม่ตอบใครหากไม่จำเป็น จะมีก็เพียงบรรยากาศรอบตัวเขาที่น่าขนลุก รวมไปถึงดวงตาสีฟ้าครามภายใต้หน้ากากรูปจิ้งจอกนั่น ที่ราวกับห้วงสมุทรที่ไม่อาจหยั่งประมาณที่เป็นตัวแทนคำพูด
“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าจะเข้าไปสำรวจด้านใน” นาการะกล่าวออกมา ยังมิทันที่องเมียวจินายอื่นจะทันพูดหรือถามประการใด นาการะก็หายตัวไปจากตรงจุดที่ยืนอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ
ภายในคฤหาสน์ของตระกูลจิไรเสะ
“นายหญิงเจ้าคะ เมื่อครู่ เรนะสึ พึ่งตรวจพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติภายในคฤหาสน์เจ้าค่ะ” เสียงของสตรีปริศนาตนหนึ่งดังขึ้น นางรายงานต่อเงาปริศนาที่นั่งอยู่หลังฉากกั้นเบื้องหน้า
“อีกแล้วเหรอ? เรนะสึ!! คราวนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ได้จำผิดพลาดเหมือนครั้งก่อนนะ!”
เงานั่นตอบกลับมา พร้อมกับน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อย
“มะ...ไม่ใช่นะเจ้าคะ!! คราวนี้เรนะสึมั่นใจจริงๆ!!”
เสียงเล็กแหลมนั่นกล่าวขึ้น พลางเถียงผู้เป็นนายอย่างเจือยแจ้ว
“เอาเถอะๆ คราวนี้ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง...ไหนดูสิ?......อาา!....เป็นเจ้านี่เอง ที่ทำให้ภูติรับใช้ของข้าเถียงข้าเช่นนี้” เงาปริศนาพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นนาการะที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านทางดวงไฟวิญญาณของนาง
“ไปกันเถอะ เรนะสึ แล้วก็ไปตาม อายากะ มาให้ข้าด้วย ข้าจะออกไปต้อนรับแขกของเราเสียหน่อย.....” เงาปริศนานั่นพูดขึ้น ก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตน
“เจ้าค่ะ!!” เรนะสึรับคำ ก่อนที่จะหายออกไปทางประตูปล่อยให้นายหญิงของตนอยู่ตามลำพังในห้อง
หลายนาทีผ่านไป เรนะสึก็กลับมาพร้อมกับอายากะผู้เป็นพี่สาวของตน เมื่อร่างนั้นโผล่พ้นออกจากฉากกั้นก็ปรากฏใบหูจิ้งจอกสีขาวคู่หนึ่ง พร้อมหางสีขาวทั้งเก้าที่กวัดแกว่งอยู่เบื้องหลัง แท้จริงแล้ว สตรีผู้นี้คือ “จิ้งจอกเก้าหาง” และบริวารตัวน้อยทั้งสองที่กลายเป็นอาวุธของนาง คือ ลูกแก้ววิญญาณ และ ปิ่นปักษา ที่นางพกติดตัวเป็นประจำ และก็ไม่ลืมที่จะพก “ป้าย” ของนางไปด้วย
“ไปกันเถอะ!!” สิ้นเสียงนางก็หายวับไปยังทิศทางที่นาการะพุ่งเข้ามา
ตัดมาที่นาการะ
เขากำลังสะกดรอยตามกลิ่นอายพลังปริศนาที่ตรวจพบ พุ่งทะยานลึกเข้าไปในตัวคฤหาสน์ โถงทางเดินแลดูราวกับหนทางอันยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้เขารู้ตัวแล้วว่าได้ล่วงเข้ามายังอาณาบริเวณเขตอาคม “เส้นทางวิญญาณ” ของภูติบางตนเข้าแล้ว
สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ไร้พลังเวทย์ หรือกระทั่งองเมียวจิระดับล่างเอง ไฉนเลยจะสามารถออกจากอาณาเขตนี้ได้ มีเพียงเหล่าผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสเพียงเท่านั้นที่จะสามารถแก้เขตอาคมเส้นทางวิญญาณนี้ได้ ซึ่งในที่นี้นาการะเพียงตวัดมือของตนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำลายอาคมเส้นทางวิญญาณนี้ลงได้อย่างง่ายดาย เมื่ออาคมสลายลง สิ่งที่อยู่หน้าชายหนุ่ม คือ หญิงสาวนิรนามที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ยืนยิ้มให้เขาอยู่ไม่ห่างไปเท่าใดนัก มองปราดเดียวก็ทราบได้ทันทีว่านางไม่ใช่มนุษย์
หูสองข้างที่มีขนสีเทาหม่นที่กระดิกตามแรงสั่น ปอยผมสีขาวราวกับหิมะ ดวงตาที่มีสีฟ้าใสดุจอัญมณีเลอค่า ไหนจะหางที่กระดิกไปมานั่นอีก ยิ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าสตรีตรงหน้ายอมมิใช่มนุษย์เป็นแน่
“เจ้า…เป็นใคร?” นาการะยกคาตานะชี้หน้าสตรีปริศนา
“เจ้าช่างมารยาทต่ำเสียเหลือเกิน!! รู้ไหมนายหญิงของพวกข้าคือใคร!!!” ภูติน้อยที่ชื่อเรนะสึตะคอกขึ้น
“นายหญิงเจ้าคะ ให้ทำเช่นไรกับบุรุษผู้นี้ดีเจ้าคะ?” ภูติอีกตนที่ชื่ออายากะดูจะใจเย็นกว่าพูดขึ้น
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใคร…ตอบคำถามข้ามา มิเช่นนั้นก็ตาย” นาการะพูดเสียงเรียบ แววตาเพชรฆาตพร้อมปลิดชีพสตรีทั้งสามตรงหน้า
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าช่วยใจร่มๆกันก่อนนะ” สตรีปริศนายื่นมือสีขาวดุจไข่มุกจับปลายคาตานะ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ตอบคำถามข้ามา…เจ้าเป็นใคร” นาการะยังยืนคำเดิม
“จิส์…เจ้านี่นะ ก็ได้ๆ ข้ามีนามว่า ซาซานาเอะ เรียวกะ คิสึเนะ เป็นจิ้งจอกเก้าหางภายใต้สังกัดเทพีอินาริ” สตรีปริศนาแนะนำตัวอย่างนอบน้อม
“ป้ายของเจ้าเล่า?” นาการะถามหาถึงป้าย อันเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของจิ้งจอกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเทพีอินาริ ซึ่งเป็นเทพีแห่งเกษตรกรรมซึ่งมีรูปร่างเป็นจิ้งจอก ในดินแดนของเทพใช้ระบุถึงสังกัดที่ตนเองสังกัดอยู่
“เอ้า! เชิญเจ้าทรรศนา” คิสึเนะโยนป้ายให้นาการะดู
ป้ายมีลักษณะเป็นแผ่นทองคำขนาดเล็ก สลักลวดลายเป็นชื่อของเจ้าของป้าย อายุ และสังกัด
ชื่อ : ซาซานาเอะ เรียวกะ คิสึเนะ (จิ้งจอกเก้าหาง)
อายุ : 5000 ปี
สังกัด : เทพีอินาริ
“…” นาการะโยนป้ายคืนให้นาง พร้อมกับลดดาบลง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นาการะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่เขาจำได้ คนจากหมู่บ้านจิ้งจอกไม่ควรจะมาอยู่บนโลกมนุษย์ หากแต่ควรจะอยู่ที่ที่ราบแดนสวรรค์มากกว่า
“ข้าก็อยากจะตอบอยู่นะ แต่ข้าว่าเราควรจะหาที่นั่งคุยที่เหมาะกว่านี้เสียหน่อย” คิสึเนะยิ้มตอบ
“เชิญนำทางไปเถิด” นาการะพูด
.
.
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินของคฤหาสน์ของตระกูลจิไรเสะ จนกระทั่งถึงห้องรับรองของคฤหาสน์ อันเป็นที่พักชั่วคราวของคิสึเนะ ดูจากสภาพภายในห้องพัก นางน่าจะอยู่กับภูติรับใช้ทั้งสอง ณ ที่แห่งนี้เป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ เพราะ ข้าวของภายในดูสะอาดสะอ้าน แตกต่างจากข้างนอกที่มีฝุ่นเกาะหนาตา ซึ่งก็น่าแปลกตรงที่เหล่าองเมียวด้านนอกไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกนางเลย แสดงว่าระดับพลังของสตรีตรงหน้าคงมิใช่ระดับเด็กอมมือเสียแล้ว
“เชิญนั่งเถิด ทำตัวตามสบาย คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านเจ้าแล้วกัน” คิสึเนะผายมือ ชั่วครู่เดียวเรนะสึก็นำชามาเสิร์ฟให้ กลิ่นไอชาหอมกรุ่น ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” นาการะเปิดประเด็นอีกครั้ง
“ข้ากลับมายังโลกมนุษย์ ตามบัญชาของเทพีอินาริ ให้มาตามล่าจิ้งจอกโลกันต์ นามว่า อินุกิ เพื่อนำตัวกลับไปรับโทษยังหมู่บ้านจิ้งจอกมันหลบหนีมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ ข้าได้ตามรอยมันลงมาจนมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้ และได้เข้าปะทะกับมันหลังจากที่มันสังหารคนที่อยู่ที่นี่ไปจนหมด หากแต่มันกลับหลบหนีข้าไปได้” คิสึเนะอธิบาย
“เหตุผลของการตามล่าคือ…?” นาการะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“มันได้สังหารบริวารของเทพีอินาริไปตนหนึ่ง โทษทัณฑ์ของมันสมควรถูกขับไล่ไปยังแดนสนธยาเป็นเวลา 10 ปี หากแต่ก่อนวันรับโทษมันได้หลบหนีออกจากที่คุมขัง ข้าในฐานะที่เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านจิ้งจอกแทนเทพีอินาริ จำเป็นต้องลงมาตามหามันอย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้น หากแต่ในตอนนี้โทษทัณฑ์ของมันคงเพิ่มอย่างทวีคูณด้วยเหตุที่มันสังหารมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก” คิสึเนะอธิบายพร้อมยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“ถ้าเป็นเช่นที่เจ้าว่า การมีอยู่ของอินุกิย่อมหมายถึงงานของข้าด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นตัวการของการล่มสลายของตระกูลภายใต้การดูแลของข้า และน่าจะขโมยเอาผนึกภูติพรายใต้การดูแลของตระกูลนี้ไปด้วยเป็นแน่” นาการะพูดด้วยท่าทีที่นิ่งสงบและเยือกเย็น หากแต่แววตาสีฟ้าครามนั่นดูเป็นกังวลมิใช่น้อย
หากเป็นเช่นที่นางว่าจริง นี่ย่อมหมายถึงภัยพิบัติที่กำลังคืบคลานมาสู่ตระกูลที่เหลือเป็นแน่ เพราะในผนึกภูตินั้นมีพลังของจอมภูติราชันย์ทั้งหกอยู่ด้วย พลังที่มากเพียงพอจะทำลายเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโทงาระ ไม่สิ อาจจะมากพอที่จะชักนำมหาสงครามเช่นในอดีตกาลหวนกลับมาอีกครั้ง จะเรียกว่านั่นหมายถึงการประกาศสงครามกับเหล่าเทพก็มิผิดนัก
“แต่ก่อนอื่น…เจ้ามีนามว่าอะไร? ข้าเองก็อยากจะรู้จักเจ้าเช่นกันนะ!” คิสึเนะเอ่ยถาม
“โฮชิ…โฮชิ คายาเสะ นาการะ เรียกข้าว่า นาการะเฉยๆก็ย่อมได้” ชายหนุ่มพูดขึ้น แววตาจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง ชื่อนี้เสมือนความภาคูมิใจของตระกูลชายหนุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงดารา
“ย่อมได้ นาการะ นั่นเป็นชื่อที่ดีนะ เจ้าว่าไหม” คิสึเนะแย้มน้อยๆอย่างเป็นมิตร
“เช่นกัน คิสึเนะ นั่นก็เป็นชื่อที่ดีสำหรับเจ้าเช่นกัน” นาการะตอบกลับ
ทั้งสองสนทนากันประมาณหนึ่งเพื่อทำความรู้จักกัน ภายใต้สายตาของอายากะและเรนะสึที่คอยดูผู้มาเยือนแบบไม่ห่างสายตา และจากการสนทนาก็ทำให้นาการะได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคิสึเนะมาด้วย
นางเป็นจิ้งจอกเก้าหางหวนคืนพิภพ ภายใต้สังกัดของเทพีอินาริ ณ ที่ราบแดนสวรรค์ นางมีหน้าที่คอยตามล่าจิ้งจอกผู้กระทำผิดกฎของหมู่บ้านจิ้งจอก เพื่อนำตัวกลับไปลงโทษ และ ยังเป็นหนึ่งในสามผู้อาวุโสสูงสุดของหมู่บ้านจิ้งจอกที่ใกล้ชิดเทพีอินาริมากที่สุด
นาการะเองก็จำได้ว่าในช่วงมหาสงครามเอง เทพีอินาริก็ช่วยในการสงครามมากพอสมควร พระองค์เป็นหัวหน้าฝ่ายเสบียงหลวงแห่งสวรรค์ เนื่องจากเป็นเทพีแห่งการกสิกรรมและไม่ค่อยสันทัดในการรบเท่าใดนัก หากแต่ถ้าพระองค์จำต้องรบจริงๆ ด้วยร่างจำแลงแห่งบุรุษเพศ ฝีมือพระองค์นับว่าน่ากลัวเลยทีเดียว
ทางด้านคิสึเนะเองก็ทราบข้อมูลของชายหนุ่มเช่นกัน นาการะเป็นชายผู้ครอบครองเพลิงประหารเทพ ผู้คุ้มครองตะกูลที่ครอบครองผนึกทั้งหกบนโลกมนุษย์ เพื่อป้องกันมหาสงครามเช่นในอดีต หากแต่อาจจะเป็นเพราะฝีมืออินุกิที่ทำให้ตระกูลหนึ่งล่มสลายลง ส่งผลให้เขตแดนแห่งนี้ล่มสลายลง ซึ่งนับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนว่าเราสองคน คงจะต้องร่วมมือกันตามล่าตัวการในครั้งนี้เสียแล้ว…” คิสึเนะพูด พร้อมจิบชาอึกสุดท้าย น้ำเสียงนางดูเด็ดขาดและจริงจัง
“ข้าเห็นด้วย” นาการะตอบ
แต่ลึกๆแล้วยังคงไม่คลายความกังวล เพราะถ้าชายหนุ่มจำไม่ผิด ผนึกโอกานาระ จะเป็นผนึกที่มีอำนาจในการควบคุมมิติสูงสุดในบรรดาผนึกทั้งหก เพราะผนึกสิ่งนั้นเอาไว้ และเป็นผนึกเพียงอันเดียวที่คอยควบคุมเขตใต้สุดของเขตแดนยามาโตะแห่งนี้
“นี่นาการะ เหตุใด? เจ้าจึงทำสีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นเล่า?” เสียงใสของคิสึเนะดังขึ้น ดึงให้นาการะหลุดจากภวังค์ความคิด
“เปล่า…ข้าไม่…ไม่มีเหตุอันใด” นาการะรีบปฏิเสธ ก่อนจะรีบถอยตัวออกมา เพราะใบหน้าของคิสึเนะที่เข้ามาใกล้เสียจนชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของนาง
“เช่นนั้นก็แล้วไป…จริงสิ! เจ้าหิวหรือเปล่า?” คิสึเนะถามขึ้นมาด้วยเห็นว่าเป็นเวลาคล้อยจะพลบค่ำแล้ว
“ข้า…ไม่……” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธ หญิงสาวก็รีบชิงตัดหน้าเสียก่อน “อายากะ เรนะสึ พวกเจ้าจงไปเร่งจัดสำรับอาหารมาต้อนรับแขกเถิด”
“แต่ข้า……// คติของหมู่บ้านข้าคือแขกผู้มาเยือนต้องได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด นี่คือกฎที่หมู่บ้านจิ้งจอกพร่ำสอนข้ามา” คิสึเนะพูดขัดเขาที่ทำท่าอึกอัก
ความประสงค์ของนาการะคือจะอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวแล้วจึงจะกลับออกไป หากแต่สตรีตรงหน้ากลับฉีกความประสงค์ของเขาแล้วโยนทิ้งไปด้วยรอยยิ้ม
ภูติรับใช้สองตนนั้นเดินออกจากห้องไป ทั้งห้องจึงเหลือเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวสองต่อสอง เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คิสึเนะจึงเป็นฝ่ายชวนคุยนาการะคุย ซึ่งประเด็นที่ชวนคุยนั้น ทำเอานาการะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย
“นี่…เจ้ามีเคยมีคู่ครองหรือแบบว่าที่มนุษย์สมัยนี้เขาเรียกว่าแฟนอะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่า?”
“……” ไร้ซึ่งเสียงใดๆจากชายหนุ่ม มีเพียงการสั่นศรีษะเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
“เหรอ……สมัยนี้เขาเรียกว่าเช่นไรนะ อา หนุ่มซิง สินะถ้าข้าจำไม่ผิด” นางพูด มีครู่หนึ่งที่นาการะจับสังเกตว่านางมีประกายของความเสน่หาอยู่ปะปนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลงใจมากมาย เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นนิสัยปกติของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก
“……” ชายหนุ่มชักสีหน้า แต่ก็จริงนับตั้งแต่จำความได้เมื่อ 5000 ปีก่อน นาการะไม่เคยมีคู่ครองคนใดมาก่อน หากนับจริงๆ นี่คงเป็นครั้งแรกเสียด้วยซ้ำที่ได้อยู่ในห้องกับสตรีสองต่อสอง
“ข้าชักจะสงสัยแล้วสิ” คิสึเนะเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่านาการะเริ่มไม่สบอารมณ์ “เจ้ามีชีวิตอยู่มานานเท่าใดกันแน่?” นางถามเพราะความอยากรู้ตามประสาของจิ้งจอกที่มักจะอยากรู้อยากเห็น
“มากพอๆกับเจ้า” นาการะตอบ “แล้วนี่? เราจะไม่คุยเรื่องการตามล่าหาตัวอินุกิเช่นนั้นรึ?” ก่อนจะเปิดประเด็นถามบ้าง
“อินุกิเป็นจิ้งจอกโลกันต์ หากมันคิดจะหยิบยืมใช้พลังหยินบนโลกแห่งนี้ ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการยากของพวกเราเสียสักหน่อย ที่จะตามล่ามัน” คิสึเนะกล่าว พร้อมกับตวัดมือขึ้นไปบนอากาศ เปลวไฟสีฟ้าอ่อนก่อตัวเป็นรูปร่างตามประสงค์ของนาง
“เหตุที่การตามล่าหาตัวมันทำได้ยากยิ่ง เพราะมันปกปิดร่องรอยได้แนบเนียนดุจหายไปในอากาศธาตุ หากแต่การตามหาตัวมันว่ายากแล้ว การต่อกรกับมันนับว่ายากยิ่งกว่า เพราะจิ้งจอกโลกันต์ เป็นจิ้งจอกที่ใช้พลังงานหยินจากโลกมนุษย์และโยมิ ยิ่งมีพลังงานหยินเข้มข้นเท่าใด ตัวมันก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แตกต่างจากข้าซึ่งเป็นจิ้งจอกเก้าหางหวนคืนพิภพหรือจิ้งจอกตนอื่นๆ ที่ใช้พลังงานหยางจากแดนแห่งเทพเป็นส่วนใหญ่” คิสึเนะอธิบาย
“พวกนอกคอกสินะ” นาการะเอ่ยปากเบาๆ “ข้าเองก็เคยได้ยินเมื่อครั้งมหาสงครามว่ามีพวกจิ้งจอกนอกคอกเกิดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดผุด มันคือเรื่องจริงสินะ” ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงจิ้งจอกตัวล่าสุดที่ตนฆ่า มันเองก็นับว่าเป็นพวกนอกคอกด้วยเช่นกัน เพราะมันคอยตามเสพความเสน่หา อันเป็นพลังหยินที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกมนุษย์
“ถูกต้อง! หัวเจ้าเองก็ไวดีนี่” คิสึเนะตบมือเบาๆ
“……” นาการะมองค้อนเล็กน้อย ออกอาการไม่พอใจเล็กๆ แต่ก็มิได้เอ่ยปากอะไรออกมา
“การที่จะตามหามันมีทางเดียวคือต้องให้มันเผยหางของตนออกมาก่อน เราถึงจะสามารถแกะรอยมันได้ มิเช่นนั้นก็คงทำได้แค่ควานหามัน เสมือนงมเข็มในมหาสมุทร” คิสึเนะอธิบาย “แต่ก็ยังดี ด้วยความสามารถของข้าสามารถจับได้ว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อใด”
พูดจบนางก็ทำหน้าประหนึ่งว่า ชมข้าสิ ข้าเก่งไหม ชมข้าเยอะๆสิ
“…(น่าหมั่นไส้)…” นาการะคิดในใจ “ข้าคาดว่ามันคงจะทำไปเพื่อรวบรวมพลังหยินจากราชันย์แห่งภูติทั้งหก เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง สังเกตได้จากการที่มันเข้าโจมตีผนึกโอกานาระ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลจิไรเสะ” นาการะกล่าว
“เจ้าเองก็…ฉลาดเหมือนกันนี่นา” คิสึเนะพูด พร้อมกับคิดตามที่นาการะว่า
“…เช่นนั้น! มันย่อมหมายถึงอันตรายต่อโลกใบนี้” นาการะกล่าวปิดท้าย
“(ครืด)…ขออนุญาตเจ้าค่ะนายหญิง อาหารพร้อมรับประทานแล้วเจ้าค่ะ จะให้ยกขึ้นโต๊ะเลยไหมเจ้าคะ?”
อายากะเปิดประตูเรียกทั้งสองให้หลุดออกจากการสนทนา
“……” คิสึเนะพยักหน้าเป็นคำตอบ อายากะและเรนะสึจึงยกสำรับอาหารขึ้นเสิร์ฟให้แก่ทั้งสองคนได้รับประทาน
.
มื้ออาหารนับว่าน่าประทับใจ ด้วยรสชาติอาหารที่ถูกปากชายหนุ่ม จนถึงขั้นที่ต้องเอ่ยปากชม
“ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อที่น่าประทับใจเช่นนี้” นาการะเอ่ย “รสชาติของอาหารถูกปากข้านัก”
คิสึเนะแย้มน้อยๆ พร้อมกับหันไปชมภูติรับใช้ของตน “พวกเจ้าทำได้ดีมากอายากะ เรนะสึ”
“หามิได้เจ้าค่ะ นายหญิง มันเป็นหน้าที่ของอายากะที่ต้องต้อนรับแขกของนายหญิงให้ดีที่สุด” อายากะพูดด้วยความนอบน้อม พร้อมกับค้อมหัวลงเล็กน้อย
“เรนะสึด้วยเจ้าค่ะ” ผู้เป็นน้องพูดอย่างเจือยแจ้ว เรียกรอยยิ้มจากคิสึเนะได้อีกครั้ง
“แล้ว……เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป?” นาการะเอ่ยปากถามคิสึเนะ
“ไม่รู้สิ ข้าก็อาจจะพำนักที่นี่ไปสัก……” นางพูดแต่แล้วก็ชะงักกลางคัน
“มีเหตุอันใดหรือ?” นาการะถาม “มันเคลื่อนไหวแล้ว อินุกิเคลื่อนไหวแล้ว” คิสึเนะพูด
“ตำแหน่งล่ะ?” ชายหนุ่มถาม “ข้าไม่ทราบ สัมผัสนั้นเบาบางเสียจนข้าระบุตำแหน่งของมันไม่ได้เลย แต่น่าจะกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปทางตอนเหนือ” นางสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่ก่อตัว ถึงแม้จะเบาบางก็ตามที
“ตอนเหนือ?” นาการะเอ่ย “ให้ข้าคาดเดา ข้าคาดว่าต่อไปที่ที่มันจะปรากฏตัว คือที่ตั้งของ ผนึกคาเมระ เพราะเป็นสถานที่ต่อไปที่ใกล้ที่นี่มากที่สุด” นาการะกล่าว
ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะมัวช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เพราะทุกวินาทีที่เสียไป คือ ความเสี่ยงที่ตระกูลทาวะระจะถูกโจมตีจนถึงขั้นล่มสลายเช่นเดียวกับตระกูลจิไรเสะ
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!” นาการะลุกขึ้นและกำลังจะจากไป
“ประเดี๋ยวก่อน!……” คิสึเนะรั้งแขนของชายหนุ่มเอาไว้
“มีเหตุอันใด?” นาการะเอ่ยถาม
“ข้าขอติดตามเจ้าไปด้วยได้หรือไม่? เพราะงานของข้าคือการควบคุมตัวอินุกิกลับไปยังหมู่บ้านจิ้งจอก เพื่อรับบทลงโทษ” นางกล่าว
ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเล สองจิตสองใจว่าจะให้นางติดตามไปด้วยดีหรือไม่
“ขอร้องล่ะ~” คิสึเนะอ้อนวอนพร้อมกอดแขนเขาเอาไว้แน่น
“……” เมื่อเจอลูกอ้อนของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงใจอ่อนยวบลง
“ย่อมได้” มันก็ไม่เสียหายอะไร เขาเพียงแต่จะไปนำผนึกภูติราชันย์กลับมาเพียงเท่านั้น ส่วนอินุกินั้นเชื่อว่าโทษทัณฑ์ที่รอมันที่หมู่บ้านจิ้งจอกก็น่าจะสาหัสพออยู่แล้ว
“ขอบคุณเจ้ามาก” คิสึเนะยิ้มแก้มปริ “อายากะ เรนะสึ กลับมานี่ เราจะออกเดินทางกัน!!” นางเรียกชิกิคามิทั้งสองให้กลับเป็นรูปแบบดังเดิม ก่อนที่นางจะรีบเดินตามนาการะออกไป
writer : เนื่องจากไรต์พึ่งจะกลับมารีไรต์นิยายใหม่ ทำให้ตอนจะอัพเดตช้ากว่าแอพอื่นไปเยอะ(มากกกก) ไรต์จะทยอยลงให้วันละตอนจนกว่าจะตามแอพอื่นทัน และจะเพิ่มเป็นสองตอนในทุกวันอังคารและศุกร์ แต่หากค้างคาอยากอ่านต่อ สามารถอ่านได้ที่แอพ Dek D หรือ readAwriteได้เลยจ้าาา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ