สายสืบสุดอึด
-
1) บทที่ 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความติ๊ดด!ๆๆๆๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอย่างซื่อสัตย์ตามหน้าที่ของมัน ปลุกภวังค์การสู่นิทรารมย์ของ โด่งระบือให้สะดุ้งตื่นขึ้น เขาเอื่อมมือขวาทั้งที่ดวงตาที่ยังหลับอยู่ ไปกดปุ่มเพื่อให้เสียงที่ดังอยู่ของเจ้าสิ่งบ่งบอกเวลาเรือนนั้น หยุดการส่งเสียง
“ตรงเวลาที่จังนะเอ็ง”
บ่นงึมงำขณะที่ใช้มือข้างที่กดปุ่มปิดการส่งเสียงของมัน พร้อมกับถือเจ้าสิ่งบอกเวลาขนาดเล็กอันนั้นไว้อีกที ใช้ตาขวาที่เผยอขึ้นข้างเดียวมองเวลาที่กำลังเดินอยู่บนหน้าปัดนั้นให้ชัดเจน
อ้าปากหาวหวอด วางเจ้านาฬิกาปลุกขนาดเล็ก แต่เสียงเวลาปลุกค่อนข้างดังเรือนนั้นไว้ที่เดิมพลางทำท่าจะหลับต่อไป
“ขออีกซักหน่อยก็แล้วกันวะ...ยังได้ที่อยู่เลย”
คิดในใจ แล้วก็จะทำท่าจะนอนต่อไปดังใจสั่ง แต่แล้วก็สะดุ้งพรวดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับโดนเข็มหมุดจิ้มเอวก็ไม่ปาน พร้อมกับบ่นว่าตัวเองไปด้วย
“ไม่ได้ซีวะ...ขืนนอนต่อไปเดี๋ยวก็ได้หลับยาวกันพอดี ตื่นสายแน่...”
ก่อนที่จะรีบขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอน ลงมายืนข้างเตียงพร้อมกับขยับคอไปมา สลัดแขนทั้งสองข้าง และขาทั้งสองข้างก็ทำการวิ่งอยู่กับที่ไปด้วย เพื่อเรียกสติที่กำลังงัวเงียให้ตื่นขึ้น
“ขืนนอนต่อ...ไปถึงที่จุดนัดหมายช้ากว่าน้าโอบกิจ...จะบ่นว่าแกไม่ถนัดปากเอาได้”
พอสรุปได้ดังนั้น ทั้งร่างกายและจิตใจของ โด่งระบือก็ตื่นขึ้นอย่างเต็มตาสามารถรับเรื่องราวของวันใหม่ได้อย่างเต็มที่แล้ว เขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พร้อมกับสลัดเสื้อกางเกงที่สวมใส่นอนมาทั้งคืนโยนลงตะกร้า ซึ่งเอาไว้สำหรับเตรียมซักและตั้งห่างออกไปพอสมควรด้วยความแม่นยำ ก่อนที่จะเดินแก้ผ้าโทงๆเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
พลางคิดอย่างครึ้มอกครึ้มไปด้วย
“ลองดูกันซิน้าโอบ...ว่าวันนี้น้าจะไปช้ากว่าผมกี่มากน้อย?”
* * *
ขณะที่โด่งระบือเพิ่งตื่นนอน แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งนับได้ประมาณเจ็ดคนยังไม่ได้แม้แต่จะงีบหลับซะด้วยซ้ำไป เนื่องจากพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นกำลังดวดสุรากันอย่างมันในอารมณ์และได้ที่ แต่ล่ะคนอยู่ในสภาพหน้าตาอิดโรย นัยน์ตาลึกโบ๋ดวงตาหรี่ปรือจะหลับมิหลับแหล่กันเสียให้ได้ บางคนคอพับคออ่อนเอียงไปเอียงมาจวนจะล้มอยู่ร่อมร่อส่งเสียงอ้อแอ้ในลำคอ
คำว่าคอแข็งนั้น ก่อนเริ่มดื่มเหล้ากัน ทุกคนในที่นี้ถือได้ว่าเป็นพวกอันดับต้นๆของเจ้าคำว่าคอทองแดงทั้งสิ้น ถ้าเกิดมีการนับจัดอันดับกัน แต่พอดื่มไปได้ที่แล้วดูเหมือนว่าคอที่แข็งที่สุดกับเป็นคอของขวดเหล้าที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลางและใต้โต๊ะ
“เป็นไงกันบ้างวะพวกมึง...ไหนคุยนักหนาว่าแดกเหล้ายังไงก็ไม่เคยรู้จักคำว่าเมา นี่เพิ่งผ่านไปแค่สิบสี่ขวดเท่านั้น ไหงถึงคออ่อนยังกะคอหำของกูซะแล้วล่ะ!”
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงบริเวณหัวโต๊ะของวงที่กำลังนั่งก๊งเหล้ากันอยู่นี้เอ่ยเสียงแซวขึ้นอย่างดูแคลนกับพรรคพวกที่นั่งเรียงกันอยู่รอบโต๊ะในลักษณะที่เรียกได้ว่าแทบจะหมดสภาพกันแล้ว ขณะที่ตัวเขาเองยกขวดที่มีน้ำแก่ดีกรี บรรจุอยู่ภายในนั้นอีกครึ่งขวดเทลงในแก้วตรงหน้าของตนเอง ลงไปครึ่งแก้วพลางคว้ากระติกน้ำแข็งเข้ามาใกล้ตัวเพื่อจะคีบน้ำแข็งใส่แก้วอีกที แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว พลางบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดใจ
“อะไรกันวะน้ำแข็งหมด!”
“จะดื่มต่ออีกเหรอพี่อ้วน?”
เจ้าคนที่นั่งเยื้องจากคนที่ถูกเรียกว่าพี่อ้วนไปทางขวามือของเขาเล็กน้อย ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงยานคางอ้อแอ้ “ผมว่าน่าจะพอกันซะที่นะนี่...ผมชักไม่ไหวแล้ว...”
พูดจบพร้อมกับทำท่าพะอืดพะอมเหมือนอยากจะสำรอกของเก่าออกมาซะให้ได้ แต่ก็คงเกิดอาการเสียดายเลยรีบกลืนเก็บไว้ดังเดิมซะก่อน
“อะไรกันวะ แค่นี้ก็ไม่ไหวกันแล้วเหล้าหมดไปแค่ไม่กี่กลมเอง?”
อ้วนตะคอกดูแคลนคนในวงที่ชวนเลิกด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“สิบสี่กลมแล้วนะพี่...พวกเรานั่งกันดื่มอยู่นี่เจ็ดคน...ก็เท่ากับคนละสองกลมโดยเฉลี่ยแล้วนะครับ ถือได้ว่ามากแล้วล่ะ” อีกคนซึ่งนั่งเยื้องไปทางซ้ายมือของอ้วนพูดท้วงติงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความเมาได้ที่แล้วอย่างชัดเจนเช่นกัน
“พวกมึงมันคอแป๊บนี่หว่า ไอ้ห่า...แป๊บเดียวจอด...ถุยย ไอ้ระยำแมนเอ้ย คอทองแดงกันทั้งน้าน!” อ้วนยังคงปล่อยคำพูดทำนองดูแคลนเหยียดหยามคนในวงเหล้าที่ดื่มร่วมกันอยู่นี้อย่างต่อเนื่อง
“พ่ออ้วนอยากได้น้ำแข็งเหรอ?”
“ก็เออสิวะ...จะเอามาใส่เหล้าแดกนี่แหละ แดกเหล้าเพรียวๆไม่มันเว้ย”
“งั้นเดี๋ยวผมไปหามาให้”
“ดี...มึงนี่มันรู้ใจกูมากที่สุดเลยจริงๆว่ะไอ้ผ่าเผย...แล้วเป็นไงเมาเหมือนกับไอ้พวกระยำแมนเนี่ยมันมั่งรึเปล่าวะ?”
“ก็ตุ่ยๆเหมือนกันล่ะครับพ่ออ้วน”
ผ่าเผยแม้จะตาปรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เหมือนเช่นคนอื่นในวงเหล้านี้ แต่ก็สามารถพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆโต้ตอบคนที่เขาเรียกพ่อได้อย่างสบาย
“มึงเยี่ยมมาก...งั้นรีบไปหาน้ำแข็งมาผสมเหล้าให้พ่อบุญธรรมของมึงคนนี้โดยด่วน”
“รอซักครู่ครับพ่ออ้วน”
รับคำสั่งแล้วผ่าเผยก็รีบย้ายเรือนร่างที่สูงใหญ่ของเขาไปจัดการให้ทันที
“ไอ้ผ่าเผยปรกตินี่มันไม่ค่อยจะลงใครง่ายๆเลยนะ...แต่กับพี่อ้วนนี่มันยอมรับใช้ทุกอย่างไม่ว่าพี่อ้วนจะว่าอะไรมันไม่เคยขัดคำสั่งแม้แต่ครั้งเดียว”
ใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับอ้วนเอ่ยขึ้นมาลอยๆหลังจากที่ผ่าเผยได้เดินออกไปจากวงแล้ว
“ใช่ ก็รู้ๆกันอยู่ไอ้ระห่ำผ่าเผยมันประเภทพวกไม่ยอมใครง่ายๆ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ยอมน้าอ้วนอย่างง่ายๆจริงๆ ทีกับคนอื่นเห็นคอยจะงั้มอยู่เรื่อย...”
อีกคนเสริมคำพูดของคนแรก
“ก็กูเป็นพ่อมันนี่หว่า”
“แต่ก็ไม่ใช่พ่อจริงๆไม่ใช่เหรอ?”
เสียงท้วงจากคนเสริม
“ถึงจะไม่ใช่พ่อของมันจริงๆ แต่กูก็ได้ช่วยเหลือชีวิตมันไว้และเลี้ยงดูมันมาตลอด...ถ้าไม่มีกูป่านนี้มันก็ตายห่าเหมือนพ่อแม่จริงๆของมันตั้งนานแล้วล่ะ”
อธิบายความให้คนท้วงฟัง
จังหวะนั่นเองผ่าเผยก็เดินกลับมาพอดี
“อ้าวเป็นไงไอ้เผย...ได้น้ำแข็งมาแล้วใช่ไม๊?”
แม้จะเห็นว่าคนที่เรียกตนเองว่าพ่อถือถุงน้ำแข็งตอนเดินเข้ามาด้วยแล้วก็ตาม แต่อ้วนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มยิงฟันตั้งคำถามเอาอีก
“ครับพ่ออ้วน”
คนถูกถามตอบเรียบๆ
“เยี่ยม งั้นเอาใส่กระติกนี่เลย...แล้วเอามาใส่แก้วเหล้าให้กูสองสามก้อน”
“ครับ”
“พี่อ้วน...ฉันว่าพวกเรานั่งๆนอนๆแล้วก็กินของเก่ากันชักจะนานแล้วนะ!”
คนในวงเหล้าอีกคนว่าเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาบ้าง
“แล้วไงวะ?”
อ้วนเลิกคิ้วสงสัย ขณะที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจ่อริมฝีปากที่เต็มไปด้วยหนวดที่ขึ้นดกงามดีเหลือเกิน
“มันก็จะหมดตูดกันแล้วล่ะสิ...พูดง่ายๆไม่มีจะกินกันแล้ว”
คนที่กระทู้เรื่องนี้ขึ้นมา แจงข้อสงสัยให้ฟัง
“ไม่มีก็หาเข้าซีวะ”
อ้วนว่าง่ายๆ
“แล้วจะหายัง...”
อ้วนวางแก้วเหล้าแล้วยกมือ
“ไม่ต้องถามเลยว่าจะหายังไง...พวกมึงก็รู้กันอยู่ คนหยั่งพวกเรามันจะไปหากินอะไรกันได้...ถ้าไม่ปล้นเขาแดก”
“แล้วจะลงมือเมื่อไหร่ที่ไหนดีล่ะพี่อ้วน?”
พอรู้จะได้ทำงานตามที่ตนถนัดเจ้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาก็รีบถามเร็วปรื๋ว
“เมื่อไหร่แล้วกูจะบอกพวกมึงอีกที”
อ้วนว่าอย่างอมภูมิ
“น่าจะบอกเกริ่นกันไว้มั่งว่า ที่ไหน เมื่อไหร ยังไง?”
เสียงบ่นเล็กๆยังคงออกมาจากปากของเจ้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“ถ้าพวกมึงยังให้ความเชื่อถือไว้ใจกูแล้วล่ะก็ คงต้องรอได้...เพราะกูจะต้องบอกพวกมึงอย่างแน่นอน เพื่อพาพวกมึงไปหารายได้ไงล่ะวะ...แต่ตอนนี้กูอยากกินเหล้าอย่างเดียวว่ะ...เอ้าร่วมกันดื่มต่อหน่อยโว้ย”
ยกแก้วแล้วร้องเชิญชวนต่อคนรอบข้าง
แต่ทว่ามีแต่การส่ายหน้าตอบรับอย่างเดียว พร้อมเอ่ยเสียงคร่ำครวญราวกับนัดกันไว้
“ไม่ไหวพี่อ้วน...พวกผมหมดสภาพกันแล้ว!”
“อะไรกันวะ” อ้วนบ่น “แค่นี้บอกไม่ไหวแล้ว...ไอ้พวกบักคอแป๊บเอ้ย...แป๊บเดียวเมา”
ว่าจบหนุ่มใหญ่ผู้มีอายุอาวุโสมากกว่าทุกคนในวง ก็หัวเราะลงลูกคอชอบใจ
“มันไม่ไหวจริงๆพี่อ้วน...อ๊อกก...” พูดแล้วก็ทำท่าจะขยอกของเก่าออกจากลำคออีก แต่ก็รีบกลืนเก็บไว้เหมือนเดิม
อ้วนโบกมือไล่พร้อมกับสำทับ
“ไปๆ ไม่ไหวก็ไปนอนกันให้หมดเลย...น่ารำคาญฉิบหายไอ้พวกปวกเปียก!”
ก่อนที่จะหันมาทางผ่าเผยซึ่งนั่งเงียบๆอยู่คนเดียวไม่มีปากเสียงเหมือนเช่นคนอื่น
“ไอ้เผย มึงพอนั่งดื่มเป็นเพื่อนกูต่อได้มั้ย?”
“ได้ครับพ่ออ้วน”
“เอ็งนี่มันเชื่องกับน้าอ้วนแกจริงๆเลยนะไอ้เผย!”
คนหนึ่งในกลุ่มที่คงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผ่าเผย เอ่ยแซวขึ้นมาลอยๆ
“น้าแกจะให้ทำอะไร เอ็งก็ทำให้แกทุกอย่าง...ว่านอนสอนง่ายดีนี่หว่า!”
ผ่าเผยไม่โต้ตอบด้วยคำพูด เพียงแค่ใช้สายตาจ้องมองคนแซวเท่านั้น ขณะที่อ้วนกับส่งเสียงเอ็ดแทน พลางขู่ส่งท้าย
“มันจะมากไปเว้ยไอ้บึน...จะแซวอะไรก็ให้มันรักษาน้ำใจกันบ้าง...เดี๋ยวกูก็ให้ไอ้เผยมันแซวมึงกลับเอาบ้างหรอกวะ จะเอามั้ยไอ้บักห่า!”
“ไม่ดีกว่าครับน้าอ้วน”
ยิ้มแหะๆรีบปฏิเสธ พลางหันไปชำเรืองมองคนที่ตนเองแซวแล้วพูดออดอ้อน
“ข้าล้อเล่นนะไอ้เผย...อย่าเคืองกันนะเว้ย!”
ที่ต้องรีบพูดเอาใจอย่างนี้ ก็เนื่องจากรู้ว่าผ่าเผยจะโต้ตอบตนเองอย่างไรถ้าได้รับอนุญาตให้แซวกลับเอาบ้าง ที่สำคัญได้รู้รสชาดมือตีนของอีกฝ่ายมามากพอควรแล้วนั่นเอง
“เอาล่ะไปนอนเองได้แล้วมึง...อย่าให้ต้องนอนหลับเพราะไอ้เผยมันเลย เดี๋ยวจะต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับการหยอดน้ำข้าวต้มซะเปล่าๆ!”
อ้วนขู่แล้วโบกมือไล่
“ได้น้าอ้วน ไปตอนนี้แล้ว”
รนรานรับคำพร้อมกับขยับตัวลุกพรวดพราดไปจากเก้าอี้ที่นั่งอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนเครงของคนอื่นๆ ที่ต่างก็ลุกไปจากวงดวดเหล้านี้
ห้าคนที่นั่งดื่มด้วยกันในทีแรกตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนกระทั่งเช้านี้ ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเหลือเพียงชายวัยกลางคนเจ้าของชื่ออ้วนกับคนที่เรียกเขาว่าพ่อทุกคำ กำลังนั่งดื่มต่อเงียบๆกันอยู่สองคนเท่านั้นเอง...
* * *
เสียงตะโกนโหวกเหวกฟังกันแทบไม่ได้ความหมายของเหล่าเยาวชนน้อยๆอายุยังไม่เต็ม 12 ขวบกันดี ภายในห้องชุดของคอนโดขนาดปานกลางยูนิคนั้น ราวนกกระจอกที่กำลังแตกรัง จากการที่ต้องเร่งรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเนื้อตัวให้เป็นชุดนักเรียนแข่งกับเวลาที่กำลังไล่หลังมาชนิดหางจุกตูดอยู่นี้
“เร็วๆไวๆกันด้วยเว้ย...อย่ามัวอ้อยสร้อยเป็นพวกนางรำกันอยู่นักเลยวะ พวกเอ็ง!”
หนุ่มใหญ่วัย 50 ปีเจ้าของชื่อโอบกิจ ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดของเด็กทั้งห้าคนร้องเตือนลูกๆเสียงระรัว ขณะที่ตัวเขาเองก็รีบจะทำการสวมใส่เสื้อผ้าอย่างขมีขมันเช่นกัน
“ป๊ะป๋าโหงวใฉ่เฉื้อไม่ได้ง่ะ...”
เจ้าลูกชายคนเล็กวัยห้าขวบของเขาทำปากเบี้ยวร้องกวนเสียงเจื้อยแจ้ว
“เฮ้ยเจ้าเจ้ก...เอ็งช่วยน้องมันใส่เสื้อหน่อยซีวะ ไอ้ห่ะให้น้องมันร้องกวนอยู่ได้”
โอบกิจซึ่งกำลังผลัดกางเกงจากผ้าคะม้าที่นุ่งอยู่ ร้องสั่งลูกชายคนโตเสียงขรม
“ก็ป๊ะป๋าเคยสอนฉันไม่ใช่หรือว่าให้พยายามทำอะไรด้วยตัวเองก่อน...ช่วยเหลือตัวเองก่อนแล้วสิ่งศักดิ์สิทธ์จะช่วยเจ้า”
ลูกชายคนโตซึ่งกำลังมีอายุได้สิบเอ็ดขวบครึ่ง ยืนกอดอกต่อปากต่อคำกับผู้ให้กำเนิดแบบไม่สะทก
“เออน่า...”
(หมายเหตุ : รีดฯท่านใดที่ติดตามอ่านงานของไรท์ฯอยู่ ต้องการมีข้อตำหนิติเตียนหรือเสนอแนะอย่างไร หรือเพียงแค่จะทักทายเฉยๆก็แชทมาได้เลยครับที่กลุ่มนิยายพวงพลอยในเฟสฯ หรือจะเข้ามาร่วมกลุ่มกันก็ได้นะครับ ไรท์อยากทราบผลตอบรับการเขียนงานให้ท่านอ่านกันว่าเป็นอย่างไรถูกใจหรือไม่ประการใด ทักเข้ามานะ...)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ