สายสืบสุดอึด

-

เขียนโดย Vorapoch

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.42 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,581 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

                ติ๊ดด!ๆๆๆๆๆๆ

                เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอย่างซื่อสัตย์ตามหน้าที่ของมัน  ปลุกภวังค์การสู่นิทรารมย์ของ   โด่งระบือให้สะดุ้งตื่นขึ้น  เขาเอื่อมมือขวาทั้งที่ดวงตาที่ยังหลับอยู่  ไปกดปุ่มเพื่อให้เสียงที่ดังอยู่ของเจ้าสิ่งบ่งบอกเวลาเรือนนั้น  หยุดการส่งเสียง

                “ตรงเวลาที่จังนะเอ็ง”

                บ่นงึมงำขณะที่ใช้มือข้างที่กดปุ่มปิดการส่งเสียงของมัน  พร้อมกับถือเจ้าสิ่งบอกเวลาขนาดเล็กอันนั้นไว้อีกที  ใช้ตาขวาที่เผยอขึ้นข้างเดียวมองเวลาที่กำลังเดินอยู่บนหน้าปัดนั้นให้ชัดเจน

                อ้าปากหาวหวอด  วางเจ้านาฬิกาปลุกขนาดเล็ก  แต่เสียงเวลาปลุกค่อนข้างดังเรือนนั้นไว้ที่เดิมพลางทำท่าจะหลับต่อไป

                “ขออีกซักหน่อยก็แล้วกันวะ...ยังได้ที่อยู่เลย”

                คิดในใจ  แล้วก็จะทำท่าจะนอนต่อไปดังใจสั่ง  แต่แล้วก็สะดุ้งพรวดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับโดนเข็มหมุดจิ้มเอวก็ไม่ปาน  พร้อมกับบ่นว่าตัวเองไปด้วย

                “ไม่ได้ซีวะ...ขืนนอนต่อไปเดี๋ยวก็ได้หลับยาวกันพอดี  ตื่นสายแน่...”

                ก่อนที่จะรีบขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอน  ลงมายืนข้างเตียงพร้อมกับขยับคอไปมา  สลัดแขนทั้งสองข้าง  และขาทั้งสองข้างก็ทำการวิ่งอยู่กับที่ไปด้วย  เพื่อเรียกสติที่กำลังงัวเงียให้ตื่นขึ้น

                “ขืนนอนต่อ...ไปถึงที่จุดนัดหมายช้ากว่าน้าโอบกิจ...จะบ่นว่าแกไม่ถนัดปากเอาได้”

                พอสรุปได้ดังนั้น  ทั้งร่างกายและจิตใจของ  โด่งระบือก็ตื่นขึ้นอย่างเต็มตาสามารถรับเรื่องราวของวันใหม่ได้อย่างเต็มที่แล้ว  เขารีบคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พร้อมกับสลัดเสื้อกางเกงที่สวมใส่นอนมาทั้งคืนโยนลงตะกร้า  ซึ่งเอาไว้สำหรับเตรียมซักและตั้งห่างออกไปพอสมควรด้วยความแม่นยำ  ก่อนที่จะเดินแก้ผ้าโทงๆเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย

                พลางคิดอย่างครึ้มอกครึ้มไปด้วย

“ลองดูกันซิน้าโอบ...ว่าวันนี้น้าจะไปช้ากว่าผมกี่มากน้อย?”

                                                                                *              *              *

                ขณะที่โด่งระบือเพิ่งตื่นนอน  แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งนับได้ประมาณเจ็ดคนยังไม่ได้แม้แต่จะงีบหลับซะด้วยซ้ำไป  เนื่องจากพวกเขาทั้งหลายเหล่านั้นกำลังดวดสุรากันอย่างมันในอารมณ์และได้ที่  แต่ล่ะคนอยู่ในสภาพหน้าตาอิดโรย  นัยน์ตาลึกโบ๋ดวงตาหรี่ปรือจะหลับมิหลับแหล่กันเสียให้ได้  บางคนคอพับคออ่อนเอียงไปเอียงมาจวนจะล้มอยู่ร่อมร่อส่งเสียงอ้อแอ้ในลำคอ

                คำว่าคอแข็งนั้น  ก่อนเริ่มดื่มเหล้ากัน  ทุกคนในที่นี้ถือได้ว่าเป็นพวกอันดับต้นๆของเจ้าคำว่าคอทองแดงทั้งสิ้น  ถ้าเกิดมีการนับจัดอันดับกัน  แต่พอดื่มไปได้ที่แล้วดูเหมือนว่าคอที่แข็งที่สุดกับเป็นคอของขวดเหล้าที่ตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลางและใต้โต๊ะ

                “เป็นไงกันบ้างวะพวกมึง...ไหนคุยนักหนาว่าแดกเหล้ายังไงก็ไม่เคยรู้จักคำว่าเมา  นี่เพิ่งผ่านไปแค่สิบสี่ขวดเท่านั้น  ไหงถึงคออ่อนยังกะคอหำของกูซะแล้วล่ะ!”

                ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงบริเวณหัวโต๊ะของวงที่กำลังนั่งก๊งเหล้ากันอยู่นี้เอ่ยเสียงแซวขึ้นอย่างดูแคลนกับพรรคพวกที่นั่งเรียงกันอยู่รอบโต๊ะในลักษณะที่เรียกได้ว่าแทบจะหมดสภาพกันแล้ว  ขณะที่ตัวเขาเองยกขวดที่มีน้ำแก่ดีกรี  บรรจุอยู่ภายในนั้นอีกครึ่งขวดเทลงในแก้วตรงหน้าของตนเอง  ลงไปครึ่งแก้วพลางคว้ากระติกน้ำแข็งเข้ามาใกล้ตัวเพื่อจะคีบน้ำแข็งใส่แก้วอีกที  แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว  พลางบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดใจ

                “อะไรกันวะน้ำแข็งหมด!”

                “จะดื่มต่ออีกเหรอพี่อ้วน?”

เจ้าคนที่นั่งเยื้องจากคนที่ถูกเรียกว่าพี่อ้วนไปทางขวามือของเขาเล็กน้อย  ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงยานคางอ้อแอ้ “ผมว่าน่าจะพอกันซะที่นะนี่...ผมชักไม่ไหวแล้ว...”

พูดจบพร้อมกับทำท่าพะอืดพะอมเหมือนอยากจะสำรอกของเก่าออกมาซะให้ได้  แต่ก็คงเกิดอาการเสียดายเลยรีบกลืนเก็บไว้ดังเดิมซะก่อน

                “อะไรกันวะ  แค่นี้ก็ไม่ไหวกันแล้วเหล้าหมดไปแค่ไม่กี่กลมเอง?”

อ้วนตะคอกดูแคลนคนในวงที่ชวนเลิกด้วยอารมณ์หงุดหงิด

                “สิบสี่กลมแล้วนะพี่...พวกเรานั่งกันดื่มอยู่นี่เจ็ดคน...ก็เท่ากับคนละสองกลมโดยเฉลี่ยแล้วนะครับ  ถือได้ว่ามากแล้วล่ะ” อีกคนซึ่งนั่งเยื้องไปทางซ้ายมือของอ้วนพูดท้วงติงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความเมาได้ที่แล้วอย่างชัดเจนเช่นกัน

                “พวกมึงมันคอแป๊บนี่หว่า  ไอ้ห่า...แป๊บเดียวจอด...ถุยย  ไอ้ระยำแมนเอ้ย  คอทองแดงกันทั้งน้าน!” อ้วนยังคงปล่อยคำพูดทำนองดูแคลนเหยียดหยามคนในวงเหล้าที่ดื่มร่วมกันอยู่นี้อย่างต่อเนื่อง

                “พ่ออ้วนอยากได้น้ำแข็งเหรอ?”

                “ก็เออสิวะ...จะเอามาใส่เหล้าแดกนี่แหละ  แดกเหล้าเพรียวๆไม่มันเว้ย”

                “งั้นเดี๋ยวผมไปหามาให้”

                “ดี...มึงนี่มันรู้ใจกูมากที่สุดเลยจริงๆว่ะไอ้ผ่าเผย...แล้วเป็นไงเมาเหมือนกับไอ้พวกระยำแมนเนี่ยมันมั่งรึเปล่าวะ?”

                “ก็ตุ่ยๆเหมือนกันล่ะครับพ่ออ้วน”

ผ่าเผยแม้จะตาปรือจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เหมือนเช่นคนอื่นในวงเหล้านี้  แต่ก็สามารถพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆโต้ตอบคนที่เขาเรียกพ่อได้อย่างสบาย

                “มึงเยี่ยมมาก...งั้นรีบไปหาน้ำแข็งมาผสมเหล้าให้พ่อบุญธรรมของมึงคนนี้โดยด่วน”

                “รอซักครู่ครับพ่ออ้วน”

                รับคำสั่งแล้วผ่าเผยก็รีบย้ายเรือนร่างที่สูงใหญ่ของเขาไปจัดการให้ทันที

                “ไอ้ผ่าเผยปรกตินี่มันไม่ค่อยจะลงใครง่ายๆเลยนะ...แต่กับพี่อ้วนนี่มันยอมรับใช้ทุกอย่างไม่ว่าพี่อ้วนจะว่าอะไรมันไม่เคยขัดคำสั่งแม้แต่ครั้งเดียว”

ใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับอ้วนเอ่ยขึ้นมาลอยๆหลังจากที่ผ่าเผยได้เดินออกไปจากวงแล้ว

                “ใช่  ก็รู้ๆกันอยู่ไอ้ระห่ำผ่าเผยมันประเภทพวกไม่ยอมใครง่ายๆ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงได้ยอมน้าอ้วนอย่างง่ายๆจริงๆ  ทีกับคนอื่นเห็นคอยจะงั้มอยู่เรื่อย...”

อีกคนเสริมคำพูดของคนแรก

                “ก็กูเป็นพ่อมันนี่หว่า”

                “แต่ก็ไม่ใช่พ่อจริงๆไม่ใช่เหรอ?”

เสียงท้วงจากคนเสริม

                “ถึงจะไม่ใช่พ่อของมันจริงๆ  แต่กูก็ได้ช่วยเหลือชีวิตมันไว้และเลี้ยงดูมันมาตลอด...ถ้าไม่มีกูป่านนี้มันก็ตายห่าเหมือนพ่อแม่จริงๆของมันตั้งนานแล้วล่ะ”

อธิบายความให้คนท้วงฟัง

                จังหวะนั่นเองผ่าเผยก็เดินกลับมาพอดี

                “อ้าวเป็นไงไอ้เผย...ได้น้ำแข็งมาแล้วใช่ไม๊?”

แม้จะเห็นว่าคนที่เรียกตนเองว่าพ่อถือถุงน้ำแข็งตอนเดินเข้ามาด้วยแล้วก็ตาม  แต่อ้วนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มยิงฟันตั้งคำถามเอาอีก

                “ครับพ่ออ้วน”

คนถูกถามตอบเรียบๆ

                “เยี่ยม  งั้นเอาใส่กระติกนี่เลย...แล้วเอามาใส่แก้วเหล้าให้กูสองสามก้อน”

                “ครับ”

                “พี่อ้วน...ฉันว่าพวกเรานั่งๆนอนๆแล้วก็กินของเก่ากันชักจะนานแล้วนะ!”

คนในวงเหล้าอีกคนว่าเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาบ้าง

                “แล้วไงวะ?”

อ้วนเลิกคิ้วสงสัย  ขณะที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นจ่อริมฝีปากที่เต็มไปด้วยหนวดที่ขึ้นดกงามดีเหลือเกิน

                “มันก็จะหมดตูดกันแล้วล่ะสิ...พูดง่ายๆไม่มีจะกินกันแล้ว”

คนที่กระทู้เรื่องนี้ขึ้นมา  แจงข้อสงสัยให้ฟัง

                “ไม่มีก็หาเข้าซีวะ”

อ้วนว่าง่ายๆ

                “แล้วจะหายัง...”

                อ้วนวางแก้วเหล้าแล้วยกมือ

“ไม่ต้องถามเลยว่าจะหายังไง...พวกมึงก็รู้กันอยู่  คนหยั่งพวกเรามันจะไปหากินอะไรกันได้...ถ้าไม่ปล้นเขาแดก”

                “แล้วจะลงมือเมื่อไหร่ที่ไหนดีล่ะพี่อ้วน?”

                พอรู้จะได้ทำงานตามที่ตนถนัดเจ้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาก็รีบถามเร็วปรื๋ว

                “เมื่อไหร่แล้วกูจะบอกพวกมึงอีกที”

อ้วนว่าอย่างอมภูมิ

                “น่าจะบอกเกริ่นกันไว้มั่งว่า  ที่ไหน  เมื่อไหร  ยังไง?”

เสียงบ่นเล็กๆยังคงออกมาจากปากของเจ้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก

                “ถ้าพวกมึงยังให้ความเชื่อถือไว้ใจกูแล้วล่ะก็  คงต้องรอได้...เพราะกูจะต้องบอกพวกมึงอย่างแน่นอน  เพื่อพาพวกมึงไปหารายได้ไงล่ะวะ...แต่ตอนนี้กูอยากกินเหล้าอย่างเดียวว่ะ...เอ้าร่วมกันดื่มต่อหน่อยโว้ย”

ยกแก้วแล้วร้องเชิญชวนต่อคนรอบข้าง

                แต่ทว่ามีแต่การส่ายหน้าตอบรับอย่างเดียว  พร้อมเอ่ยเสียงคร่ำครวญราวกับนัดกันไว้

                “ไม่ไหวพี่อ้วน...พวกผมหมดสภาพกันแล้ว!”

                “อะไรกันวะ” อ้วนบ่น “แค่นี้บอกไม่ไหวแล้ว...ไอ้พวกบักคอแป๊บเอ้ย...แป๊บเดียวเมา”

ว่าจบหนุ่มใหญ่ผู้มีอายุอาวุโสมากกว่าทุกคนในวง  ก็หัวเราะลงลูกคอชอบใจ

                “มันไม่ไหวจริงๆพี่อ้วน...อ๊อกก...” พูดแล้วก็ทำท่าจะขยอกของเก่าออกจากลำคออีก  แต่ก็รีบกลืนเก็บไว้เหมือนเดิม

                อ้วนโบกมือไล่พร้อมกับสำทับ

“ไปๆ  ไม่ไหวก็ไปนอนกันให้หมดเลย...น่ารำคาญฉิบหายไอ้พวกปวกเปียก!”

ก่อนที่จะหันมาทางผ่าเผยซึ่งนั่งเงียบๆอยู่คนเดียวไม่มีปากเสียงเหมือนเช่นคนอื่น

“ไอ้เผย  มึงพอนั่งดื่มเป็นเพื่อนกูต่อได้มั้ย?”

                “ได้ครับพ่ออ้วน”

                “เอ็งนี่มันเชื่องกับน้าอ้วนแกจริงๆเลยนะไอ้เผย!”

คนหนึ่งในกลุ่มที่คงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผ่าเผย  เอ่ยแซวขึ้นมาลอยๆ

“น้าแกจะให้ทำอะไร  เอ็งก็ทำให้แกทุกอย่าง...ว่านอนสอนง่ายดีนี่หว่า!”

                ผ่าเผยไม่โต้ตอบด้วยคำพูด  เพียงแค่ใช้สายตาจ้องมองคนแซวเท่านั้น  ขณะที่อ้วนกับส่งเสียงเอ็ดแทน  พลางขู่ส่งท้าย

                “มันจะมากไปเว้ยไอ้บึน...จะแซวอะไรก็ให้มันรักษาน้ำใจกันบ้าง...เดี๋ยวกูก็ให้ไอ้เผยมันแซวมึงกลับเอาบ้างหรอกวะ  จะเอามั้ยไอ้บักห่า!”

                “ไม่ดีกว่าครับน้าอ้วน”

ยิ้มแหะๆรีบปฏิเสธ  พลางหันไปชำเรืองมองคนที่ตนเองแซวแล้วพูดออดอ้อน

“ข้าล้อเล่นนะไอ้เผย...อย่าเคืองกันนะเว้ย!”

ที่ต้องรีบพูดเอาใจอย่างนี้  ก็เนื่องจากรู้ว่าผ่าเผยจะโต้ตอบตนเองอย่างไรถ้าได้รับอนุญาตให้แซวกลับเอาบ้าง  ที่สำคัญได้รู้รสชาดมือตีนของอีกฝ่ายมามากพอควรแล้วนั่นเอง

                “เอาล่ะไปนอนเองได้แล้วมึง...อย่าให้ต้องนอนหลับเพราะไอ้เผยมันเลย  เดี๋ยวจะต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับการหยอดน้ำข้าวต้มซะเปล่าๆ!”

อ้วนขู่แล้วโบกมือไล่

                “ได้น้าอ้วน  ไปตอนนี้แล้ว”

                รนรานรับคำพร้อมกับขยับตัวลุกพรวดพราดไปจากเก้าอี้ที่นั่งอย่างรวดเร็ว  ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนเครงของคนอื่นๆ  ที่ต่างก็ลุกไปจากวงดวดเหล้านี้

                ห้าคนที่นั่งดื่มด้วยกันในทีแรกตั้งแต่เมื่อเย็นวานจนกระทั่งเช้านี้  ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเหลือเพียงชายวัยกลางคนเจ้าของชื่ออ้วนกับคนที่เรียกเขาว่าพ่อทุกคำ  กำลังนั่งดื่มต่อเงียบๆกันอยู่สองคนเท่านั้นเอง...

                                                                                *              *              *

                เสียงตะโกนโหวกเหวกฟังกันแทบไม่ได้ความหมายของเหล่าเยาวชนน้อยๆอายุยังไม่เต็ม 12 ขวบกันดี  ภายในห้องชุดของคอนโดขนาดปานกลางยูนิคนั้น  ราวนกกระจอกที่กำลังแตกรัง  จากการที่ต้องเร่งรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเนื้อตัวให้เป็นชุดนักเรียนแข่งกับเวลาที่กำลังไล่หลังมาชนิดหางจุกตูดอยู่นี้

                “เร็วๆไวๆกันด้วยเว้ย...อย่ามัวอ้อยสร้อยเป็นพวกนางรำกันอยู่นักเลยวะ  พวกเอ็ง!”

                หนุ่มใหญ่วัย 50 ปีเจ้าของชื่อโอบกิจ  ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดของเด็กทั้งห้าคนร้องเตือนลูกๆเสียงระรัว  ขณะที่ตัวเขาเองก็รีบจะทำการสวมใส่เสื้อผ้าอย่างขมีขมันเช่นกัน

                “ป๊ะป๋าโหงวใฉ่เฉื้อไม่ได้ง่ะ...”

เจ้าลูกชายคนเล็กวัยห้าขวบของเขาทำปากเบี้ยวร้องกวนเสียงเจื้อยแจ้ว

                “เฮ้ยเจ้าเจ้ก...เอ็งช่วยน้องมันใส่เสื้อหน่อยซีวะ  ไอ้ห่ะให้น้องมันร้องกวนอยู่ได้”

โอบกิจซึ่งกำลังผลัดกางเกงจากผ้าคะม้าที่นุ่งอยู่  ร้องสั่งลูกชายคนโตเสียงขรม

                “ก็ป๊ะป๋าเคยสอนฉันไม่ใช่หรือว่าให้พยายามทำอะไรด้วยตัวเองก่อน...ช่วยเหลือตัวเองก่อนแล้วสิ่งศักดิ์สิทธ์จะช่วยเจ้า”

ลูกชายคนโตซึ่งกำลังมีอายุได้สิบเอ็ดขวบครึ่ง  ยืนกอดอกต่อปากต่อคำกับผู้ให้กำเนิดแบบไม่สะทก 

                “เออน่า...”

 

(หมายเหตุ : รีดฯท่านใดที่ติดตามอ่านงานของไรท์ฯอยู่  ต้องการมีข้อตำหนิติเตียนหรือเสนอแนะอย่างไร  หรือเพียงแค่จะทักทายเฉยๆก็แชทมาได้เลยครับที่กลุ่มนิยายพวงพลอยในเฟสฯ  หรือจะเข้ามาร่วมกลุ่มกันก็ได้นะครับ  ไรท์อยากทราบผลตอบรับการเขียนงานให้ท่านอ่านกันว่าเป็นอย่างไรถูกใจหรือไม่ประการใด  ทักเข้ามานะ...)

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา