The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) ลาจาก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเครดิตภาพจาก https://www.pexels.com
……………………….
“ อย่าไปนะ ” มาวินสะดุ้งเฮือกและทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าร่างกายหนักราวกับตะกั่ว เมื่อมองไปที่หน้าอก ก็พบมือบางทาบทับอยู่ โสตประสาทแว่วเสียงห้าวของหญิงสาว กระแสนั้นดังมาจากด้านบน
“ อยู่เฉย เจ้าลิงหัวเขียว ชั้นกำลังจะรักษานายอยู่ ”
เด็กหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบว่าคนที่พูดอยู่คือเด็กสาวร่างสูง ผู้มีใบหน้าละม้ายคล้าย "จัน"
“ เฮ้อ.....นี่ชั้นฝันอีกแล้ว ใช่มั้ย ” เด็กหนุ่มทอดถอนใจ เขารู้สึกผิดหวัง เหตุการณ์เมื่อครู่คงเป็นแค่ความฝัน
“ และคงเป็นฝันร้าย เพราะเมื่อกี้นายละเมอเสียงดัง ” เด็กสาวร่างสูงกล่าวเสริม
“ อืม....คงใช่มั้ง ว่าแต่ที่นี่คือที่ไหน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ” เด็กหนุ่มเอามือก่ายหน้าผาก
“ ที่นี่คือลานกว้างใกล้น้ำตกที่เราใช้ฝึกวิชา ตรงถ้ำที่เคยอยู่ มันเกลื่อนไปด้วยซากของพวกกาสเซ่ ชั้นเลยย้ายนายมาที่นี่ ” เด็กสาวตอบเรียบๆ
" เออ ใช่แล้ว พวกเรากำลังสู้กับแก๊งเจ้ากอริลลาอยู่นี่นา แล้วพวกโจรที่เหลือล่ะ " เด็กหนุ่มร้องถาม น้ำเสียงดูร้อนรน
" ไม่ต้องห่วง ชั้นจัดการหมดแล้ว " เด็กสาวตอบสั้นๆ
“ อ้อ..... อย่างนี้นี่เอง ” เมื่อรับทราบเหตุการณ์ มาวินก็รู้สึกโล่งอก ความเย็นจากละอองน้ำและความชุ่มชื่นของป่าเขียวขจี ประกอบกับเสียงนกร้อง ทำให้บรรยากาศสงบร่มเย็นจนชวนให้หลับไปซะเดี๋ยวนั้น
เวลาต่อมา มาวินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเริ่มสำรวจตัวเอง เด็กหนุ่มพบว่าทุกบาดแผลบนร่างกายถูกพันด้วยผ้าขาวสะอาด แขนซ้ายถูกดามด้วยไม้ท่อนเขื่อง แต่จุดสำคัญที่ทำให้รู้สึกเขินอาย ก็คือ.....เขากำลังนอนหงายสิ้นท่า มีตักนุ่มๆของเด็กสาวรองหัวให้หนุนแทนหมอน
“ ตายล่ะ เหมือนในฝันเปี๊ยบเลย หรือนี่คือฝันซ้อนฝัน ” เด็กหนุ่มคิดในใจ
“ นายสลบไปวันหนึ่งเต็มๆ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าของอีกวัน เป็นยังไงบ้าง ” เด็กสาวเอ่ยถามเรียบๆ น้ำเสียงโทนเดียวแบบนี้ ทำให้คาดเดาได้ยากว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไร
“ เจ็บระบมไปทั้งตัว แถมไม่มีเรี่ยวแรง ” เด็กหนุ่มตอบเขินๆ พลางคิดในใจว่า
" งวดนี้ยัยนี่ไม่ยักกะอ่านใจ คงไม่ใช่ความฝันแล้วล่ะมั้ง "
“ นั่นเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก แถมยังมีอาการบอบช้ำภายใน อยู่เฉยๆ ชั้นจะรักษานายเอง ” เด็กสาวพูดต่ออย่างเป็นงานเป็นการ ก่อนกดน้ำหนักลงไปที่มือขวาซึ่งทาบทับอยู่บนหน้าอกของเด็กหนุ่ม
“ อ่อ…ได้ ” เด็กหนุ่มออกอาการเขินนิดๆ แต่ก็พยายามกลบเกลื่อน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นเอง แสงสีฟ้าก็แผ่ออกมาจากฝ่ามือขวา ทำให้มาวินรู้สึกตกใจ
“ เฮ้ย...... นี่มันคืออะไร ทำไมจู่ๆ มือของเธอถึงเปล่งแสงออกมา ” มาวินเริ่มโวยวายและพยายามจะดิ้นหนี แต่เด็กสาวใช้มืออีกข้างกดร่างเอาไว้แน่น พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูหงุดหงิด
“ ใจเย็นก่อน เจ้าลิงหัวเขียว นี่เป็นแค่เวทมนตร์ฟื้นฟูร่างกายเท่านั้น นายจะตกใจไปทำไม ” เด็กสาวตอบสั้นๆ คล้ายว่าสิ่งที่บังเกิด เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้
“ ฮ้า...... เวทมนตร์ ที่นี่มีของแบบนี้ด้วยหรือ จริงๆแล้ว เธอเป็นแม่มด ใช่มั้ย ” มาวินหันมาทึ่งแทน เขาพูดส่งเดชไปเรื่อยเปื่อยตามประสาลิงปากเปราะ
“ ไม่ใช่ ชั้นเป็นนักสู้ธรรมดา แต่นี่คือคาถารักษาขั้นพื้นฐานที่ทุกสายอาชีพสามารถใช้ได้ ” เด็กสาวตอบกลับแบบจริงจังจนมาวินอดเหวอไม่ได้
มาวินหยุดพล่ามไปชั่วขณะ เพราะสมองกำลังพยายามประมวลเรื่องประหลาดอย่างหนักหน่วง แสงสีฟ้าในมือของเด็กสาวเริ่มเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆจนใกล้เคียงกับคบไฟดวงน้อย อึดใจต่อมา เธอก็ร่ายคาถา
“ ฮีล...... ”
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ากำลังกายเริ่มฟื้นคืน ทุกบาดแผลที่แสงสีฟ้าสัมผัสถูก ล้วนทุเลาอาการเจ็บปวด
“ ว้าว….นี่น่ะหรือ เวทมนตร์ เจ๋งอ่ะ สอนชั้นบ้างดิ ” เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจ เขากระสันอยากจะทำบ้าง
“ ฮะๆ นายเป็นสายไร้อาชีพ แถมไม่มีพลังเวทในตัว จะฝึกเวทมนตร์ได้ยังไง ” เด็กสาวหัวเราะเบาๆในความไม่ประสาของมาวิน มือที่เปล่งแสงสีฟ้าเลื่อนไปตามจุดต่างๆบนร่างกาย
“ อ้าว....เหรอ แล้วชั้นต้องทำไง ถึงจะมีพลังเวทกับเขาบ้าง ” ใบหน้าของมาวินงองุ้ม เขารู้สึกงอแงนิดๆ
“ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสายอาชีพนักศึกษา แล้วอัพเลเวลเป็นอาชีพนักเวทย์ ซึ่งเป็นอาชีพขั้นสอง จากนั้น ค่อยบ่มเพราะพลังเวท เพื่อฝึกการใช้คาถาต่างๆ ” เด็กสาวอธิบายยาวเหยียด
“ แล้วใช้เวลานานมั้ย กว่าจะทำแบบที่เธอว่าได้ ” เด็กหนุ่มหัวเขียวถามต่อ สีหน้าดูคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“ น่าจะใช้เวลาแรมปีเลยทีเดียว ” เด็กสาวตอบตรงๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์
“ เหอๆ งั้นเปลี่ยนใจ ไม่เรียนแล้ว ” เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งๆ พลางล้มเลิกความคิดอย่างฉับพลัน
เด็กสาวใช้คาถา “ฮีล” รักษาอยู่ครู่ใหญ่ ก็เป็นอันสิ้นสุด กำลังกายของมาวินเริ่มฟื้นคืนจนสามารถลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินและสะบัดแขนขาตามลำดับ แน่นอนว่ายังมีอาการติดขัดตามร่างกายอยู่ แต่ก็รู้สึกดีกว่าในตอนแรกนับสิบเท่า
“ โห..... นี่น่ะหรือเวทมนตร์ เยี่ยมจริงๆ เหมือนจะหายดีเลย ทั้งที่ชั้นบาดเจ็บถึงขนาดนั้น ” ท่าทางของเด็กหนุ่มดูร่าเริง
“ ใช่ มันเยี่ยมก็จริง แต่คาถาสายฟื้นฟูที่ใช้นั้น รักษาแค่บาดแผลภายนอกและฟื้นกำลังให้กลับคืนมาบางส่วน แต่ไม่อาจรักษาอาการบอบช้ำภายใน สมานกระดูกที่หัก ต้องพักผ่อนและรักษาด้วยวิธีอื่น ” เด็กสาวอธิบายต่อ
“ อืม..... ” มาวินพยักหน้ารับคำ
“ อีกประการ ด้วยพลังเวทที่จำกัด ชั้นจึงใช้คาถา “ฮีล” ได้เพียงวันละสามครั้งเท่านั้น จะใช้ได้อีก ต้องพักฟื้นเป็นเวลาหนึ่งวัน ” เด็กสาวกล่าวต่อ สีหน้าดูซีดเซียวลงเล็กน้อย
“ อืม..... ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำอีกครั้ง ในใจนึกสงสัยว่าวันนี้ เด็กสาวร่างสูงใช้คาถานี้ไปกี่ครั้ง
“ เอาล่ะ นายนอนพักผ่อนซะ อย่าเพิ่งซ่า เดี๋ยวชั้นจะย่างปลาให้กินเอง ” เด็กสาวกล่าวเรียบๆ ก่อนเดินตรงไปที่ริมน้ำ
“ เอ๋……ยัยโย่งทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ ใจดีจนเหลือเชื่อ ” มาวินรู้สึกงงกับน้ำใจที่ได้รับ แต่เขาก็ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย เพื่อฟื้นฟูพละกำลังตามที่เด็กสาวบอก เมื่อหัวถึงหมอน จิตก็ดำดิ่งสู่นิทรารมย์
……………………….
มาวินตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาไม่รู้ว่าตัวเองนอนไปนานแค่ไหน แต่พอมองไปรอบๆ ก็พบกับม่านราตรีที่ดำมืด สิ่งเดียวที่เห็นในยามนี้ก็คือ.....แสงจากกองไฟซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง
“ ตื่นแล้วหรือ เจ้าลิงหัวเขียว ” เสียงห้าวของเด็กสาวร่างสูงดังขึ้น มาวินเลยหันไปมอง เขาจึงพบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนขอนไม้ฝั่งตรงข้าม โดยมีกองไฟขวางกั้น
“ อือ.... ตื่นแล้ว มีอะไรให้กินมั่ง ” มาวินรู้สึกหิวโหย เพราะไม่ได้กินอะไรมาเกือบสองวัน เด็กสาวจึงส่งปลาย่างให้สี่ไม้ พร้อมกระติกน้ำ เด็กหนุ่มรับไปจัดการอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นาน ทุกอย่างในมือก็ถูกเสกเข้าไปในท้องจนหมดสิ้น
“ อ่า….อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ ” มาวินทิ้งตัวลงนอนแผ่หลา ใบหน้ายิ้มละไมอย่างเป็นสุข
“ ฮะๆ นายนี่ก็มีคำพูดแปลกๆออกมาอยู่เรื่อย จริงๆแล้ว นายมาจากที่ไหนกันแน่ ” แม้เด็กสาวจะขบขัน แต่ก็ไม่วายไถ่ถาม
สีหน้าของมาวินดูงงๆ วันนี้เด็กสาวร่างสูงมาแปลก เธอพูดมากและหัวเราะง่ายกว่าปกติ แต่มึนได้ไม่นาน เขาก็ตอบกลับ พร้อมมองตรงไปข้างหน้าอย่างปราศจากจุดหมาย
“ เฮ้อ..... ที่ๆชั้นจากมา มันอยู่ไกลมาก ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่นี่เขาเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าอะไร ”
“ แล้วนายก็อยากกลับบ้านมาก ” เด็กสาวเอียงคอถามต่อ
“ ใช่แล้ว ” มาวินตอบสั้นๆ เขาแหงนหน้ามองดาวนับล้านที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า พลางคิดว่าดวงไหนคือดาวที่จากมา
“ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้นายอยากเดินทางไปแคว้นเยอมาเนีย ซึ่งเป็นแคว้นที่มีเทคโนโลยีสูงที่สุดในโลกใบนี้ ใช่มั้ย…” เด็กสาวถามต่อ
“ ใช่แล้ว ถ้าเป็นที่นั่น อาจพอมีหวังที่จะส่งชั้นกลับบ้าน ” เด็กหนุ่มพูดเรื่อยๆ โดยไม่มองหน้า
“ อืม….เข้าใจแล้ว ” เด็กสาวรับคำ ทันใดนั้นเอง มาวินก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญ แต่ไม่กล้าพูดออกมา
“ เอ่อ…..ชั้นยัง…”
“ ยังอะไรอีกล่ะ ” เด็กสาวใช้ไม้เขี่ยท่อนฟืนในกองไฟ
“ เอ่อ...ชั้นยังไม่ได้ขอบคุณ เรื่องที่เธอช่วยฝึกวิชาให้เลย ” มาวินตัดสินใจพูด แม้จะรู้สึกเขินอายก็ตามที
“ ถือว่าเจ๊ากัน นายเองก็ช่วยชั้นในวันที่ต่อสู้กับกลุ่มโจร ” เด็กสาวตอบเรียบๆแบบไม่ใคร่จะสนใจนัก ดวงตาคมยังจับจ้องอยู่ที่กองไฟซึ่งลุกโชน
“ ไม่หรอก ในวันที่สู้กับกลุ่มโจร ส่วนหนึ่งก็คือการช่วยเหลือตัวเอง ” มาวินปฏิเสธผลงาน พร้อมเบนหน้าหนีไปทางอื่น
“ ถึงกระนั้น นายก็ไม่ได้หนีเอาตัวรอด ทั้งที่จะทำจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ” เด็กสาวกล่าวต่อ
“ เอ่อ..... จริงแล้ว ชั้นก็อยากหนีนะ แต่ที่ไม่หนี เป็นเพราะว่า...... ” ยิ่งพูดออกไป มาวินยิ่งดูสับสนและเคาะเขิน
“ เพราะว่า..อะไร ” เด็กสาวเอ่ยถามลอยๆ ท่าทางเมินเฉย ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงแววคาดคั้นอยู่เล็กน้อย
“ เอ่อ….เพราะชั้นกลัวหลงป่าน่ะ ” เด็กหนุ่มพูดจบ ก็ล้มตัวลงนอนตะแคงและหันหลังให้เด็กสาว
ในป่าอันมืดมิด มีเพียงแสงจากกองไฟที่ลุกโชน เสียงจักจั่นเรไรและแมลงเล็กๆดังระงมอยู่ไม่ขาดจนดูคล้ายดนตรีป่า ทุกสรรพสำเนียงทำให้มาวินรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงเอ่ยถามเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ พรุ่งนี้ก็ครบหนึ่งเดือนแล้ว เธอจะทำยังไงต่อไป ”
“ เราก็แยกทางกัน นายไปตามทางของนาย ชั้นไปตามทางของชั้น ” เด็กสาวตอบเรียบๆ
พอถึงตรงจุดนี้ มาวินก็รีบลุกพรวดขึ้นมานั่ง ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องไปยังเด็กสาว จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“ เราจะจากกันแล้ว ใช่มั้ย เวลาหนึ่งเดือน มันเร็วจังเลยนะ ”
“ ใช่แล้ว เรากำลังจะจากกัน เว้นแต่……นายจะตามชั้นมา ” เด็กสาวหยุดเขี่ยกองไฟ ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง
“ ฮ้า....... ” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง เขาออกอาการสะอึกนิดๆ
“ ว่ายังไงล่ะ จะตามชั้นมามั้ย ” เด็กสาวเอียงคอถาม
มาวินรู้สึกกดดันไม่ใช่น้อย แม้จะรู้สึกดีที่มีเด็กสาวร่างสูงคอยอยู่เป็นเพื่อน แต่ถ้าติดตามต่อไป ก็จะไม่ได้ไปแคว้นเยอมาเนียอันเป็นจุดมุ่งหมายปลายทาง เมื่อไปไม่ถึง โอกาสกลับบ้านก็เป็นศูนย์ ไม่ว่าจะยังไง เขาก็อยากกลับบ้านอยู่ดี
เด็กสาวร่างสูงมองสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมาวิน อึดใจต่อมา ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะแอบสะใจอยู่นิดๆ จากนั้นก็ออกคำสั่ง
“ เอาล่ะ นอนซะ นายต้องการพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูร่างกาย ”
“ อืม....... ” เด็กหนุ่มรับคำสั้นๆ ก่อนล้มตัวลงนอนในบัดดล
มาวินรู้สึกสับสน เขาควรจะทำยังไงต่อไป สมองคิดทบทวนอยู่นานเกือบชั่วโมง ก่อนที่ความอ่อนเพลียจะคืบคลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจ ในที่สุด เด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับข้างกองไฟอันอบอุ่น
……………………….
เช้าวันรุ่งขึ้น มาวินลืมตาตื่น เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ก่อนจะเปิดดูเวลาจากนาฬิกาสีกระดำกระด่างบนข้อมือ จึงพบว่าตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้า นั่นทำให้เขาตกใจ
“ เฮ้ย ตื่นสายนี่หว่า ได้เวลาฝึกแล้ว ”
แต่พอเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงทรุดตัวลงนั่งชันเข่า
“ เออ จริงสินะ วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนตามกำหนดเวลาของยัยโย่งนี่นา ”
ระหว่างที่มาวินกำลังนั่งทอดอาลัยอยู่นั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กสาวร่างสูงหายไป สิ่งนั้นทำให้รู้สึกใจหายและกระวนกระวายจนอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกน
“ ยัยโย่ง เธอหายไปไหน ”
มาวินร้องเรียกเด็กสาวร่างสูง พร้อมเหลียวมองไปรอบๆ ไม่นาน เสียงห้าวๆก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ จะตะโกนอะไรนักหนา หนวกหู ”
มาวินรีบหันกลับมา ก็เห็นเด็กสาวร่างสูงยืนสงบอยู่ด้านหลัง นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งอก แต่ภายนอก แกล้งทำเป็นกระแอมดังๆ พลางแถไปเรื่อยแบบไม่เนียน
“ ไม่มีอะไร แค่ถามหาเฉยๆ ตอนนี้เริ่มหิวแล้ว มีของกินมั้ย ”
เด็กสาวร่างสูงไม่ตอบคำใด แต่โยนกองผ้าหอบใหญ่มาให้ มาวินไม่ทันระวังตัว เจ้าสิ่งนั้นจึงกระแทกหน้าเข้าอย่างจัง ทันทีที่เด็กหนุ่มขยับปากจะโวย เสียงห้าวๆก็ดังแทรกขึ้นมา
“ ไปอาบน้ำซะ สิ่งที่อยู่ในมือคือของจำเป็นที่ใช้ในการเดินทาง ”
มาวินก้มลงมองสัมภาระที่อยู่ในมือ จึงพบว่ามันคือ.....เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมชุดหนึ่ง พร้อมกรรไกรและกระจก เขานึกสงสัยว่าเด็กสาวร่างสูงให้ของพวกนี้มาทำไม
“ จะสงสัยอะไรนักหนา ชั้นให้นายเอามาใช้ตัดผม จะได้ดูเรียบร้อยมากกว่านี้ ไปอาบน้ำซะสิ แอ่งน้ำอยู่ตรงนั้น ” เด็กสาวชิงพูดขึ้นมาก่อน เพราะรู้ว่ามาวินคิดอะไรอยู่
………………………
มาวินใช้เวลาไม่นาน ก็จัดการตัวเองจนเสร็จสรรพ ขณะนี้เขาอยู่ในชุดกังฟูแขนกุดสีเขียวที่ใหม่เอี่ยม ผมกลับมาอยู่ในทรงหน้าสั้นตั้งเป็นกระบัง ด้านหลังยาวเป็นรากไทรดุจเดิม ใบหน้าเล็กเรียวที่เคยขมุกขมัวกลับกลายมาสดใสตามวัย เพราะได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ แถมยังได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย สภาพในตอนนี้ดูสมบูรณ์มาก ถ้าไม่นับผ้าพันแผลตามตัวและไม้ดามกระดูกที่ท่อนแขนซ้าย
“ อืม..... ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ” เด็กสาวร่างสูงทัก
“ เชอะ ใครบอกเล่า หล่อเหลาจนบอกไม่ถูกเลยต่างหาก ” เด็กหนุ่มหันไปค้อน
“ ฮะๆ ” เด็กสาวหัวเราะนิดๆ ท่าทางผ่อนคลาย
บรรยากาศที่เบิกบานคงอยู่ชั่วขณะ มาวินก็เริ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ เอ่อ…….เรื่องที่เธอถามเมื่อคืน ชั้นคิดได้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป ”
“ ทำยังไง ” เด็กสาวถามเรียบๆ ดวงตาคมยังมองตรงไปข้างหน้า
“ ชั้นจะไปแคว้นเยอมาเนีย ” มาวินตอบสั้นๆ น้ำเสียงแสดงออกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างชัดเจน
“ อืม.... ” เด็กสาวรับคำสั้นๆ สีหน้าดูเฉยเมยจนไม่อาจคาดเดาถึงอารมณ์
“ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั้นต้องกลับบ้านให้ได้ มีคนรอชั้นอยู่ที่นั่น ” มาวินพูดต่อ ท่าทางเด็ดขาด แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดกับการจากลา แต่เขาจำเป็นต้องทำแบบนั้นจริงๆ
“ คนๆนั้นคือ จัน ใช่มั้ย ” เด็กสาวถามขึ้นมาลอยๆ
“ เอ๊ะ ” มาวินอุทานดัง พร้อมหันกลับมา เขาเห็นเด็กสาวมองอยู่ก่อนแล้ว แม้ใบหน้าของเธอจะเรียบเฉยจนเรียกว่าตายด้าน แต่ดวงตาคมกลับเปล่งประกายประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด
“ เอ่อ…..” เด็กหนุ่มนิ่งอึ้ง เขาคิดไม่ออกว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง
เด็กสาวร่างสูงยิ้มนิดๆ ก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า เพื่อแสดงเจตนาจะขอจับมือ
“ งั้นก็โชคดีนะ เจ้าลิงหัวเขียว ”
“ อืม.... ” เด็กหนุ่มหัวเขียวก้มหน้า สีหน้าดูเศร้าสร้อย เขายื่นมือออกมาจับ พร้อมเขย่าแรงๆ เพื่อจากลา
เด็กสาวร่างสูงหันไปรวบกระเป๋าสะพายขนาดกลางขึ้นคล้องหัวไหล่ ท่าทางดูทะมัดทะแมงและเคร่งขรึม ส่วนทางฝั่งมาวิน เขาก็รวบรวมสิ่งของจำเป็นใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังเช่นกัน จังหวะที่ยอดกังฟูสาวกำลังจะจากไป เด็กหนุ่มก็ร้องทักเสียงดัง
“ แล้วเธอจะไปที่ไหน ”
เด็กสาวร่างสูงหยุดนิ่ง ก่อนหันกลับมาบอกด้วยใบหน้ายิ้มละไมที่ดูอ่อนหวานไม่ต่างจาก "จัน" ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอายจนต้องหลบตา
“ ก็ไปแคว้นเยอมาเนียไง นึกว่านายจะไม่ถามซะแล้ว ” เด็กสาวร่างสูงตอบกลับมาเบาๆ
“ อ้าว...... เอ๋ เธอไปแคว้นเยอมาเนีย นี่.....ก็แปลว่า ” เด็กหนุ่มอุทานดัง เขารู้สึกงุนงงและตกใจ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มก็ผุดออกมา
“ ตกลง จะไปด้วยกันมั้ย นายตั้งใจจะไปแคว้นเยอมาเนียอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือ ” เด็กสาวพยักหน้าให้มาวินนิดหนึ่ง ก่อนเดินต่อไป
“ ไป.... ไปสิ ไปอยู่แล้ว ” เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้นๆตามสไตค์ของตัวเอง พร้อมวิ่งตามเด็กสาวที่เดินนำในทันที
พอมาวินตามทัน เขาก็ถามในสิ่งที่อยากรู้มานาน
“ รู้จักกันมาตั้งหนึ่งเดือน ชั้นยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร ”
ทันทีที่ได้ยินคำถาม เด็กสาวก็ตอบกลับสั้นๆ สีหน้าเรียบเฉย
“ ชั้นชื่อ เหมยลี่ ”
“ ส่วนชั้นชื่อ มา…” เด็กหนุ่มพยายามแนะนำตัว
“ รู้แล้วน่า เจ้าลิงหัวเขียว ” เหมยลี่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ทั้งที่มาวินยังพูดไม่จบ
“ ไม่ใช่โว้ย ชั้นชื่อ มาวิน ” เด็กหนุ่มตะโกนใส่ ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบสรรพนามที่เหมยลี่เรียก
“ เข้าใจแล้ว เจ้าลิงหัวเขียว ” เด็กสาวตอบกลับหน้าตาย มือสองข้างยกขึ้นมาอุดหู เพื่อป้องกันภัยทางโสตประสาท
“ ชั้นชื่อ มาวิน ” เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้ เขายังแนะนำตัวต่อไป
“ อืม..... ลิงหัวเขียว ” เด็กสาวไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ ไม่ใช่โว้ย ชั้นชื่อมาวิน ” เด็กหนุ่มแหกปากตะโกน พลางกระโดดโลดเต้นไปรอบตัว แน่นอนว่าการโต้เถียงด้วยเรื่องไร้สาระยังดำเนินต่อไปอีกยาวนาน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ