The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี
เขียนโดย Jalando
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.
แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
28) เฮ้ ใจร่มๆนะพี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เครดิตภาพจาก https://www.deviantart.com
ณ.หน้าประตูทางเข้าทางด้านทิศเหนือ มีสองทหารยามร่างสูงใหญ่ประจำอยู่ พวกเขาสวมเกราะหนังสีน้ำตาล หมวกเหล็กบนศีรษะเงาวับสะท้อนแสงไฟ มือกระชับหอกยาวคมกริบ
เสียงนกดังระงม บ่งบอกว่าถึงยามเช้า ผู้คนเริ่มออกจากบ้าน เพื่อทำมาหากิน บ้างก็เปิดร้าน รอคอยจะบริการเหล่าผู้มาลงทะเบียน (กฎเกณฑ์ของ Dark World ระบุไว้ว่า….ผู้ที่มีอายุครบสิบปี ต้องมาลงทะเบียนที่เมืองแห่งนี้ เพื่อเลือกอาชีพขั้นที่หนึ่งและรับนาฬิกาวิญญาณระบุตัวตน)
ทว่าเช้านี้กลับไม่เหมือนทุกวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มนายหนึ่งได้ปรากฏกายที่หน้าประตูเมือง เขามีดวงตาที่เรียวยาว ใบหน้าเล็กและอ่อนเยาว์ ผมด้านหน้าตั้งเป็นกะบัง ด้านหลังยาวเป็นรากไทร มิหนำซ้ำยังย้อมเขียวตลอดทั้งหัว ทำให้ดูเด่นเป็นสง่า คนผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก มาวิน พระเอกของเรื่อง
“ เฮ้…. หลบหน่อย จอมยุทธ์ขั้นเทพมาแล้ว ” เด็กหนุ่มผู้นั้นตะโกนดังจนคนรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว
ทุกคนล้วนรู้สึกสมเพชและเกรงขามในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าความรู้สึกสมเพชย่อมมาจากเด็กหนุ่มผู้เกรียนนรกแตก ส่วนความรู้สึกเกรงขามมีให้กับเด็กสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
เด็กสาวนางนี้มีความสูงเกินมาตรฐานผู้หญิงเล็กน้อย เธอมีผมสั้นที่ดำสนิท ประกายตาคมเข้มแฝงแววกร้าว จมูกโด่งได้รูป ปากบนหนา ปากล่างบางเป็นกระจับ ทำให้ดูสวยแบบดุๆ กายเพรียวสวมชุดกังฟูแดงที่ปักลายมังกรทอง ทุกย่างก้าวดูสุขุมลุ่มลึก เธอผู้นี้คือ เหมยลี่ สาวกังฟูเท้าไว
ทุกคนหลีกทางให้กับวัยรุ่นทั้งสองอย่างว่าง่าย พอทหารยามร่างยักษ์ซึ่งประจำอยู่ตรงประตูทางเข้าเหลือบมาเห็น ก็จดจำมาวินได้ จึงเอ่ยทัก
“ อ้าว เจ้าหนูหัวเขียวนี่นา ไม่พบกันเดือนกว่าแล้ว กลับเข้าเมืองทำไม จะมาเปลี่ยนอาชีพรึไง ”
ทหารยามอีกคนแอบหัวเราะ เพราะรู้ดีว่าเจ้าหนูหัวเขียวอยู่สายอาชีพในตำนานที่มีแต่คนรังเกียจ นั่นก็คือพวก “ไร้อาชีพ” ที่ไม่มีสกิลหรือทักษะใดๆติดตัว
“ อาฮ่า ใครจะมาเปลี่ยนอาชีพกันล่ะ พี่ทหารยามทั้งสองไม่รู้หรอกว่า…..ตอนนี้เกล้ากระผมจัดว่าเทพแค่ไหน ฮ่า ฮ่า ฮ่า….. ” เด็กหนุ่มหัวเขียวโอ้อวดแบบไม่เกรงใจใคร พลางเสเข้าไปกอดคอสองทหารยาม ราวกับว่าพวกเขาคือเพื่อนสนิทของตน
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” ทหารยามทั้งสองก็หัวเราะเช่นกัน ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็หยุดหัวเราะอย่างฉับพลัน พร้อมเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ เพื่อนเล่นเหรอ ”
“ ฮะๆ ขอโทษครับ ” เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ ก่อนถอยฉากออกมา จากนั้นก็ยื่นมือขึ้นมา เพื่อโชว์นาฬิกาสีกระดำกระด่างของตนเอง ก่อนเดินเข้าเมือง โดยไม่กล้าซ่าต่อ (กติกาการเข้าหรือออกจากเมืองก็คือ….ทุกคนต้องโชว์นาฬิกาวิญญาณของตนเอง เพื่อยืนยันตัวตน)
จังหวะที่มาวินกำลังเข้าเมือง เขาหันกลับมาดูเหมยลี่ จึงพบว่าเธอกำลังเจรจากับสองทหารยาม จากนั้นก็จับมือกันแนบแน่น พริบตานั้นเอง สายตาอันว่องไวก็ประจักษ์กับเหรียญทองที่ปรากฏบนอุ้งมือของนายด่าน คาดว่าน่าจะเป็นเด็กสาวร่างสูงที่แอบมอบให้ในตอนสัมผัส
หลังจากนั้น เหมยลี่ก็เดินเข้าเมือง โดยไม่ต้องโชว์นาฬิกาวิญญาณ มาวินมองหน้าเพื่อนร่วมทางนิดหนึ่ง ก่อนแสยะยิ้ม สุดท้าย เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แอบขบคิดอยู่ในใจ
“ ร้ายกาจจริงๆ รู้จักให้สินบนซะด้วย ”
……………………..
ทั้งสองเข้ามาในตัวเมืองที่ขณะนี้เริ่มพลุกพล่านไปด้วยผู้คน (ก็แน่ล่ะ ที่นี่คือจุดลงทะเบียนหลักของโลกนี่นา) เหมยลี่นำทางได้ระยะหนึ่ง มาวินจึงเอ่ยถาม ท่าทางเบื่อหน่าย
“ เฮ้ จะพาไปไหน ตกลงเธอมาทำอะไรที่เมืองนี้ ไหนบอกจะพาไปแคว้นเยอมาเนียไง ”
“ ก็ใช่ แต่การจะไปแคว้นเยอมาเนียที่แสนไกล ถ้าเดินเท้าไปอย่างเดียว มันจะช้ามาก ชั้นถึงมาที่นี่ เพื่อซื้อม้า จะได้ใช้เป็นพาหนะ ” เด็กสาวตอบเนือยๆ แต่สองเท้ายังคงก้าวต่อไป
“ อะฮ้า…. นี่ชั้นจะได้ขี่ม้าแล้วหรือเนี่ย ดีใจจังเลย อยู่บนโลก ได้ขี่แต่มอเตอร์ไซด์ ไม่เคยขี่ม้าเลยซักครั้ง เย้….. ” เด็กหนุ่มกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ อาการดีใจ ดูไม่ต่างจากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งมาหมาดๆ เขาร่าเริงเกินเหตุ โดยไม่สนใจผู้คนที่กำลังมอง
“ เฮ้อ……. ” เหมยลี่ถอนหายใจยาว แม้เธอจะเริ่มชิน แต่ก็ยังเหนื่อยหน่ายกับความบ้าบอของมาวินอยู่ดี
“ นี่ๆ แล้วเราจะไปขี่ม้ากันได้หรือยัง ” มาวินร้องถาม พร้อมเขย่าแขนของเหมยลี่
“ ยัง เราจะไปกินอาหารกันก่อน ” เหมยลี่สะบัดแขนหนี พร้อมตอบเสียงเครียด อากัปกิริยาคล้ายคนที่กำลังข่มอารมณ์โกรธของตัวเอง
“ อา…….หาร…….เย้……. ” น้ำลายของมาวินไหลยืดอีกหลายหยด ก่อนจะตะโกนจนสุดเสียง สุดท้ายก็เปลี่ยนมากระโดดโลดเต้น ท่าทางดูสะใจในอารมณ์
“ เฮ้อ……. ” เหมยลี่ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนเดินจากไป
……………………..
วัยรุ่นทั้งสองเดินทางมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆแห่งหนึ่ง พอเข้าสู่ภายใน ชายสูงวัยร่างอ้วนเตี้ยก็เดินออกมาต้อนรับ สำเนียงที่พูดจา บ่งบอกว่าน่าจะมีเชื้อสายชาวมังกร
“ หวาด……ดี ทั่นจอมยุทธ์น้อยทั้งสอง เชิญนั่งก่อน จะรับประทานอาหารใด โปรดแจ้งมาได้เลย ”
มาวินไม่ตอบคำ เขามองเถ้าแก่ผู้นั้น ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ชายสูงวัยนึกสงสัย
“ ท่านจอมยุทธ์น้อยผู้นี้มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ ” เถ้าแก่พูดจบ ก็ก้มหัวให้นิดหนึ่ง ตามมารยาทของคนค้าขาย
“ ฮะๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เถ้าแก่จำชั้นไม่ได้จริงๆหรือ ” มาวินยังคงยิ้มกว้างดุจเดิม
“ อืม…… ” เถ้าแก่นิ่งคิด เขารู้สึกว่าใบหน้าของจอมยุทธ์น้อยผู้นี้คล้ายกับคนที่เคยรู้จัก
“ ฮะๆ อย่าบอกนะว่า.....เถ้าแก่จำขอทานหัวเขียวที่มาขอเศษอาหารทุกวันไม่ได้ ” มาวินทวนความจำ ใบหน้ายิ้มละไม
“ เอ๊ะ นึกออกแล้ว เจ้าก็คือ ” เถ้าแก่ถึงบางอ้อ ตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือใคร
“ ใช่แล้ว ชั้นคือขอทานน้อยที่เถ้าแก่ให้ความช่วยเหลือเมื่อเดือนก่อน ” มาวินเฉลย พร้อมฉีกยิ้มจนสุดหล้า
“ โอ้…ดีใจจริงๆที่ไม่เป็นอะไร พวกเรานึกว่าเจ้าจะตายในคราวที่สู้กับไอ้ชั่วกาสเซ่ซะแล้ว ” เถ้าแก่รีบร้องละล่ำละลัก พร้อมกระโดดเข้ามากอดมาวิน ทุกสิ่งที่เกิด ทำให้เด็กหนุ่มถึงกลับเหวอรับประทาน แต่พอหันไปมองเหมยลี่ที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาก็พบเพียงรอยยิ้มจางๆที่มุมปาก
“ เดี๋ยวนะ เถ้าแก่ นี่มันเรื่องอะไรกัน ชั้นงงไปหมดแล้ว ” เด็กหนุ่มพยายามดึงเถ้าแก่ออกจากกาย
“ ฮะๆ เรื่องมันยาวน่ะ เฮ้ย ลูกค้าทุกคนออกไปจากร้านเดี๋ยวนี้ วันนี้อั้วมีแขกคนสำคัญ ” เถ้าแก่พูดจบ ก็ส่งเสียงโวยวาย ถ้าใครชักช้าหรือลีลา แกจะเตะตูดเรียงตัว เพื่อขับไล่ออกจากร้านโดยไว
……………………….
เมื่อลูกค้าออกจากร้านจนหมดสิ้น เถ้าแก่ก็สั่งให้เด็กรับใช้เสิร์ฟอาหารแบบจัดเต็มมาเลี้ยงต้อนรับ ทุกสิ่งที่บังเกิด ทำให้มาวินรู้สึกงุนงง เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่จู่ๆพ่อค้าจอมเขี้ยวจะรักชอบเขาอย่างรุนแรง
“ เออ…ว่าแต่….มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเถ้าแก่ถึงดีกับชั้นขนาดนี้ ” มาวินอดที่จะถามไม่ได้
“ ฮ่าๆ พ่อหนุ่มไม่รู้จริงๆหรือว่า…ในตอนนี้ ท่านเป็นที่นิยมของคนในเมืองแค่ไหน ” เถ้าแก่ถามยิ้มๆ
“ เอ๋….ชั้นจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรให้คนเมืองนี้ ” มาวินตอบกลับ ในหัวพยายามคิดว่าเผลอไปทำคุณงามความดีอะไรไว้ หรือว่าตอนที่เราไม่อยู่ จะมีฝาแฝดที่ไม่รู้จัก แปลงร่างเป็นซุปเปอร์ฮีโร่คอยช่วยเหลือผู้คนในเมืองนี้แบบหนังของมาร์เวล
“ เอาล่ะ อั้วจะบอกให้พ่อหนุ่มรู้ก็แล้วกัน สาเหตุที่พวกเราชื่นชม เพราะท่านเป็นคนแรกที่กล้าสู้กับกาสเซ่เพื่อช่วยหญิงชราคนหนึ่ง สิ่งนั้น ทำให้พวกเรานับถือท่านมาก ” พอพูดจบ เถ้าแก่ก็คำนับมาวินอีกหนึ่งที
“ อ้อ..... อย่างนี้เอง จริงๆแล้ว ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะช่วยหรอก ก็แค่……หมั่นไส้เจ้ากอริลลานั่นเท่านั้น ” มาวินแก้เขินด้วยการพูดเลี่ยงไปทางอื่น แต่ใบหน้าเล็กๆกลับแดงก่ำ
“ ไม่ว่าพ่อหนุ่มจะทำไปด้วยเหตุผลใด พวกเราชาวเมืองก็นับถือวีรกรรมของท่านมาก ” เถ้าแก่ตอบกลับ แววตาส่อประกายเทิดทูนอย่างเต็มเปี่ยม
“ เหอๆ ” มาวินหัวเราะแห้งๆ พลางหันหน้าไปทางเหมยลี่ เพื่อขอความเห็น แต่อีกฝ่ายไม่มองตอบ เธอยังคงดื่มกินไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ ถึงกระนั้น พวกเราก็นึกแปลกใจ ” ทันใดนั้น เถ้าแก่ก็เกิดขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ เอ๋ สงสัยอะไรหรือ เถ้าแก่ ” มาวินถามกลับอย่างรวดเร็ว
“ เมื่อหลายวันก่อน พวกเราเห็นเจ้ากาสเซ่รวบรวมกำลังพลถึงร้อยกว่าคน หลังจากนั้น ก็เดินทางออกจากเมือง แล้วก็หายไปเลย หรือว่าพวกมันจะอพยพไปอยู่ที่อื่น ” เถ้าแก่นิ่วหน้า ท่าทางคิดไม่ตก
“ อ้อ…. ที่เป็นแบบนั้นเพราะ….โอ๊ย ” มาวินขยับปากจะบอกความจริงว่า แก๊งกอริลลาเพิ่งถูกพวกเขาอัดยับ เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ก็ถูกเหมยลี่แอบหยิกขาที่ใต้โต๊ะ เป็นเชิงปรามไม่ให้เล่า
“ อ้าว…. เป็นอะไรไปหรือ จอมยุทธ์น้อย ” เถ้าแก่ถาม สีหน้าห่วงใย
“ ฮะๆ ไม่เป็นไร แค่เหน็บชาน่ะ เถ้าแก่ ” มาวินตอบกลับเสียงสั่น พลางหันไปแยกเขี้ยวให้เหมยลี่ที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
……………………….
การพูดคุยกับเถ้าแก่ ช่วยอัปเดตข่าวสารในเมืองได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะแก๊งกอริลลาได้หายหัวไปจากเมืองจนหมดสิ้น ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเป็นสุขและทำมาหากินอย่างสบายใจ นอกจากนี้ วัยรุ่นทั้งสองยังได้รู้อีกว่า….การเดินทางไปแคว้นเยอมาเนีย ต้องขี่ม้าไปทางทิศเหนือเป็นเวลาสามวัน จะถึงเมืองแกรนด์ยารด์ซึ่งเป็นเมืองท่า จากนั้นก็ใช้เรือโดยสาร เพื่อไปยังทวีปใหญ่อันเป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทาง
หลังเสร็จสิ้นการกินอาหาร เถ้าแก่ก็แสดงน้ำใจด้วยการไม่คิดเงิน โดยให้เหตุผลง่ายๆว่า……
“ ใครจะกล้าเก็บเงินกับฮีโร่ของเมือง ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองก็ได้แต่ขอบอกขอบใจ ก่อนแยกไปตามทางของตน โดยเป้าหมายต่อไปก็คือ “ร้านอาวุธ”
……………………
ร้านอาวุธเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวที่กว้างสองคูหา ประตูสองบานเปิดกว้าง เผยให้เห็นสภาพภายในอย่างชัดเจน
เมื่อวัยรุ่นทั้งสองเข้าไปในร้าน ก็พบกับชายคนหนึ่ง ท่อนบนที่เปล่าเปลือยของเขาอัดแน่นไปด้วยมัดกล้าม ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงขายาวสีดำ ฝ่าเท้าสวมรองเท้าบูตสีเดียวกัน เรื่องแปลกที่สุดก็คือ…..บนศีรษะดันผ่าไปสวมหมวกเหล็กที่มีเขาโค้งทั้งสองข้าง ไม่ต่างจากโคกระบือ ใบหน้าก็ปรากฏหน้ากากเหล็กปิดบัง
“ แว้ก….. นี่มันตัวอะไรเนี่ย ” มาวินกระโดดถอยหลัง พร้อมตั้งท่าสู้ แต่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเข้าไปประหมัด เหมยลี่ก็จับข้อมือเอาไว้แน่น เป็นเชิงห้าม พร้อมแจงให้เข้าใจ
“ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเข้าไปอัดเขา คนนี้เป็นพ่อค้าร้านอาวุธ ”
ทันใดนั้นเอง เสียงห้าวที่แหบแห้งก็ดังออกมาจากปากของชายบึกผู้สวมหน้ากากเหล็ก
“ จะรับอาวุธอะไรครับ ”
“ ฮะๆ จะมีอะไรแปลกกว่านี้อีกมั้ยเนี่ย ” มาวินยิ้มแหยๆ พร้อมส่ายหัวไปมา นับตั้งแต่เข้ามาในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่ดูปกติเลยซักครั้ง
เหมยลี่พามาวินไปดูอาวุธที่วางระเกะระกะอยู่เต็มร้าน มีอาวุธหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นดาบ ทวน ธนู หอก ง้าว มีดสั้น และอื่นๆ เมื่อเด็กหนุ่มหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าแต่ละชิ้นมีสภาพที่ไม่ดีนัก เพราะมันเก่าราวกับของมือสอง คุณภาพของเนื้อเหล็กก็ห่วยแบบสุดๆ มิหนำซ้ำ บางชิ้นก็ทำมาจากไม้
“ ที่นี่คือเมืองแห่งการเริ่มต้น ดังนั้นอาวุธที่ซื้อขายจึงมีแต่ของคุณภาพต่ำ อันเป็นอุปกรณ์ที่พวกเลเวลระดับนายจะใช้ได้ ” เหมยลี่อธิบายยาวเหยียด
“ อืม ” มาวินรับคำ ภายในรู้สึกไม่สบอารมณ์ เพราะสะกิดใจตรงจุดที่เหมยลี่พูดว่าเด็กหนุ่มเป็นพวกเลเวลต่ำ ทั้งที่ความจริง เขาเคยสร้างผลงานระดับมาสเตอร์ อาทิเช่น หลอกล่อกลุ่มโจรนับร้อยด้วยตัวคนเดียว
“ เอาล่ะ ตามมา ชั้นจะหาอาวุธที่เหมาะสมกับนาย ” ก่อนที่มาวินจะโต้เถียง เหมยลี่ก็ชิงพูดตัดหน้า ครู่หนึ่งก็นำพาไปยังห้องเก็บอาวุธชั้นใน
“ แหม…… ไม่รอให้ชั้นเถียงซะด้วย เชอะ ” เด็กหนุ่มบ่นนิดหนึ่ง ก่อนเดินตาม ท่าทางไม่พอใจ
พอทั้งคู่มาถึงห้องเก็บอาวุธชั้นใน เหมยลี่ก็เปิดหีบเหล็กเก่าๆ แล้วหยิบของบางอย่างขึ้นมาปัดฝุ่นจากนั้นก็โยนสิ่งนั้นให้กับมาวิน
“ เอ๋….นี่มัน ” มาวินรับสิ่งนั้นขึ้นพลิกดู จึงพบว่ามันคือนวมต่อยกระสอบทรายที่ดูเก่าและสกปรก
“ นายมีสกิลทางหมัดมวยเป็นหลัก ดังนั้นต้องใช้อาวุธประเภทนวมหรือไม่ก็สนับมือ ” เหมยลี่ชี้แจง
“ อ้าว…..แล้วทำไมถึงให้ชั้นใช้อาวุธกะหลั่ว นี่ชั้นเป็นพระเอกของเรื่องนะ มันต้องใช้ดาบเท่ๆเทพๆชนิดฟันทีเดียว บอสตายเลยต่างหาก ” มาวินเริ่มโวย
เหมยลี่นิ่งเฉย ดูเหมือนเธอจะชินชากับความต๊องของมาวิน ทำให้รู้ว่าบางเรื่อง ไม่ต้องสนใจก็ได้
“ เอาล่ะ นายลองใส่มัน แล้วชกกระสอบทรายตรงนั้นดูซิ ” เหมยลี่เข้าเรื่องของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มจะพล่ามอะไร
“ เชอะ ก็แค่กระสอบทราย ” มาวินบ่นไม่เลิก เขาหันไปสวมนวมดำ จากนั้นก็มาหยุดยืนหน้ากระสอบทรายที่แขวนอยู่ท้ายห้อง ราวกับว่ามันคือเป้าไร้ชีวิตที่ให้เหล่านักสู้ฝึกหัดได้ทดลองอาวุธ
มาวินเริ่มตั้งกระบวนท่าต่อสู้ พร้อมบ่นงึมงำในลำคอ เขาย่อตัวลงเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอัดหมัดขวาใส่กระสอบทราย
“ ปัง ”
เกิดเสียงดังสนั่น ด้วยน้ำหนักในการต่อย ทำให้กระสอบทรายซึ่งมีน้ำหนักราวๆสิบกิโลปลิวไปตามแรง
“ โอ้….ว้าว นี่มัน ” มาวินรู้สึกได้เลย หลังจากสวมนวมดำ พลังหมัดก็เพิ่มสูงอย่างประหลาด ระหว่างนั้น เด็กหนุ่มได้เหลือบไปเห็นกระสอบทรายที่ลอยไปมาตามแรงเหวี่ยง สิ่งนี้ทำให้รู้สึกมันในอารมณ์จนนึกอยากต่อยอีกหลายหมัด
“ ปัง ปัง ปัง ” แต่ละหมัดที่มาวินปล่อยออกไปล้วนรุนแรงและรวดเร็ว หมัดสุดท้ายถูกง้างไปด้านหลังจนสุดเหยียด ก่อนจะปล่อยให้กำปั้นพุ่งสวนกระสอบทรายที่ลอยกลับมา
“ ย้าก.......” เด็กหนุ่มตะโกนดัง เพื่อปลดปล่อยพลังหมัดให้พุ่งทะยานถึงขีดสุด
“ เปรี้ยง ”
เสียงปะทะที่รุนแรงดังขึ้น พร้อมการขาดสะบั้นของโซ่ที่ใช้แขวนกระสอบทราย เป็นผลให้ถุงหนังน้ำหนักกว่าสิบโลกระเด็นไกลจนพุ่งไปชนกำแพง
“ โครม ”
เสียงกระสอบทรายกระแทกดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงหมัด จากน้ำหนักของถุงหนังขนาดใหญ่ประกอบกับแรงส่งที่รุนแรง ทำให้มันพุ่งทะลุกำแพงไม้จนหลุดออกไปนอนกองบนพื้นนอกร้าน
" ฉิบหายแล้ว " วัยรุ่นทั้งสองสบถพร้อมกัน พลางหันมามองหน้ากันเอง
" เอาไงดี ยัยโย่ง " มาวินยิ้มแห้งๆ ก่อนเอ่ยถามเหมยลี่
" ไม่รู้สิ ว่าแต่นายดูนั่นก่อนดีกว่า " เด็กสาวตอบเบาๆ พร้อมชี้นิ้วให้มาวินหันกลับไปดู
เมื่อมาวินมองตาม เด็กหนุ่มก็ถึงกลับตกตะลึง สิ่งที่เห็นก็คือ…..ชายหน้ากากเหล็ก ผู้เป็นเจ้าของร้าน
" กำแพงร้านพัง " ชายหน้ากากเหล็กมองรอยโหว่ขนาดใหญ่ ก่อนกล่าวกับวัยรุ่นทั้งสองด้วยเสียงที่ยานคาง
" เอ่อ ไม่ต้องห่วงนะ เถ้าแก่ เดี๋ยวพวกเราจะจ่ายเงินให้ จริงมั้ย เหมยลี่ อ้าว เฮ้ย " มาวินเริ่มเปิดเจรจา แต่พอหันไปหาเหมยลี่ ก็พบว่าเด็กสาวร่างสูงได้อันตรธานหายไป
" จ่ายค่าเสียหายมา " เจ้าของร้านหน้ากากเหล็กกล่าวเสียงยานคาง พลางกระชับขวานเล่มโตไว้ในมือ
" ฮะๆ ซวยแล้วสิ จะทำยังไงดี " ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือด ในใจนึกบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อหวังให้รอดพ้นจากวิกฤติ
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ